webnovel

0117 ก้าวขึ้นสู่สรวงสวรรค์

ตอนที่ 117 ก้าวขึ้นสู่สรวงสวรรค์

เขาเดินตรงไปยังหนิงเยว่ฉาน ก่อนจะอุ้มซิวซิวขึ้นมา

“ศิษย์พี่” ซิวซิวซุกหน้าลงบนแผ่นอกของเขา

“เอาล่ะ ทีนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมารังแกซิวซิวของเราได้อีกแล้วนะ” กู่ฉิงซานลูบหัวเธอด้วยรอยยิ้ม

คู่ดวงตาของหนิงเยว่ฉานตรึงแน่นอยู่กับร่างของเขา อย่างไม่อาจละสายตาลงได้

ฝูงชนในฉากนี้ยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาปรับสติอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับได้

นี่มันถึงขั้นฆ่ากันตายเลยอย่างนั้นหรือ?

จะดีจะร้ายอีกฝ่ายก็เป็นถึงลูกศิษย์ที่แท้จริงของหนึ่งในสามไตรภาคี น้อมสวรรค์ซวนหยวน ทว่าบัดนี้เขากลับถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาทุกผู้คน?

ไม่นานนัก ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก็ขึ้นไปชำระล้างทำความสะอาดเวที ขณะที่บางคนก็เริ่มเตรียมการงานทดสอบประจำปีขั้นต่อไป กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ

เกิดความยุ่งวุ่นวายยาวนานกว่าหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามมาแล้ว ทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นการปรากฏตัวของน้อมสวรรค์ซวนหยวนเลย

น้อมสวรรค์ซวนหยวนก็ถูกกล่าวขวัญว่าเป็นคนอารมณ์ร้อนเช่นกัน ทว่าบัดนี้ ทั้งๆ ที่ศิษย์ของตนถูกฆ่าตาย แบบสภาพศพไม่ครบสามสิบสอง เขากลับยังคงไม่ปรากฏตัวออกมา หรือว่าการกระทำเช่นนี้จะเป็นการบ่งบอกกลายๆ ว่าน้อมสวรรค์ตระหนักดีว่าฝ่ายใดเป็นคนผิด?

ในเวลานี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ต่างหันมาสบตา พยักหน้าให้กันและกัน

หากนักปราชญ์ไม่คิดออกหน้าใดๆ นี่ก็เทียบเท่ากับว่าเขาได้ยอมรับมันแล้ว ทุกคนจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันอีก

ผู้ฝึกยุทธบางส่วนมองลงไปยังเวทีจัตุรัส พวกเขาลอบมองไปยังกู่ฉิงซาน ทว่ากลับไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงเรื่องที่เขาพึ่งฆ่าคนตายไปแม้เพียงครึ่งคำ

ในหัวใจของผู้คนต่างปรากฏความคิดเห็นตรงกันว่า

‘ไอ้นี่มันบ้า ไม่สมควรเข้าไปยั่วยุเด็ดขาด’

หลังจากนั้นไม่นาน

ถึงแม้ว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ทว่าการทดสอบประจำปีก็เป็นเรื่องสำคัญของมนุษยชาติเช่นกัน และจำต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นตามขั้นตอนที่กำหนดไว้

“อันดับหนึ่งในการทดสอบประจำปีในครั้งนี้ก็คือ…” อาวุโสจากนิกายหวังเจี้ยนกล่าวประกาศ “กู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผา!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธตะลึงงัน ก่อนจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว

ในบรรดาเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดทั้งยี่สิบคนคน สังหารไปหนึ่งกลายเป็นผักอีกหนึ่งทุบตีอีกสิบห้าจนสลบ ที่เหลืออีกสามจำต้องยอมโขกหัวกับพื้นที่ร้องขอความเมตตา

ต่อมาก็ต่อสู้กับหลี่ฉางอันบนเวที นอกจากนี้ยังไล่ติดตามฟันหลังเขาไปจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นก็วาดคมดาบสะบั้นแยกหัวของอีกฝ่ายออกจากร่าง

เด็กหนุ่มผู้นี้ แม้รูปลักษณ์จะดูสุภาพ ทว่ายามจับดาบกลับกลายเป็นดุร้าย!

หากอันดับหนึ่งมิใช่ของเขา มันจะเป็นของใครไปได้อีก?

