ตอนที่ 204 ไม่รับลูกศิษย์
บนพื้นที่เปิดโล่งนอกวิลล่า
กู่ฉิงซานกับแอนนาเผชิญหน้ากัน โดยเว้นระยะห่างจากกันหลายสิบเมตร
แอนนายกแขนทั้งสองขึ้นมากอดอก ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยกสูงขึ้น “เอาเป็นว่าถ้าใครชนะ คนคนนั้นก็จะสามารถชี้นำหรือสั่งสอนผู้แพ้ให้ฝึกฝนตามที่ตัวเองต้องการได้ ตกลงไหม”
“ไม่ขัดข้อง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับนายมาเป็นศิษย์” แอนนาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “แต่พอมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ฉันว่ามันก็น่าสนใจไม่เลวเลยเหมือนกัน”
ปากอ้าคำราม เปลวเพลิงลุกท่วมไปทั่วทั้งร่าง “เอาล่ะนะ!”
ปรากฏเคียวสีดำขึ้นในมือของเธอ
“ลองเจอนี่”
ขณะกล่าวแอนนาก็สัมผัสได้ถึงประกายอันเย็นเยียบบริเวณลำคออีกครั้ง
เธอก้มลงมองดาบยาว และเห็นว่ามันถูกวางไว้ในตำแหน่งเดิมอย่างมั่นคง โดยมีกู่ฉิงซานยืนถือมันอยู่เบื้องหลังเธอ
และแทบจะในทันที กู่ฉิงซานก็ถอนคมดาบกลับคืนและเดินกลับมาทางฝั่งตรงข้าม
แอนนาตกตะลึงอีกครั้ง
“ครั้งนี้ไม่นับนะ ฉันกำลังพูดอยู่ นายมันเล่นทีเผลอ ขอฉันลองอีกครั้ง” คราวนี้เธอเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ
“ก็ได้” หลังจากที่เดินออกมาสักพัก กู่ฉิงซานก็หันกลับมาตอบ
ทั้งสองเว้นระยะห่าง ยืนเผชิญหน้ากันและกันอีกครั้ง
เคียวสีดำในมือของแอนนาถูกวาดออก พร้อมกับปรากฏระลอกคลื่นที่มองไม่เห็น ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า
ตามมาด้วยสามร่างโครงกระดูกที่ถูกย้อมไปด้วยเปลวเพลิงสีดำทมิฬ กระโดดออกมาจากระลอกคลื่นดังกล่าวนั้น
แต่แอนนาดูเหมือนว่าจะยังไม่สบายใจ เธอเคาะปลายเคียวลงบนพื้น น้ำเสียงอันละเอียดอ่อนและหวานหยดย้อยดังขึ้นเบาๆ “อัคคียมทูต!”
ตูม!
เปลวไฟสีดำลุกพรึบ มันหวีดคำราม แปรเปลี่ยนรูปร่างตนเป็นหัวกะโหลกขนาดใหญ่และเข้าห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้
“เข้ามาเลย คราวนี้แหละฉันเอาจริงแล้วนะ” แอนนากล่าว
ฟุบ! กู่ฉิงซานทะยานออกไปเบื้องหน้าในทันที ดาบพิภพถูกง้างสูงขึ้นพร้อมกับแผดรังสีดาบสีขาวนวลราวกับจันทรา วาดลงมาจนเห็นเป็นเส้นโค้งอันแสนงดงาม
ฉัวะ!
สามโครงกระดูกทมิฬแตกสลาย ถูกกวาดกระจายไปพร้อมกับสายลมอันรุนแรงจากคมดาบ!
“ท่านยมทูต! ท่ามกลางเปลวเพลิงที่คำรามก้อง ข้าขออัญเชิญท่าน”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูจะไม่ค่อยสู้ดี แอนนาก็ประสานสองมือของเธอและเริ่มสวดอธิษฐาน
กะโหลกสีดำขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มตัวเธอเริ่มบังเกิดแรงสั่นสะเทือน และขยายขนาดจนใหญ่โตขึ้น
ตามมาด้วยร่างอันน่าขนพองสยองเกล้าที่ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างออกมาตามขนาดที่ขยายใหญ่
อย่างไรก็ตาม คมดาบกลับแทรกทะลวงเข้าไปในเปลวเพลิงสีดำ มันเจาะเข้ามาจากเบื้องหลังของแอนนา และจี้ปลายแหลมลงบนตำแหน่งหัวใจของเธอ!
