webnovel

ซ่อนกลิ่น 01

"หาวว…"

เสียงหาวยานคางดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจากคนที่เอาแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมา เมื่อช่วงเช้าที่แสนวุ่นวายผ่านพ้นไป สัตตะก็ถูกฑูรย์ลากตรงมาเข้าชมรมในฝัน

'ชมรมหอสมุด'

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมสัตตะถึงได้เอาแต่นั่งหาวมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขานอนกลิ้งเกลือกบนพรมสีขาวนุ่มฟูในโซนพักผ่อนส่วนตัว พลางลอบมองไปยังคนที่พอลากตนมาจนสมใจได้ ก็ทอดทิ้งกันแล้วไปจมอยู่กับกองหนังสือสูงท่วมหัว ดำดิ่งไปกับสิ่งที่ตัวเองสนใจแล้วปล่อยเขาไว้ให้เป็นเพียงอากาศธาตุ

ด้วยความเบื่อหน่ายสะสม ในที่สุดสัตตะก็เริ่มทนไม่ไหว

"เนี่ยนะชมรมในฝันที่จะต้องเข้าให้ได้ของนาย? "

"อื้อ!" ฑูรย์ตอบพร้อมพยักหน้ารัวจนหัวสั่นหัวคลอน

"เฮ้อ…" สัตตะถอนหายใจ นอนไขว่ห้างแล้วใช้สองแขนหนุนหลังศีรษะพลางบ่นขิงบ่นข่า "ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน เอาแต่อ่านหนังสือง่วงจะตาย"

"นายก็ชอบแบบอยู่เงียบ ๆ ไม่ต้องยุ่งกับใครเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ชมรมนี้รวม 4 ชั้นปีมีกันแค่สิบกว่าคนเอง แถมแต่ละคนยังเป็นพวกไม่เข้าสังคมอีก กิจกรรมบังคับมีแค่อ่านหนังสือให้ครบ 100 เรื่องก่อนเรียนจบก็ผ่านกิจกรรมชมรมแล้ว" ฑูรย์หันมาอธิบายตาใส "เอ๋...หรือผมเดาผิด ที่จริงแล้วนายอยากอยู่ชมรมที่คนเยอะๆ มากกว่าเหรอ? "

"ฮึ" สัตตะส่ายห้ววืด ๆ "เปล่า ๆ ที่นี่ดีแล้ว อู้ได้นอนได้ ฉันโอเคหมด แค่เบื่อเฉย ๆ น่ะ" พูดพลางโบกมือสำทับว่าควรแล้วที่อีกฝ่ายลากตนมา

หอสมุดมหาวิทยาลัยของผู้ได้รับพรภูมินี้แน่นอนว่าย่อมเป็นเลิศที่สุดในประเทศ ไม่ว่าจะด้านภาพลักษณ์หรือด้านทรัพยากร อาคารทรงกระบอกสีขาวสูงราว 5 ชั้นครอบด้วยโดมแก้วสีฟ้าสดใส ด้านในนั้นยิ่งราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง มุมอ่านหนังสือแยกเป็นสัดส่วน ทั้งส่วนที่เป็นหนังสือ ทั้งฝั่งที่เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ภายในโอ่โถงสว่างไสวราวท้องฟ้ายามสายตลอดเวลาแม้ว่าตอนนี้จะบ่ายแก่แล้วก็ตาม บรรยากาศที่เอื้อให้นักศึกษาได้ผ่อนคลายที่สุดยามอยู่ในหอสมุดนี้

โดยเฉพาะในส่วนที่ฑูรย์ลากสัตตะมา 'ระเบียงลอยฟ้าชั้น 3' ซึ่งเป็นโซนที่ค่อนข้างไพรเวท มันดูราวกับห้องนั่งเล่นส่วนตัวในร้านคอฟฟี่ช้อปไม่มีผิด เข้าใจเลยว่าในโซนตรงที่เขานั่งอยู่นี้คงไม่ใช่เป็นใครก็สามารถเข้ามาได้ จำได้ว่าตรงทางเข้าประตูกลางเจ้านาคานี่มีการสแกนใบหน้าเข้ามา

สัตตะเข้าใจได้ในทันที อย่างนี้นี่เอง...ชมรมห้องสมุดที่แสนโอ่อ่าและเต็มไปด้วยมนต์ขลังนี้คงไม่ใช่ใครจะมาอยู่ก็ได้สินะ คิดแล้วก็หันไปมองคนที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับการจมดิ่งแหวกว่ายอยู่ในหนังสือเล่มหนาเตอะ อืม...อานิสงส์ของเจ้านาคาเลือดแท้แรงก์ A นี่เอง

