"เจ้าทำให้ข้ารู้สึกชอบเจ้าขึ้นมา ดังนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบ…"
"........"
"........"
สายลมพัดผ่านใบไผ่เกิดเป็นเสียงดังซ่า ๆ ภายในเรือนที่มีการโต้งเถียงกันเงียบกริบลงฉับพลัน ใบหน้าสองนายบ่าวค้างนิ่งแม้แต่ตาก็ไม่กะพริบราวกับรูปปั้น
"อ๊าฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ !!!" เสียงระเบิดหัวเราะลั่นเรือนทำให้คุณชายถึงกับสะดุ้งจนถ้วยน้ำชาในมือเกือบหลุดออกจากนิ้ว จินหมิงถึงกับตกใจตื่นจากภวังค์เอนล้มไปกองกับพื้น
เสียงหัวเราะราวจะขาดใจนั้นยังไม่หยุด ร่างบอบบางที่หัวเราะจนตัวสั่นล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นอย่างไม่อายฟ้าดิน ผ่านไปนานกว่าเจ้าตัวจะลุกขึ้นมาจากพื้นได้ เฮ่อซินหมิงเช็ดน้ำตาที่เริ่มท่วมจนคลอด้วยแขนเสื้อ ใบหน้าขาวจนแทบซีดนั้นซับสีเลือดจนแทบแดงก่ำ
ชายหนุ่มนั้นฉงนใจยิ่งนัก สตรีที่ถูกชายหนุ่มบอกว่าชอบนั้นจะต้องแสดงท่าทางเอียงอายยิ้มขวยเขินมิใช่รึ? นางผู้นี้ช่างแปลกเสียจริง
"เจ้าหัวเราะอันใด?"
"ท่านต้องบ้าไปแล้ว ดูท่าจะติดเชื้อเสียสติของฉันไปแล้วแน่ ๆ อะฮ่า ๆ ๆ " เสียงหัวเราะก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง เขาถึงกับทำสีหน้าต่อไปไม่ถูก
"อะแฮ่ม…จะอย่างไรก็ตามเจ้าก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี" เขาสะบัดกางพัดสีขาวขึ้นมาพัดตนเองสมกับเป็นคุณชายผู้สูงสง่า
"แล้วจะให้รับผิดชอบยังไงล่ะ?" เฮ่อซินหมิงถาม
นิ้วเรียวรวบพัดเข้าหากันแล้วเคาะพัดสีขาวเงินลงบนมืออีกข้างหนึ่งทำท่าทางครุ่นคิดหนัก "รับผิดชอบอย่างไรดีหนอ?"
เฮ่อซินหมิงพานครุ่นคิดตามไปด้วย "อ๋อ! เอาอย่างนี้เป็นไง ฉัน…เอ๊ย!…ข้าจะนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไปสัก…สองชั่วยาม...เดี๋ยวสิ! นานไปรึเปล่านะ?…หนึ่งชั่วยาม!! หนึ่งชั่วยามแล้วกัน…"
เห็นสีหน้าของคุณชายยังไม่มีท่าทีสนใจ นางจึงพูดต่อ "ถ้างั้นเพิ่มยกมือทั้งสองข้างด้วยก็ได้!...ได้ไหมล่ะ?" นางเอ่ยจบก็ยกแขนทั้งสองข้างชูขึ้นสูง ผ่านไปนานทว่าคุณชายกลับทำหน้าเหมือนคนเหนื่อยใจยิ่งนัก
"ท่านรีบบอกมาเร็ว ๆ ซี่! ข้าเมื่อยแขนจะตายอยู่แล้ว!!" เสียงโอดครวญของสาวน้อยทำให้เขายิ้มร่าอย่างอารมณ์ดียิ่ง
"วันพรุ่งนี้ข้าว่าจะออกไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย ดังนั้นเจ้าต้องไปกับข้า" จินหมิงที่คุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ สะดุ้งเฮือกคิดอยากจะเอ่ยคัดค้าน
ขวับ! ราวกับมีหูและหางงอกออกมาจากคุณหนูตัวน้อยดวงตานั้นส่องประกายแวววับ "จริงเหรอ! ไปที่ไหนล่ะ!"
"เมืองฮุ่ยเหวินนี้เอง ดูท่าเจ้าจะยังไม่เคยได้ออกไปไหนเลยสิท่า" เขายิ้มอย่างรู้ทัน
"อันที่จริงเมื่อวานนี้…"
จินหมิงสะดุ้งรีบเอ่ยขัดขึ้นทันที "คุณหนูเจ้าคะ! ท่านวางแขนลงแล้วลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ดีกว่าเจ้าค่ะ หากนั่งอยู่พื้นเย็นนานเช่นนี้ประเดี๋ยวอาการกำเริบขึ้นมาจะแย่เอานะเจ้าคะ"
คุณชายรองสกุลไป๋ขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงข้องใจ "อาการกำเริบ? เจ้าป่วยอยู่เช่นนั้นหรือ?"
