webnovel

0205 อัปเดตเกม

ตอนที่ 205 อัปเดตเกม

กู่ฉิงซานดึงประเด็นกลับมายังหัวข้อหลักและกล่าว “ฉันไม่เพียงแต่จะสอนให้เธอเชื่อมต่อกับพลังวิญญาณได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังจะสอนสิ่งสำคัญอย่างการฝึกฝนมันและการแบ่งขอบเขตพลังแบบใหม่อีกด้วย”

“แล้วนายจะแบ่งมันยังไง?” ซางหยิงฮ่าวถาม

“เราจะใช้ความแข็งแกร่งทางพลังวิญญาณเป็นตัวแบ่งขอบเขตความแข็งแกร่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่ระบบวัดความแข็งแกร่งในปัจจุบันมันยังพอจะมีประโยชน์อยู่มาก แถมยังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย นายจะให้พวกเราละทิ้งมันไปทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่หรอก ฉันจะยกตัวอย่างนะ เราลองเอาธาตุไฟจากธาตุทั้งห้าก็แล้วกัน ขั้นแรกของมันคือผลาญ ขั้นสองคือเพลิงคำราม ขั้นสามคือลาวา ขั้นสี่คือแยกหยาง ขั้นห้าคือตะวันแผดโลกา พวกกระบวนท่าเหล่านี้ คือสิ่งที่พวกมืออาชีพสามารถนำไปใช้งานได้ ถูกต้องไหม”

“อย่างไรก็ตาม การที่สามารถใช้กระบวนท่าเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องถูกใช้เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการรบของมนุษย์เท่านั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ทุกคนเรียนรู้พลังวิญญาณ เกณฑ์การวัดกำลังรบแบบเก่าก็จะยังคงอยู่แค่เพียงถูกลดหลั่นลงไป และถูกใช้เป็นตัวชี้วัดกำลังรบในระดับมาตรฐานเท่านั้น”

“และสิ่งสำคัญที่จะใช้วัดกำลังรบในระดับที่สูงยิ่งกว่าก็คือพลังวิญญาณ”

เขาอธิบายต่อว่า “เนื่องจากระดับพลังวิญญาณของแต่ละคนยิ่งสูงขึ้น มันก็ยิ่งส่งผลให้คนคนนั้นสามารถที่จะระเบิดการโจมตีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้เป็นเงาตามตัว”

“ผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านพลังวิญญาณ เขาจะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นนำ แม้ว่าตนจะไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่นทางด้านเทียนซวน หวูเต๋า หรือธาตุทั้งห้า แต่ทุกท่วงท่าและการเคลื่อนไหวที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณ ผู้ใช้มันก็แกร่งพอจะสามารถทุบตีสามตัวตนที่ครอบครองพลังที่เพิ่งกล่าวมาให้ฟันร่วงเอาได้ง่ายๆ”

“ตัวอย่างเช่นผู้ใช้ธาตุไฟสองคน ทั้งสองอยู่ในขั้นแยกหยาง ทว่าหนึ่งในนั้นมีระดับพลังวิญญาณที่สูงกว่า คนคนนั้นก็จะปลดปล่อยทักษะในขั้นแยกหยางได้รุนแรงยิ่งกว่า และสามารถโค่นล้มอีกฝ่ายลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

“การแบ่งระดับตามเกณฑ์ของมืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจมันให้มากนัก แต่พลังวิญญาณต่างหากที่สามารถใช้เป็นตัวแทนในการแบ่งระดับกำลังรบได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ ดังนั้นต่อไปในอนาคต เราจึงสมควรที่จะใช้พลังวิญญาณเป็นตัวชี้วัดระดับความแข็งแกร่ง” เขาสรุป

พอได้ฟัง เลือดในกายของฉันหยิงฮ่าวก็เริ่มเดือดปุดๆ ทันที เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “แล้วไอ้พลังวิญญาณที่ว่ามาเนี่ย พวกเราจะสามารถเรียนรู้มันได้จริงๆ ใช่ไหม”

“แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในระหว่างที่หลายคนกำลังรับฟัง จู่ๆ สมองควอนตัมส่วนบุคคลของกู่ฉิงซานก็สว่างขึ้นอย่างกะทันหัน

“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ อีกราวๆ สี่สิบนาที เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

“อ้อจริงสิ ครั้งล่าสุดมันยอมหั่นเวลาเริ่มเกมลง จากหยุดพักหนึ่งวัน เหลือแค่สิบสองชั่วโมงแล้วนี่นา”