"..." ก็ว่าจะหลับสักงีบ ถ้าไม่พอดีเหลือบไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งจากหนังสือกองพะเนินที่ฑูรย์หอบมาเข้า

'7 มหาจอมเวทย์'

นั่นมัน…ไม่ใช่ว่ามีเรื่องเล่าของปู่เขาอยู่ด้วยหรอกหรือ? สัตตะเด้งตัวขึ้นจากการนอนเอกเขนกแล้วคว้าหนังสือเล่มนั้นออกจากกองเพื่อมาเปิดดูเนื้อหาว่ามันเป็นอย่างที่คิดไว้หรือไม่

"นายสนใจเรื่องนักเวทย์เหรอ? " เห็นเพื่อนที่เอาแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาหยิบหนังสือไปเปิดดู ฑูรย์ก็เกิดสนใจขึ้นมา "อ๊ะ จริงด้วยเหมาะกับสายเวทย์แบบนายพอดีเลย ถ้าอ่านแล้วสงสัยตรงไหนถามผมได้นะ เล่มนั้นผมอ่านจบรอบที่ 5 แล้ว"

"..." แม้ฑูรย์จะเสนอตัวอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่สัตตะที่กำลังพุ่งสมาธิดูที่หนังสือเล่มนั้นก็ไม่ทันได้สนใจเท่าไหร่ กระทั่งเปิดดูจนครบแล้วไม่เจอแม้เศษเสี้ยวของปู่ตนนั่นแหละจึงทำเพียงถอนหายใจออกมา

แม้แต่ตำราที่ใช้เล่าเรียน ก็ไม่มีชื่อปู่ของเขา นักเวทย์ที่ถูกประหารเพียงเพราะร่ำเรียนมนตร์มาร

"จอมเวทย์ทั้ง 7 คนนี้ดังมากเลยนะ ตอนนี้เป็นระดับปรมาจารย์ไปหมดแล้ว น่าเสียดายที่อีกคนไม่ถูกพูดถึง"

เพราะเห็นว่าสัตตะคล้ายค้นหาอะไรบางอย่างในหนังสือเล่มนั้น ฑูรย์จึงลองบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองรู้เพิ่มเติมเผื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่เพื่อนกำลังตามหา และนาคหนุ่มเดาถูก

"อีกคน? ใคร? " สัตตะถามขึ้น ทั้งที่ในหัวก็พอรู้อยู่

คำถามนั้นทำให้ฑูรย์ตาเป็นประกายทะลุแว่นหนา นาคหนุ่มกระตือรือร้นอยากจะอธิบายความรู้ที่อัดแน่นอยู่เต็มสมองให้เพื่อนรักได้ฟังอย่างเต็มที่ ฝ่ายสัตตะเองก็อยากรู้ว่าแท้จริงแล้วครั้งปู่ของตนยังอยู่ในรั้วกำแพงมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง มันจึงทำให้การสนทนาโต้ตอบอย่างออกรสชาติชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกตนมาก่อนได้เริ่มขึ้น

"เขาคือนักเวทย์อีกคนที่ถูกประหารไปแล้ว"

ฑูรย์ลดเสียงเบาลงเมื่อพูดถึงบุคคลที่ถูกพิพากษาไปแล้วเมื่ออดีต

"นายรู้ได้ไง? ขนาดในหนังสือพวกนี้ยังไม่เห็นมีเขียนถึงเขาเลย"

"ที่จริงเรื่องของท่านผู้นั้นมันเป็นเรื่องต้องห้ามน่ะ เบื้องบนไม่ให้กล่าวถึงเด็ดขาด เด็กรุ่นหลังเลยไม่รู้จักกัน" ยิ่งลงรายละเอียดมากเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ยิ่งกลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบมากเท่านั้น

สองเพื่อนใหม่จึงขยับเข้าหากันใกล้ขึ้น

"แต่นายรู้" สัตตะกระซิบกลับ

"แหะ แหะ พอดีบ้านผมมีห้องหนังสือเก่า ๆ ของตระกูลที่เขียนถึงเรื่องของท่านอยู่น่ะ ตอนที่ท่านยังเป็น 1 ใน 8 มหาจอมเวทย์แห่งอินทิรา"

"เป็นมหาจอมเวทย์ แล้วทำไมถึงถูกประหารล่ะ? "

สัตตะยิงคำถามต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นเพียงคำถามทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำให้หัวใจของฑูรย์บีบรัดนัก นาคหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอรู้สึกคล้ายกับว่าดวงตาที่กำลังจ้องมองมายังตนกลายเป็นสีแดงเพลิงชั่วครู่หนึ่ง แต่พอพริบตาต่อมาก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเช่นเดิม

ตาฝาด…เหรอ

ฑูรย์ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วจึงตอบ

"...ว่ากันว่าเขาร่ำเรียนวิชามนตร์มารที่เป็นภัย วิชาต้องห้ามโทษร้ายแรงที่ถูกบัญญัติตราโทษสูงสุดคือประหารชีวิตโดยไม่ต้องสืบสวน"

"แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้ถูกใส่ร้ายจากผู้ไม่หวังดี? "

"เพราะท่านมีหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้มัดตัวน่ะ…มันคือตราอสนี สัญลักษณ์ที่จะปรากฏบนร่างของผู้ฝึกฝนมนตร์มารเท่านั้น"

"..."