เพียงลมหายใจเดียว ผลลัพธ์ของชัยชนะและความพ่ายแพ้ก็ถูกตัดสินลงอย่างชัดเจน
แอนนายืนบื้อใบ้ โง่งมอยู่กับที่
ร่างกะโหลกทมิฬที่กำลังขยายตัวเหือดหายลง สลายหายไปในทันที
อีกสามคนที่เฝ้าดูฉากนี้ก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง อัคคียมทูตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยังไม่ทันจะได้ปลดปล่อยอำนาจของตนออกมาเลย แต่ดันต้องพบกับความพ่ายแพ้ซะแล้ว…”ซางหยิงฮ่าวเอ่ยงึมงำ
คนตรงหน้าเขาคือแอนนา แอนนาเชียวนะ แอนนาที่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้เท่านั้นที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเธอ!
ไม่เพียงครอบครองเทคนิคเทียนซวนประเภทอัญเชิญความมืด แต่ยังเป็นถึงผู้ปลดผนึกธาตุไฟในขั้นแยกหยาง และความมืดผสานกับไฟ มันจะก่อให้พลานุภาพที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง
ยังไงก็ตาม แม้จะเป็นพลังระดับนี้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน มันกลับไม่มีแม้กระทั่งช่วงเวลาที่จะเผยถึงพลานุภาพของตนออกมา
เขากลับสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างน่าประหลาดใจ
“โห ถ้าเจ้าหมอนี่เป็นปฏิปักษ์กับฉันแล้วล่ะก็ เวลาสู้กันฉันคงรู้สึกอึดอัดน่าดู ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าเขาเก่งกาจไม่เลวก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างประทับใจ
และในที่สุดแอนนาก็ยอมเชื่อว่าตนเองพ่ายแพ้แล้วจริงๆ ในเวลานี้
แม้เธอจะเป็นคนอารมณ์ร้อนมากไปนิด มากไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วก็มิใช่คนโง่
หากนี่คือการต่อสู้ที่ถึงขั้นเอาชีวิต กู่ฉิงซานคงฆ่าเธอตกตายไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
แม้ทั้งร่างของแอนนาจะได้รับการคุ้มครองจากเปลวเพลิงสีดำก็ตามที สุดท้ายก็ยังคงพ่ายแพ้ เธอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “นายสามารถสังหารสามโครงกระดูกดำพร้อมๆ กันได้ยังไง แล้วการที่จู่ๆ ก็หายตัวมาปรากฏขึ้นเบื้องหลังฉันจนสามารถหยุดคำร่ายได้นี่มันคือท่าร่างอะไรกัน” เมื่อกู่ฉิงซานเห็นว่าเธอยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว ในหัวใจของเขาก็ค่อยๆ บรรเทาความตึงเครียดลงหลายส่วน
ความแข็งแกร่งของแอนนานั้นทรงพลังมากเกินไป นับว่าโชคยังดีที่เขามีสกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว เอาไว้ครอบครอง ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ เขาคงต้องทุ่มต่อสู้กับเธออย่างหนักหน่วง และคมดาบนั้นไร้ซึ่งดวงตา มันอาจจะพลั้งมือทำให้เธอได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้
“นั่นเพราะแหล่งพลังที่ฉันใช้ มีต้นกำเนิดมาจากโลก แต่โครงกระดูกของเธอเพียงแค่ใช้พลังจากเปลวเพลิงเฉยๆ ผลเลยกลายเป็นการง่ายที่จะดับมัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช้พลังจากเปลวไฟเฉยๆ…” แอนนาตระหนักได้ถึงจุดสำคัญของประโยคทันที ปากเอ่ยถาม “ถ้าเป็นอย่างที่นายบอกจริงๆ แล้วแหล่งกำเนิดของไฟมันคืออะไรกัน?”
กู่ฉิงซานวางมือลงบนไหล่ของเธอ และกล่าว “ไหนลองปล่อยสกิลที่พึ่งใช้ไปเมื่อกี้ออกมาอีกครั้งดูสิ”
แอนนาทำตามเขา ขณะที่กู่ฉิงซานถ่ายเทพลังวิญญาณส่วนหนึ่งลงไปยังเธอ
ตูมๆๆ!
