สังหารบิดามารดาของนางไปไม่พอยังพรากคนรักของนางจากไปอีกคน! เพื่อตำแหน่งประมุขปีศาจหมาป่าและกระบี่เล่มเดียวถึงกับต้องฆ่าคนที่นางรักให้ตายตกไปตามกัน! ยังมีมนุษย์สวะโสมมพวกนั้นอีก แค้นนี้ไม่ตายไม่เลิกรา!!
ยามราตรีมืดมิดไร้แสงจันทร์ เรือนคหบดีผู้มั่งคั่งกำลังจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองที่ได้เปิดโรงเตี๊ยมใหม่
คนร่ำรวยมากหน้าหลายตาต่างพากันมาร่วมยินดีกับเจ้าของกิจการที่กำลังยิ้มต้อนรับขับสู้ด้วยสีหน้าประจบประแจง
แขกเหรื่อในงานเลี้ยงเดินชมห้องหับในโรงเตี๊ยมด้วยแววตาชื่นชม ด้วยแต่ละห้องนั้นสรรค์สร้างมาอย่างประณีตงดงาม
ข้าวของแต่ละอย่างนั้นล้วนแต่ดูมีค่าราคาแพง แม้แต่มู่ลี่ประตูยังเป็นไข่มุกสีขาวนวลตาฟังเสียงกระทบกันก็เสนาะหูยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าแค่เพียงมู่ลี่ไข่มุกผืนเดียวจะราคาเท่าใด?
เจ้าของงานเลี้ยงเป็นชายร่างท้วม ตาเล็กหยี ท่าทางอารมณ์ดีไม่มีพิษมีภัย สวมเสื้อผ้าสีสันแสบตาทว่าเป็นผ้าไหมราคาแพง มืออ้วน ๆ คอยคำนับต้อนรับแขกที่เดินเข้าโรงเตี๊ยมจนเป็นระวิง
"คารวะใต้เท้า เชิญดูโรงเตี๊ยมของข้าก่อนเถิด โรงเตี๊ยมของข้านั้นได้ก่อเกิดก็เพราะท่านเลยทีเดียว ถ้าหากไม่มีท่านเกรงว่าข้านั้นคงต้องทำงานตรากตรำอีกหลายปีเป็นแน่ " เสียงเป็นมิตรกล่าวอย่างนอบน้อมทว่าแฝงความประจบเอาใจอยู่หลายส่วน
" ฮ่า ๆ ๆ อะไรกัน…..ทำไมเจ้าถ่อมตัวเยี่ยงนี้เล่า ข้านั้นก็แค่ช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องหนักหนาอันใด ต้องขอบคุณท่านมากกว่าที่ช่วยสนับสนุนข้าจนสามารถทำงานในวังได้" เสียงของใต้เท้าวัยกลางคนเอ่ยอย่างระรื่น ทั้งสองพูดคุยกันไม่นานก็ขอตัวแยกย้ายกันไป
"นายท่าน ใกล้ถึงเวลากล่าวเปิดพิธีแล้ว ไปเตรียมตัวก่อนเถิด" บ่าวรับใช้คนสนิทเดินมาหยุดข้างกายพร้อมกับผายมือเชิญเจ้านายตนไปยังบันไดข้างบน
"เออ…ไปกัน ข้ายิ้มจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว" เมื่อไม่มีแขก เจ้าของงานก็ปล่อยตัวตนของตัวเองออกมาได้อย่างสบายใจ ใครมาเห็นเข้าคงขยาดในใจเป็นแน่
เมื่อเห็นนายท่านเดินขึ้นบันไดไปเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มนอบน้อมเมื่อครู่พลันสลายไปทันใด บ่าวรับใช้เบ้ปากพร้อมกับสบถออกมาหลายคำแล้วพึมพำกับตัวเอง
" โธ่…แสร้งเป็นผู้ดีมีสกุล แท้จริงเลวทรามยิ่งกว่าโจร ไม่รู้ว่าชาวบ้านที่น่าสงสารต้องโดนหลอกสาหัสขนาดไหนถึงได้ข้าวของราคาแพงมาแบบแทบไม่ต้องจ่ายเงินเช่นนั้นได้ ข้าก็ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูเหมือนกันนั่นแหละ" บ่าวรับใช้บ่นพร่ำได้ไม่นานก็ต้องรีบไปตรวจความเรียบร้อยของงานต่อ เหลือเพียงเงาดำบนขื่อคานที่ยกมุมปากดูร้ายกาจน่าหวาดกลัว