"นี่…สัตตะ ตราอสนีน่ะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่อาจลอกเลียนได้ เพราะงั้นท่านมหาเวทย์ไม่ได้ถูกใส่ร้ายแน่นอน" ไม่รู้ทำไมถึงต้องอธิบายด้วยน้ำเสียงโทนปลุกปลอบ แต่พอเห็นสีหน้าของสัตตะที่ไม่สู้ดีนักฑูรย์ก็อดไม่ไหว

คำปลอบนั้นคงทำให้สัตตะรู้ตัวในที่สุดว่ากำลังเผลอใส่ใจเรื่องเล่าของปู่ตนมากเกินไป ก่อนที่จะกลายเป็นที่สงสัย เขาจึงรีบปรับสีหน้าให้คืนความสุขุมเยือกเย็น แล้วแกล้งทำเป็นใส่ใจให้น้อยลง แม้ในหัวใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยที่มากพอจะถมหลุมดำได้เลยก็ตามที เพราะเรื่องนี้มันไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้ได้ทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

บรรยากาศระหว่างสองคนเงียบไปเพราะสัตตะยังไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร ชายหนุ่มนิ่งเงียบราวกับกำลังตกผลึกความคิดบางอย่าง ฑูรย์มองอย่างไม่เข้าใจจึงได้ลองเอ่ยปากถามกลับดูบ้าง

"นี่สัตตะ ทำไมนายถึงรู้จักท่านผู้นั้นเหรอ? เอ่อ…อดีตมหาเวทย์คนที่ 8 น่ะ"

"..." สัตตะชะงักทันทีที่ได้ยิน กะไว้อยู่แล้วว่าหมอนี่จะต้องสงสัยเพราะเขาเผลอให้ความสนใจมากไป

คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้เสียแล้ว แต่ตอนนี้ต้องปิดจบเคสนี้ให้ได้ก่อน

"แค่เคยได้ยินเรื่องเล่าตอนที่อยู่นอกกำแพงน่ะ" สัตตะแสร้งเต้าเรื่องที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมา "ได้ยินว่ามีนักเวทย์ประจำพระองค์อยู่ 8 คน พอได้เข้ามาในนี้แล้วเห็นว่ามีแค่ 7 คนก็เลยสงสัยว่าหายไปไหนคนหนึ่งก็เท่านั้น"

"โห…แต่นักเวทย์ท่านนั้นโดนประหารชีวิตไปนานมากแล้วนะ"

"ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่นอกกำแพงจะรู้เรื่องด้วยนี่ คนที่นั่นไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เรื่องอะไรของในกำแพงนี่อยู่แล้ว…ไม่นับเป็นประชาชนของประเทศนี้เลยด้วยซ้ำ…"

พอพูดถึงตรงนี้สัตตะก็เผลอยกมุมปากเยาะหยัน เพราะมันดันเป็นเรื่องที่เขาเจ็บจำจนปล่อยวางไม่ได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไอแค้นที่ตนส่งออกมาทางสายตาวาวโรจน์นั้นจะทำให้หัวใจของคนที่นั่งอยู่ข้างกันสั่นรัว

"...สัตตะ" ฑูรย์พยายามเรียกสติเพื่อน และมันได้ผลทันที คนที่ทำหน้าถมึงทึงจนถึงเมื่อครู่ในที่สุดก็ยิ้มออกมา

ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งมากก็ตามที

"ขอโทษทีนะ มันเผลอไปน่ะ สงสัยเพราะท้องฉันมันหิวเข้าแล้ว ฮะ ฮะ กลับกันก่อนที่ฉันจะกินช้างได้เถอะ" ยักษ์หนุ่มยิ้มเผล่ เอ่ยขอโทษ แล้วรีบลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ

"...อื้อ" ฑูรย์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนบ้าง

แสงสีของท้องฟ้ายามนี้ค่อย ๆ กลายเป็นสีส้มเรื่อเรืองของยามเย็น ฑูรย์เดินตามสัตตะออกจากห้องสมุดมาเงียบ ๆ ในหัวคิดเรื่องหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา ขณะมองแผ่นหลังของเพื่อนจากนอกกำแพงคนนี้ไม่วางตา

กว่าจะได้สติว่าตนกำลังเหม่อลอยอยู่ก็ตอนที่สัตตะหันมาเรียก

"คนบ้านนายมารับแล้วน่ะ" พลางชี้ไปให้เห็นว่ารถของตระกูลจอดรออยู่ตรงหน้าทางเข้าหอสมุดแล้ว

"..."