เปลวเพลิงสีทมิฬอันร้อนแรงปะทุออกมาจากชั้นอากาศที่ว่างเปล่า ตามด้วยร่างโครงกระดูกดำกว่าห้าตัวผุดออกมา ทว่าพวกมันมิได้ผอมแห้งเหมือนดั่งในครั้งก่อน คราวนี้รูปร่างของพวกมันกลับดูบึกบึนแข็งแรง กว่าครึ่งร่างสวมใส่เกราะรบที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟสีทมิฬ แถมในมือยังถืออาวุธที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปอีกด้วย
ทันทีที่ฝ่าเท้าของโครงกระดูกสัมผัสลงกับพื้น พวกมันก็หันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เดินมาหยุดรวมกันเบื้องหน้าของแอนนา
พวกมันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ราวกับว่าตนเองนั้นมีชีวิต
“ความรู้สึกมหัศจรรย์นี่มันอะไรกัน ฉันสัมผัสได้ถึงกระแสคงที่ของพลังงานบางอย่าง ปรากฏออกมาให้ใช้สอย” แอนนาที่ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ มันคือพลังวิญญาณ” กู่ฉิงซานกล่าว
“พลังวิญญาณ? มันคืออะไรกัน”
“มันคือพลังที่จะช่วยสนับสนุนสกิลที่เธอปลดปล่อยออกมาให้ทรงพลังยิ่งขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว “มืออาชีพก็เปรียบเหมือนกับเครื่องยนต์ของรถเหินเวหา ทว่าพวกเขากลับเอาแต่ยกระดับเครื่องยนต์ มิคิดใช้สอยหรือรับการสนับสนุนจากแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ เลยไม่สามารถระเบิดกำลังรบที่แท้จริงออกมาได้”
“เอาล่ะ เรามาลองกันอีกสักครั้ง คราวนี้ฉันจะถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปแบบเต็มกำลังนะ ตั้งสมาธิดีๆ ล่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
แอนนาวาดเคียวของเธอตัดลงไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง
กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกาย และกระตุ้นถ่ายเทมันออกไปอย่างแรง
ท่ามกลางความว่างเปล่า บังเกิดเสียงคำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง
หัวโครงกระดูกค่อยๆ ผุดออกมา หนึ่งหัว สองหัว สามหัว…
กว่าพวกมันจะหยุดลง บนพื้นที่เปิดโล่งก็ปรากฏร่างของโครงกระดูกที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ ขึ้นมากว่าสามสิบตัวแล้ว!
ด้วยปริมาณกองกำลังขนาดนี้ กล่าวได้ว่ามันเพียงพอที่จะก่อสงครามขนาดย่อมได้เลย
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน…”น้ำเสียงของแอนนาแหบแห้งจนเหือดหาย เอ่ยออกมาไม่ครบประโยค
ด้วยพลังดั้งเดิมของเธอ หากใช้ออกอย่างเต็มกำลัง จะสามารถปลดปล่อยร่างโครงกระดูกดำออกมาได้อย่างเต็มที่ก็สี่ตนเท่านั้น
“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ทำไมช่องว่างความต่างชั้นของมันถึงได้มากมายขนาดนี้” แอนนาเอ่ยถาม
“เพราะฉันได้ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในสกิลของเธอยังไงล่ะ” กู่ฉิงซานตอบ
“พลังวิญญาณที่ว่า มันคือเทคนิคเทียนซวนเฉพาะตัวของนายใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ พลังวิญญาณคือกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่สุดของโลก มันคือพลังงานอันบริสุทธิ์ และเรียบง่ายที่สุด ทุกคนในโลกใบนี้สามารถเรียนรู้ที่จะใช้งานมันได้”
กู่ฉิงซานยังคงอธิบายต่อ “ธาตุทั้งห้ากับเทียนซวน หรือแม้กระทั่งหวนคืนไร้ลักษณ์ ทั้งหมดล้วนจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยพลังวิญญาณ มันจึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้”
แอนนาเงียบไปขณะหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นมาอย่างช้าๆ “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย…”