"บัดนี้ได้เวลาสมควรแล้ว ขอท่านฟู่เหยียนขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็กน้อยก่อนที่เราจะเริ่มรับประทานอาหารกัน"
เสียงโฆษกบนลานระเบียงชั้นสองกล่าวเสียงกังวาน ทุกคนต่างท้องไส้ร้องโหยหวนด้วยที่อาหารตรงหน้านั้นช่างยั่วน้ำลายกันเหลือเกินแต่จำต้องทนรอเพื่อเป็นพิธี
ผ่านไปนานก็ยังไม่มีร่างท้วมโผล่ออกมาให้เห็น บ่าวรับใช้แต่ละคนต่างกระสับกระส่ายจนต้องร้อนถึง
อาเถียนซึ่งเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทต้องไปตาม
" อ้วนแล้วยังชักช้าอีก เฮ้อ! แล้วเหตุใดต้องเป็นเราที่ต้องไปตามกันด้วยเนี่ย" อาเถียนพึมพำเบา ๆ พร้อมกับเร่งก้าวเท้าไปยังห้องของนายท่าน
แขกในงานระหว่างรอก็พูดคุยกันไปพลาง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงกู่ร้องดังสนั่นไปทั้งโรงเตี๊ยมจนทุกคนตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน
" อ๊ากกกกกกกกกก!!! ...นายท่าน ๆ นายท่านถูกฆ่าตายแล้ว!!! " แขกที่เป็นสตรีต่างหวีดร้องกันสุดเสียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เหล่าแขกบุรุษที่ยังใจแข็งวิ่งขึ้นไปบนห้องของคหบดีผู้ร่ำรวยด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อผลักประตูเข้ามาก็เห็นบ่าวรับใช้นั่งหน้าซีดตัวสั่นตาโบกโพลงอยู่
" ไหน ท่านฟู่เหยียนเล่า?" ชายคนหนึ่งท่าทางอวดดีถามขึ้น
มือหนาค่อย ๆ ชี้ไปยังตรงกลางห้องที่มืดมิด น่าแปลกที่ในห้องนี้มืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงเทียน ชายหนุ่มอวดดีหยิบตะเกียงที่ตกพื้นขึ้นแล้วค่อย ๆ ย่างกายเข้าไปช้า ๆ มีหลายคนใจกล้าค่อย ๆ ย่องเดินตาม
แสงจากตะเกียงส่องกระทบใบหน้าอวบอูมที่นอนตาเบิกโพลง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกที่ไม่มากนัก แต่ผู้พบเห็นหลายคนกลับตกใจสุดขีดร้องสุดเสียงทิ้งตะเกียงแล้วถลาตัวออกจากห้องวิ่งแจ้นจนตกบันไดไปตาม ๆ กัน
เหตุใดแววตาของผู้ตายจึงไม่ตื่นตระหนกมากนักอย่างนั้นหรือ?
ในที่เกิดเหตุไม่มีเลือดจากการถูกเชือดคอแม้สักหยด…..
เป็นไปได้อย่างไร?
เจ้าหน้าที่ทางการมาตรวจสอบคงสรุปได้ว่า ผู้ร้ายนั้นลงมือเร็วเกินไปจนเลือดยังไม่ทันไหล ผู้ตายไม่ทันรู้สึกตัว
เท่านี้ก็พอเดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของ......เงาโลหิต...…..
ร่างในชุดดำทะมึนย่างก้าวเป็นจังหวะกลมกลืนไปกับยามราตรีและฝนที่ซัดสาด ภายใต้งอบสานและหน้ากาก
หยกดำซ่อนใบหน้างดงามดุจเซียนนางฟ้าบนสวรรค์ ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายแสงท่ามกลางความมืดและสายฝนโปรย
กระบี่คู่ใจถือไว้ข้างกายถูกน้ำฝนที่สาดลงมาชำระล้างคราบเลือดไปจนหมดสิ้น บนใบหน้างดงามเรียบเฉยนั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกยินดีอันใดที่ทำภารกิจสำเร็จ มีแต่ความเย็นชาและความว่างเปล่า..........