กู่ฉิงซานก็ค่อนข้างที่จะประหลาดใจเช่นกัน

ในที่สุดเขาก็ได้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีและอิทธิพลของนิกายร้อยบุปผาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธด้วยตาของตัวเอง

ตนกระทำเรื่องราวอันใหญ่โตเช่นนี้ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยกล่าวอะไรออกมาเลยแม้เพียงคนเดียว พวกเขาเพียงเผยให้เห็นแค่ความหวาดกลัวในสายตาที่จ้องมองมา...แต่ นี่มันนับว่ารู้สึกดีไม่เลวเลย

“ศิษย์พี่ ท่านได้อันดับหนึ่ง ท่านได้อันดับหนึ่งล่ะ!” ซิวซิวกล่าวพลางปรบมือด้วยความสุข

กู่ฉิงซานยิ้มและเดินไปยังเบื้องหน้าอาวุโสจากนิกายหวังเจี้ยน ก่อนจะได้รับตราประทับที่แกะสลักหยกวิญญาณเอาไว้มาจากมือของเขา

เจ้าสิ่งนี้อาจจะคล้ายคลึงกับถ้วยรางวัลชนะเลิศในโลกจริงของกู่ฉิงซานก็เป็นได้ หลังจากรับมันมา เขาก็ลองเล่นมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บไป

เจ้าสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลยสำหรับเขา แต่คาดว่ามันอาจจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความนัยที่ว่าศิษย์เช่นนี้สมควรค่าแก่การสอนสั่งก็เป็นได้

ต่อมา ผู้อาวุโสจากนิกายหวังเจี้ยนก็เริ่มประกาศอันดับที่สองและสาม

เขาก็คือผู้ฝึกยุทธอีกสองคนที่คุกเข่าโขกหัวสาบานและร้องขอความเมตตา

ผู้คนทั้งหมดก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้วเช่นกัน

เพราะจากเกือบทั้งหมด สองคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่ถูกทำให้สิ้นสติลงโดยคมดาบของกู่ฉิงซาน ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้ร่างกายยังคงอยู่ ทว่าดูเหมือนจิตสำนึกในขณะนี้จะกลายเป็นว่างเปล่าไปแล้ว

พวกเขาต่างรับรู้ได้ว่าการทดสอบประจำปีนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ผู้นำนิกายหวังเจี้ยนตรงไปยังใจกลางเวทีจัตุรัส เขาชันเข่าลงข้างหนึ่งและกดมือลง วาดลวดลายอะไรบางอย่างลงตรงใจกลางเวที

เขากระตุ้นพลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกาย และถ่ายเทลงไปยังพื้นเบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง

ไม่นานนัก ก็ปรากฏชั้นแสงสีทองเชื่อมเข้าด้วยกัน พุ่งทะยานขึ้นไปในชั้นเมฆ

ผู้นำนิกายหวังเจี้ยนกดนิ้วทั้งห้าเพื่อยันตัวยืนขึ้น ก่อนจะเริ่มกล่าวอย่างเคร่งขรึม “การทดสอบประจำปีแห่งมนุษยชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอทำการอัญเชิญทวยเทพลงมาจุติลงโลกมนุษย์!”

เมื่อสิ้นคำกล่าวของเขา แสงสีทองก็หายวับไป

สิ่งที่ตามมาคือปรากฏการณ์หนึ่ง

ภายในพระราชวังเบื้องหลังเวทีจัตุรัสปรากฏบันไดยาวที่แต่ละคั่นค่อยๆ ร้อยเรียงขึ้นมา

บันไดเหล่านี้ทั้งหมดถูกปูด้วยชั้นอิฐที่ไม่รู้ที่มา และหลังจากที่มันผ่านพ้นช่วงเวลามาหลายร้อยหลายพันปี มันก็เริ่มทรุดโทรมลง และมีบางชิ้นที่ดูเหมือนจะแตกหักไปแล้ว

บันไดปรากฏขึ้นมาจากชั้นอากาศบางเบา และถูกวางเรียงรายไว้เป็นขั้นอยู่เต็มท้องฟ้า

“ศิษย์พี่ เจ้าสิ่งนี้คืออะไรงั้นเหรอ?” ซิวซิวเอ่ยถามอย่างเงียบๆ

“มันคือเส้นทางที่เราจะใช้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์” กู่ฉิงซานกล่าวตอบ ทว่าสายตาของเขายังคงไม่ละไปจากฉากนี้ “ทว่ามันกลับถูกตัดออกก่อนจะทันได้ขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์”

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บันไดทอดยาวขึ้นไปจนถึงความสูงระดับหนึ่ง ก่อนที่มันจะหยุดลงและไม่ปรากฏชั้นอิฐยืดขึ้นอีกต่อไป