“ถูกของนาย ฉันมัวแต่ฉลองชัยชนะจนลืมไปซะสนิทเลย”

“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องพักเรื่องนี้กันไว้ก่อนชั่วคราว และเริ่มไปจัดการเตรียมพร้อมรับมือกับมันกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“แล้วพวกเราจะไปเตรียมตัวกันที่ไหน?” แอนนาถาม

“ป้อมปราการระหว่างดวงดาว เฉินเตี้ยนเฮ่า”

“…”

“เย่เฟย์หยู แกมาช่วยฉันหน่อย” เหลียวฮังกวักมือ

“เข้าใจแล้ว” เย่เฟย์หยูขานรับ

ไม่นานนัก เย่เฟย์หยูก็ยกกล่องเดินนำหน้าออกมา ตามด้วยเหลียวฮังที่แบกเป้สะพายบนหลัง

“ของเยอะแยะพวกนั้นมันอะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“มันคืออาหารสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส แน่นอนว่าที่สะพายอยู่บนหลังฉันน่ะ เป็นเครื่องนวดกระป... อย่ามามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น งานวิจัยและพัฒนาเครื่องจัมป์มันเป็นภาระที่หนักหนามาก ดังนั้นฉันเลยต้องมีอะไรไว้ช่วยผ่อนคลายซะบ้าง” เหลียวฮังกล่าว

แอนนามองตรงมายังกู่ฉิงซาน ที่กำลังทำการเรียกเรือรบประจัญบานขนาดเล็กมารับคนในทีมโดยเฉพาะ ในหัวขบคิดถึงบางสิ่ง

“คนหนึ่งมีแค่สองมือ จะไปใช้ของมากมายพวกนั้นได้ทั้งหมดได้ยังไงกัน” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างยากที่จะเข้าใจ

แอนนามองดูเขาด้วยความประหลาดใจ และกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปเตรียมข้าวของบ้างก็แล้วกันนะ ไม่นานหรอก มันมีแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นแหละ”

กู่ฉิงซานหันไปมองคนทั้งหลายในทีมและส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่คนอื่นๆ กำลังวุ่นวายขนของกันอยู่ ซางหยิงฮ่าวก็ตบลงบนบ่าของเขาแล้วกระซิบ “ฉันเพิ่งได้รับขวดไวน์อายุกว่าสี่สิบปีมาจากห้องประมูล”

ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใสทันที ขยับปากเอ่ยถามอย่างเงียบๆ “แล้วนายจะเอามันไปด้วยรึเปล่า?”

“ไม่มีทางซะล่ะ! ถ้าฉันเอาไป เจ้าเย่เฟย์หยูมันจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน มันยิ่งเป็นพวกไม่เน้นรสชาติ ดูแต่เฉพาะราคาซะด้วย ฉันกลัวว่าถ้าบอกราคาออกไป มันจะแย่งไปกระดกจนหมดขวดอีก”

“นายเก็บไวน์เอาไว้ในห้องใช่รึเปล่า”

“แม่นแล้ว”

“อย่างนั้นไปกันเลย พวกเราจะแกล้งทำเป็นไปเตรียมสัมภาระ แล้วนั่งดื่มรอคนในทีมขนของกัน”

กล่าวจบ ทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในวิลล่า

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้มาหยุดยืนอยู่ภายในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ก็เริ่มต้นขึ้น

เสียงชราภาพกังวานขึ้นอีกครั้ง

“เหล่ามวลมนุษย์แห่งโลกใบนี้เอ๋ย”

“วันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว พร้อมทั้งภัยพิบัติที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่รู้จบ โชคชะตาของพวกเจ้าเปรียบดั่งมดตัวน้อยๆ ที่กำลังจะถูกน้ำท่วม และไม่อาจได้รับซึ่งอิสรภาพ”

“แล้วเจ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนหรือไม่เล่า?”

“ดิ้นรนต่อสู้กับโชคชะตา เปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นเพชฌฆาต ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้า มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้”

“หากเจ้าต้องการที่จะครอบครองชีวิตอันเป็นนิรันดร์ จงเข้าร่วมการแข่งขันท้าทาย และเมื่อสามารถพิชิตชัยได้ เจ้าก็จะได้มีชีวิตนิรันดร์!”

ทว่าพอกล่าวมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของมันก็แปรเปลี่ยนไป

“มีตัวตลกที่แสนจะชั่วร้ายคอยขัดขวางมนุษย์มิให้ได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์! มันคอยทำลายความหวังของมนุษยชาติ! และคอยลอบสังหารนักรบผู้กล้าหาญของเราอย่างไร้ความปรานี!”