“แล้วทุกคนในที่นี้เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพลังวิญญาณมาก่อนไหม?” แอนนาหันไปมองฝูงชนทั้งสาม
อีกสามคนส่ายหัวโดยพร้อมเพรียง ซางหยิงฮ่าวเอ่ยปากกล่าว “ไม่เลย พวกเราก็พึ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ”
กู่ฉิงซานกล่าว “เรื่องนี้จะตำหนิพวกนายก็ไม่ได้หรอก หลังจากทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะผู้คนในโลกใบนี้ยังคงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของพลังอยู่แค่เพียงผิวเผิน”
แอนนา “แล้วฉันจะสามารถเรียนรู้เจ้าสิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณได้จริงๆ ใช่ไหม”
“แน่นอนว่าได้ ฉันจะเป็นคนสอนเธอให้ถึงวิธีการสัมผัสถึงพลังวิญญาณเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องทำพิธีคารวะอาจารย์ไหม?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยแทรกนอกเรื่อง
กู่ฉิงซานรีบส่ายมือปฏิเสธทันที “ไม่ๆ ฉันจะไม่เป็นอาจารย์ของพวกนาย และไม่สามารถยอมรับใครในฐานะศิษย์ได้อีกด้วย”
“บางสิ่ง ฉันก็ไม่สามารถสอนพวกนายได้ แต่ฉันจะคิดค้นวิธีการอย่างอื่นที่จะช่วยให้พวกนายสามารถเรียนรู้การใช้พลังวิญญาณได้เอง”
“อ้าว ทำไมถึงไม่ยอมรับลูกศิษย์ล่ะ?” แอนนาเริ่มบังเกิดความสนใจขึ้นมา
“เพราะว่าเรื่องนี้ ฉันยังไม่เคยได้เอ่ยถามกับอาจารย์ของฉันมาก่อนเลย ดังนั้นจึงไม่สามารถรับศิษย์ได้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก
การที่นิกายจะยอมรับสาวก นี่มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
หากบุคคลใดก็ตามยังไม่ได้รับอนุญาตหรือปกปิดการรับเอาศิษย์สาวกเข้ามาโดยพลการ แล้วแพร่งพรายเทคนิคฝึกฝนของนิกายออกไป มันนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ และยามที่ข่าวนี้หลุดรอดออกไป วันนี้ในปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของคนผู้นั้น
ผู้ที่กระทำเช่นนี้จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยนิกายของตน
นี่คือกฎเหล็กที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายไปทั่วทั้งโลกแห่งการฝึกยุทธ
แม้ว่านางเซียนไป่ฮั่วจะดีต่อเหล่าสาวกในนิกายเป็นอย่างมาก และหากกู่ฉิงซานทำอะไรผิดพลั้งไป บทลงโทษของเขาก็คงจะไม่ร้ายแรงนัก ทว่ากู่ฉิงซานไม่ต้องการที่จะทำให้นางเซียนเกิดความผิดหวังใดๆ กับตนเอง
“นี่นายมีอาจารย์กับเขาด้วยอย่างนั้นเหรอ?” แอนนากล่าวอย่างคาดไม่ถึง
“ก็ใช่น่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
“แล้วอาจารย์นายมีพลังมากมายขนาดไหนกัน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“มีพลังชนิดที่ว่าต่อให้ตัวตนที่ทรงพลังและแข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้มารวมตัวกัน มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้เธอใช้ออกได้เกินหนึ่งฝ่ามือ” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ
ทั้งสี่หันมามองหน้ากันด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่แก…สมองคงไม่ได้ผิดปกติอะไรใช่ไหม ”เหลียวฮังชี้ไปที่หัวของเขา
“ไร้สาระน่า ฉันยังปกติดี” กู่ฉิงซานเอียงคอตาม
แล้วจู่ๆ เย่เฟย์หยูก็เอ่ยออกมา “แต่ว่าฉันเชื่อนะ”
อีกสามคนหันไปมองเขา
“สัตว์ประหลาดสายพันธุ์ดุร้ายแบบนี้ หากอาจารย์ไม่ดุร้ายยิ่งกว่า แล้วจะไปสอนมันได้ยังไงกัน” เย่เฟย์หยูกล่าว
............................................................