ช่วงส่วนบนของบันไดเหมือนจะถูกตัดออก ไม่ก็ถูกทุบทำลายโดยสิ่งมีชีวิตบางอย่าง

ปรากฏการณ์นี้ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติว่า ‘เกิดการทำลายเส้นทางขึ้นสู่สรวงสวรรค์ และไม่อาจข้ามผ่านขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบนได้อีกตลอดกาล’

“ยุคสมัยแห่งเหล่าทวยเทพและราชันวิญญาณ...”กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

ในช่วงปีก่อนๆ ในอดีตกาล เมื่อใดก็ตามที่บรรลุการทดสอบประจำปี บันไดขึ้นสู่สรวงสวรรค์ก็จะปรากฏขึ้น และมนุษยชาติที่โดดเด่นที่สุดในการทดสอบประจำปี ก็จะได้ก้าวขึ้นสู่สรวงสวรรค์เพื่อที่จะได้รับเกียรติเข้าพบกันทวยเทพ

ทว่าตอนนี้เส้นทางได้ถูกตัดขาด และไม่มีข่าวคราวใดจากสวรรค์เบื้องบนส่งลงมาเลย

เหล่าทวยเทพและราชันวิญญาณหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ปรากฏการณ์นี้ได้ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่ามันก็แค่เพียงไม่นาน เมื่อบันไดที่จะนำขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ร้อยเรียงไปจนถึงทางที่ถูกตัดขาด มันก็ค่อยๆ สลายหายไปในอากาศอย่างช้าๆ

และนั่นหมายถึง การทดสอบประจำปี ได้สิ้นสุดลงแล้ว

...

ลึกขึ้นไปบนชั้นเมฆที่ไม่อาจมีผู้ใดมองเห็นได้

บนเมฆขาว ปรากฏร่างของคนสองคนกำลังเล่นหมากรุกอยู่ และมีอีกคนหนึ่งกำลังเฝ้ามอง

หนึ่งในนั้นคือนางเซียนไป่ฮั่ว และอีกหนึ่งคือนักบวชเต๋าหน้าแดง และมีนักพรตเฒ่ากำลังเฝ้าจับตาดูอยู่

ที่กล่าวมานี้คือไตรภาคีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

นักบวชเต๋าหน้าแดงผู้นี้ แท้จริงแล้วก็คือน้อมสวรรค์ซวนหยวน ส่วนนักพรตเฒ่าก็ไม่แคล้วต้องเป็นนักพรตเป่ยหยวน

น้อมสวรรค์ซวนหยวนส่งเสียงฮึฮะกล่าวแดกดัน “นี่มันหนักมือเกินไป! หนักมือเกินไปแล้ว!!”

“ผายลมอันใดออกมา เทคนิคดาบของเขา มิได้สร้างความเจ็บปวดใดๆ เลย คมดาบสุดท้ายส่งศิษย์เจ้าให้ตายลงอย่างสงบ เขาหาได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ไม่” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

“แล้วคมดาบที่ถูกฟาดฟันออกไปก่อนหน้านี้เล่า?” น้อมสวรรค์ซวนหยวนกล่าวอย่างหงุดหงิด

“หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าลงมือด้วยตนเองเป็นการส่วนตัวล่ะ” นางเซียนไป่หรี่ตาจ้องมองอีกฝ่าย

น้อมสวรรค์ซวนหยวนตัวหดลีบ และไม่เอ่ยคำใดอีก

นางเซียนไป่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น “ศิษย์ฝึกหัดของเจ้า กล้ากล่าวว่าร้ายทำลายชื่อเสียงนิกายของข้า หากศิษย์ข้ามิได้ออกหน้าลงมือ ข้านี่แหละจะไปเยี่ยมศิษย์เจ้าเป็นการส่วนตัวเอง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

น้อมสวรรค์ซวนหยวนไม่เอ่ยกล่าวตอบ

นางเซียนไป่เอ่ยเสริม “เฮ้อ...ในอดีต ครั้งหนึ่งข้าเคยถูกไล่ล่าจนต้องหนีตาย และในที่สุดข้ากลับสามารถหนีรอดการตามล่าของชายคนนั้นมาได้ ก็ด้วยน้ำใจของคนผู้หนึ่งที่ซึ่งแลกมันมาด้วยชีวิต”

สองนักปราชญ์รู้สึกสับสน แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับในอดีต

นี่นับว่าเป็นเรื่องต้องห้ามของนางเซียนไป่ฮั่ว และนางก็ไม่เคยได้เอ่ยกล่าวกับผู้ใด ดังนั้นทั้งสองจึงไม่คาดคิดว่าเธอจะเอ่ยมันออกมาด้วยตัวเองในวันนี้

นางเซียนไป่กล่าว “ในอดีตที่ผ่านมา ข้าสามารถรอดพ้นจากการหนีตายมาได้ ก็เนื่องเพราะซิวซิว”

นักพรตเป่ยหยวนที่อยู่ลึกขึ้นไปบนท้องฟ้า เหลือบมองลงไปยังเด็กสาววูบหนึ่ง

“เอ๋? ผู้ฝึกยุทธหญิงชราเช่นเจ้าน่ะหรือกลับถูกศิษย์หญิงช่วยเอาไว้ ว่าแต่นางมิใช่ว่ามีอายุเพียงแปดขวบปีหรอกหรือ? นอกเสียจากว่า...”

“ครั้งอดีตเคยบังเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยอย่างนั้นหรือ!?”

นักพรตเป่ยหยวนที่สาดสายตาลงไปยังร่างของเด็กสาวเอ่ยพึมพำ

“เรื่องอะไรรึ?” น้อมสวรรค์ซวนหยวนที่แม้จะยังโกรธอยู่แต่เขาก็ยังอยากรู้อยากเห็นและอดไม่ได้ที่จะมองลงไป

“เอ๋? ห้วงเวลาร่างกายกับจิตเทวะของเธอกลับปรากฏไว้ซึ่งบาดแผลร้ายลึก!?”

ประกายในสายตาของน้อมสวรรค์ซวนหยวนสว่างวาบขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เป็นอย่างที่พวกเจ้าคิด ครั้นช่วงเวลาที่ข้ากำลังหลบหนี เป็นซิวซิวที่มิยอมเอ่ยปากบอกข้อมูลของข้า นางจึงถูกจับยัดลงในถุงวิญญาณอสูรโดยชายผู้นั้น และต้องทนทุกข์ทรมานมายาวนานกว่าห้าปีเต็ม ทว่าทั้งห้าปีนั้นนางกลับไม่เคยปริปากถึงเรื่องราวของข้าเลย” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์

“ข้าเป็นหนี้ชีวิตนาง”

“ดังนั้น” นางเซียนกล่าว “หากมีผู้ใดทำให้นางเคืองใจหรือทำร้ายนางจนได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้า ข้าก็จะต้องล้างแค้นให้นางให้จงได้”

น้อมสวรรค์ซวนหยวนเมื่อได้ฟังคำนี้ เขาก็มองลงไปยังซิวซิวอีกครั้ง ในหัวใจของเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง

เด็กสาวผู้นี้ แท้จริงแล้วมิใช่ตัวตนที่ดูง่ายดายดั่งภายนอกเลย เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้แหละคือเกล็ดย้อนของนางเซียนไป่ฮั่วอย่างแท้จริง

หากเป็นคนจากนิกายอื่นๆ ที่ทำให้นางได้รับบาดเจ็บ บางทีนางเซียนไป่ฮั่วอาจจะคลั่งไปแล้ว และลงมือฆ่าสังหารพวกเขาทั้งนิกายด้วยตัวเองโดยตรง

น้อมสวรรค์ซวนหยวนถอนหายใจ

“อนิจจา ข้าน่าจะสอนสั่งศิษย์ให้ขัดเกลาอารมณ์ ไม่น่าปล่อยปละละเลยให้เขาไปรังแกผู้อื่นเลย” ซวนหยวนถอนหายใจยาว

“ไม่ต้องเสียใจไป” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “นี่ก็นับว่าเป็นความผิดพลาดของข้าเช่นกัน ข้าเพียงแต่คิดถึงเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา ทว่ามิได้คาดคิดว่าจะถูกผู้อื่นกล้ารังแกเช่นนี้”

นักพรตเป่ยหยวนทำสมาธิเข้าถึงจิตแห่งพุทธะ บัดนี้ทั้งสองคนนี้ได้ถอยกันคนละก้าวแล้ว เช่นนี้แหละคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

น้อมสวรรค์ซวนหยวนครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า

นางเซียนไป่ฮั่วเห็นเขาพยักหน้า จึงน้อมรับ ก่อนจะหันไปคำนับนักพรตเป่ยหยวนเล็กน้อย จากนั้นก็หายวับไป

บนเมฆขาว เหลือทิ้งไม้เพียงน้อมสวรรค์ซวนหยวนและนักพรตเป่ยหยวนที่ยังคงนั่งอยู่

........................................