“และพวกเราจะไม่ยอมทนกับพฤติกรรมเช่นนี้อีกต่อไป!”

“เพื่อที่จะทำการกู้คืนระบบการแข่งขันท้าทายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และรับประกันความปลอดภัยของแชมป์เปี้ยน ข้าจึงขอประกาศทำการอัปเดตเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ในวันนี้”

“ส่วนเรื่องเวลาอัปเดต คงไม่อาจระบุได้อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในหนึ่งถึงสามวัน”

“เมื่อเกมได้ทำการอัปเดตเสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าจะสามารถเข้าสู่เกมได้ในทันที ได้รับประสบการณ์และสัมผัสกับคุณสมบัติใหม่เอี่ยมที่เพิ่งถูกเพิ่มเติมเข้ามาโดยพวกเรา…หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้ง!”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงชราภาพก็หายไป

หลายคนหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ

ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้

“มันต้องการจะทำอะไรกันแน่?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“บางทีมันอาจจะกำลังสะสมความแข็งแกร่ง” กู่ฉิงซานกล่าวตัดสิน

“ในฐานะที่ฉันเป็นนักเล่นเกมตัวยง การกระทำแบบนี้น่ะ นับว่าเป็นกลยุทธ์เรียกผู้เล่นชั้นดีเลยล่ะ” เย่เฟย์หยูกล่าวออกมาจากประสบการณ์ตรง

ณ สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง

มณฑลฉางหนิง

บนเกาะใจกลางทะเลสาบ

ภายในงานเลี้ยงรื่นเริง

ค่ำคืนได้มาถึงแล้ว เมฆทะมึนราวกับสีตะกั่วลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า สายลมที่พัดผ่านเริ่มเย็นลง ทว่าบรรยากาศภายในห้องโถงกลับค่อยๆ เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทุกคนที่มารวมตัวกันในงานเลี้ยงครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนดัง ดารา ไม่ก็พวกชนชั้นสูง ส่งผลให้ภายในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

หลังจากงานรับประทานอาหารช่วงเย็นจบลง วงดุริยางค์อันทรงเกียรติและมีชื่อเสียงมากที่สุดในรัฐบาลกลางก็เริ่มขึ้นไปบนเวที เล่นบรรเลงเพลงของพวกเขา

พร้อมด้วยฝูงชนที่แยกตัวออกจากใจกลางโถง คอยล้อมวงอยู่ภายนอก สร้างเวทีเต้นรำขนาดย่อมขึ้นมา

นักดนตรีเล่นบรรเลงเครื่องดนตรีของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าผู้คนจะได้ยินเสียงเพลง ทว่าจะไม่ถึงขั้นไปรบกวนการพูดคุยกันของพวกเขา

บางครั้งก็มีฝ่ายชายเดินมายังเบื้องหน้าหญิงสาวชนชั้นสูง ก้มหัวลงเล็กน้อยพอเป็นพิธี เมื่ออีกฝ่ายย่อเข่าตอบ ทั้งสองก็จะจูงมือกัน ก้าวเข้าไปเต้นในเวทีเต้นรำ

แต่ก็ยังมีหนุ่มหล่อชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อย ที่ยังไม่ได้เข้าไปเต้นในทันที แต่ยังคงเลือกที่จะเฝ้าดูต่อไป

พวกเขากวาดสายตามองไปยังฝูงชน เพื่อค้นหานางเอกของงานเลี้ยงเต้นรำในค่ำคืนนี้

อย่างไรก็ตาม นางเอกที่ว่า แท้จริงแล้วกลับมิได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่

เธอดันไปอยู่ภายนอกของห้องโถง ในสถานที่ห่างไกลจากคฤหาสน์ ภายใต้ส่วนลึกบนเกาะท่ามกลางทะเลสาบ บนเวทีฝึกฝนอย่างโดดเดี่ยว

ซูเซี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่คนเดียวบนขอบเวทีที่ว่านั่น

บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงตัวเธอและเพลิงสายฟ้าที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ

เด็กสาวจ้องมองไปบนภาพข่าวบนจอม่านแสง

สายตาของเธอติดตรึงอยู่บนพาดหัวข่าว

ศูนย์ประชุมนานาชาติในเมืองหลวง

งานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำอันแสนยิ่งใหญ่ตระการตาของจักรพรรดิฟูซี

แอนนาที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส ดึงกู่ฉิงซานเดินเข้าไปพูดคุยกับองค์จักรพรรดิ

ซูเซี่ยเอ๋อร์กดปุ่มหยุดบนสมองควอนตัม และภาพทุกอย่างในเนื้อข่าวก็นิ่งงันลงในทันใด

“เพลิงนางฟ้า ดูเหมือนว่าฉันจะเจอปัญหาเข้าซะแล้วสิ” เธอกล่าว

“ซูเซี่ยเอ๋อร์ที่เคารพ เชิญระบายออกมา” เพลิงนางฟ้ากล่าว

“คุณสามารถเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้งได้ไหม?”