"แยกตรงนี้แล้วกัน ฉันจะไปแวะโรงอาหารกลางก่อน เจอกันพรุ่งนี้นะ" สัตตะเอ่ยลา พร้อมโบกมือให้สองสามครั้ง

แต่ขณะที่กำลังจะเดินพ้นไป เขากลับถูกฑูรย์รั้งไว้ด้วยถ้อยคำบางอย่าง

"นี่…ในห้องสมุดน่ะ มีส่วนต้องห้ามอยู่นะ"

"...หมายความว่าไง? " สัตตะรีบหันมามองคนพูด แล้วได้สบสายตาที่จ้องมองมาอย่างจริงจัง 'จู่ ๆ หมอนี่เป็นอะไรวะ? '

"ถ้านายอยากรู้เรื่องมหาเวทย์คนนั้น สวนตะวันตกของหอสมุดนี่จะมีคำตอบให้นาย"

"..." สัตตะขมวดคิ้วทันทีที่ได้ฟัง กับดักหรือไง? ทำไมเจ้านาคเอ๋อนี่ถึงรู้สิ่งที่เขากำลังต้องการกัน?

ฑูรย์รีบอธิบายต่อ "ถึงจะเรียกว่าส่วนต้องห้ามแต่ความจริงแล้วหลัง 3 ทุ่มเป็นต้นไปก็จะไม่มีใครเฝ้าที่นั่น เพราะไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของมัน แต่ถ้าโดนจับได้ โทษก็อาจถึงพ้นสภาพนักศึกษา…"

"ทำไมถึงมาบอกฉัน? "

"ก็ผมเห็นว่านายอยากรู้ไง"

"ก็บอกแล้วไงว่าแค่สงสัย…" สัตตะเค้น รู้สึกได้ว่าเจ้านาคนี่มีอะไรบางอย่าง

แต่ไม่ทันจะได้ว่าอะไรก็ถูกตะโกนใส่หน้าเสียก่อน

"เพราะผมไม่ต้องการให้นายรู้สึกว่าเราต่างกัน!"

"...? "

"ผมไม่ต้องการให้นายรู้สึกว่าเรามาจากคนละที่ ไม่ต้องการให้มีการแบ่งแยกว่าใครคือคนในกำแพง ใครเป็นคนนอกกำแพง ผมอยากให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน"

"หา? ฝันหวานอยู่หรือไง? "

"ครับ มันอาจเป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของผม เพราะถึงยังไงผมก็ยังมีพลังไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ตอนนี้ ชั่วขณะนี้ แค่ที่ตรงหน้าผม แค่ที่เดียวก็ได้ ที่ผมจะไม่เพิกเฉยต่อเพื่อนที่มาจากนอกกำแพงเด็ดขาด"

"..."

"สัตตะ ไม่ว่านายจะรู้สึกยังไง นายคือเพื่อนของผม เราคือเพื่อนที่มีสิทธิเท่าเทียมกัน"

หัวใจของสัตตะคล้ายสะดุดไปหนึ่งจังหวะในชั่วขณะหนึ่งที่ได้เห็นแววตาจริงจังของฑูรย์ สายตานั้นไม่โกหก คนคนนี้ไม่ได้โกหก เขาสัมผัสมันได้ สัมผัสได้ไปจนถึงวิญญาณ

ยักษ์หนุ่มยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไปอีกทั้งนั้น ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของฑูรย์ไปครั้งหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ แล้วเดินจากออกมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า

แต่แม้ไม่มีถ้อยคำใด ฑูรย์ก็รู้สึกได้ถึงการตอบรับนั้น

นาคหนุ่มอมยิ้มกับตัวเอง ความรู้สึกอบอุ่นจากฝ่ามือที่เพิ่งลูบผมเขาไปอย่างอ่อนโยนนั้น มันคืออวัจนภาษาที่ชัดเจนที่สุดแล้วสำหรับคำว่า 'ขอบใจนะ'

ลงในตอนเดียวไม่พอ ไปต่อ พาร์ท 02 นะจ๊ะ

ขอบคุณที่ติดตามค๊า

รัก

อนาคี99

Thearboo_AB99creators' thoughts