“โดยทั่วไปแล้วฉันจะไม่เชื่อมต่อกับเทพธิดาได้ แต่หากคุณทำการร้องขอ ฉันก็สามารถเชื่อมต่อให้ได้” เพลิงนางฟ้ากล่าว

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยฉันทำการเชื่อมต่อกับเทพธิดาให้หน่อยนะ พอดีว่าฉันมีบางอย่างที่จะพูดคุยกับเธอน่ะ”

“ทราบแล้ว”

ไม่นานนัก น้ำเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูลึกล้ำและน่ายำเกรงก็ดังกังวานขึ้น

“ฉันคือเทพธิดากงเจิ้ง มิสซูเซี่ยเอ๋อร์ ชนชั้นสูงแห่งรัฐบาลกลาง ฉันได้มาตามคำเชิญของคุณแล้ว”

“เทพธิดากงเจิ้ง ฉันมีบางอย่างอยากจะถามคุณสักหน่อย” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว

“ซูเซี่ยเอ๋อร์แห่งรัฐบาลกลาง เป็นชนชั้นสูงลูกหลานสายตรงของเก้าตระกูลใหญ่ และเป็นถึงตัวตนที่ ผู้นำสูงสุด ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานเน้นย้ำให้ช่วยดูแล หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ ฉันสัญญาณว่าจะพยายามตอบคำถามนั้นให้ดีที่สุด”

“พี่ใหญ่ฉิงซานกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?”

“ภารกิจของใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซาน ถูกเก็บไว้เป็นความลับสูงสุด ฉันไม่สะดวกที่จะเปิดเผยมัน แนะนำให้มิสซูเซี่ยเอ๋อร์ ติดต่อสอบถามกับเขาเองเลยโดยตรงจะเป็นการดีกว่า”

“ก็ฉันไม่กล้าที่จะถามเขานี่แหละ ดังนั้นเลยมาถามคุณแทน” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถอนหายใจ

เธอนิ่งคิดอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามในที่สุด “ทำไมองค์หญิงแอนนาถึงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพี่ใหญ่ฉิงซาน แล้วทำไมพวกเขาถึงได้อยู่ด้วยกัน?”

“ฉันคิดว่านั่นคือการบ่งบอกถึงตกลงร่วมมือเป็นพันธมิตร ในการทำภารกิจร่วมกัน เจตนาคงเป็นการแสดงถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานร่วมกัน” เทพธิดากงเจิ้งตอบ

“ความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานร่วมกันอย่างนั้นเหรอ?”

หลังจากที่ได้ฟังประโยคดังกล่าว ทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อร์ก็สั่นสะท้าน

เธอเร่งถามรายละเอียด “แล้วภารกิจที่เขากับเธอร่วมกันทำมันคืออะไร?”

“องค์หญิงแอนนาได้เข้าร่วมทีมของใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ กู่ฉิงซาน…”

เทพธิดากงเจิ้งเงียบไปสักพัก ก่อนจะกล่าวต่อ “พิจารณาในมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ ฉันจึงตัดสินใจตอบคำถามเมื่อครู่ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเกินกว่าอำนาจพลเมืองของคุณจะสามารถรับรู้ได้”

“เข้าร่วมทีม…กับพี่ใหญ่ฉิงซาน…” สีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อร์หมองลง ก่อนจะตัดสินใจถามต่อ “แล้วทีมของพี่ใหญ่ฉิงซานกำลังทำอะไร?”

“ความลับสุดยอด ไม่สะดวกที่จะเปิดเผย”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอใช้อำนาจพลเมือง ในฐานะลูกสาวคนโต ผู้สืบทอดโดยตรงของเก้าตระกูลใหญ่ ขอดูข้อมูลส่วนตัวขององค์หญิงแอนนาแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์”

“คำร้องขอผ่าน”

............................................................