เฮ่อซินหมิงลดมือลงแล้วเหวี่ยงแขนไปมาคลายความเมื่อยล้าแล้วลุกจากพื้นขึ้นนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคุณชายไป๋เฟิงพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "ดูเหมือนจะป่วยเป็นโรคประหลาด ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร"
ชายหนุ่มเบนสายตาไปมองบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้าแทน จินหมิงก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล "เวลาเจอกับอากาศเย็นหรือลมเย็น คุณหนูมักจะอาการกำเริบเจ้าค่ะ ข้าน้อยเกรงว่าหากให้คุณหนูออกไปข้างนอกอาการอาจจะกำเริบขึ้นอีก"
"โรคอะไรกัน?"
จินหมิงถอนหายใจ "ข้ากับท่านแม่เคยให้หมอชาวบ้านธรรมดามาตรวจคุณหนูดูสองสามคน พวกเขาต่างบอกว่าอาจจะเป็นเพียงไข้หนาวสั่นธรรมดาเท่านั้น"
แค่ฟังสิ่งที่นางพูดเขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวจินหมิงเองก็ไม่เชื่อคำพูดของหมอเท่าใดนัก แสดงว่าคงมีอาการอย่างอื่นมากกว่านั้นเป็นแน่ ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยถามว่าเหตุใดจึงไม่เชิญหมอที่เก่งกาจมาช่วยตรวจดูให้ ฐานะบุตรีของมหาเสนาบดีเช่นนางก็ยังสามารถให้หมอหลวงมาตรวจดูรักษาอาการได้เช่นกัน แต่ทว่าเมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้แล้วเขาก็สงสัยยิ่งกว่าเดิม ทว่าหากถามพวกนางคงไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนแน่
"ถ้าเพียงไข้หนาวสั่นธรรมดาก็ไม่เห็นจะต้องวิตกกังวลมากเกินไปเลย" เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก มืออีกข้างกางพัดออกแล้วพัดให้กับคุณหนูที่นั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม จินหมิงเห็นก็รีบห้ามทันที
"คุณชายไป๋! ไม่ได้เจ้าค่ะ หากต้องลมเย็นมากอาการคุณหนูอาจกำเริบหนักถึงขั้นร่างกายเย็นจัดจนมีน้ำแข็งผุดออกมาอีกเจ้าค่ะ!"
หืม? มือนั้นหยุดชะงักแล้วรวบพัดเก็บเข้าแขนเสื้อ หนาวจัดจนน้ำแข็งผุดเลยรึ? โรคไข้หนาวสั่นอะไรกัน?
"เจ้าพูดเกินหรือเปล่า หนาวจนน้ำแข็งผุดเลยรึ?" เขาแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เชื่อนัก แต่ผิดคาดนักที่บ่าวตัวน้อยยังไม่มีท่าทีร้อนรน
"เป็นความจริงเจ้าค่ะ"
คำตอบที่จริงจังเช่นนี้ทำเอาเขาเล่นต่อไปไม่ได้ ดูท่าวันนี้คงต้องไปสืบเรื่องราวของคุณหนูผู้นี้จากคนอื่นเสียแล้ว
"เอาเถิด เช่นนั้นวันนี้เชิญคุณหนูสิบเอ็ดพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านหมอที่เก่งกาจในเมืองด้วยแล้วกัน" หากเขาบอกแค่ไปเที่ยวเล่น บ่าวที่เป็นห่วงนายตนเองมากเช่นนี้คงไม่มีทางยอมให้ไปแน่ แต่ถึงอย่างไรก็ห้ามเขาไม่ได้หรอก
ชายหนุ่มส่งสายตามีรอยยิ้มให้กับเฮ่อซินหมิง หากเป็นสตรีอื่นคงยิ้มบิดไปมาด้วยท่าทางขวยเขินแต่เมื่อเธอเห็นแล้วกลับรู้สึกขนลุกซู่
มองแบบนี้มันน่าขนลุกชะมัด!...บรื๋อ!!!
ไป๋เฟิงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชะโงกตัวเข้าหาเฮ่อซินหมิงจนหน้าห่างกันไม่ถึงสิบชุ่น เขายิ้มอย่างทรงเสน่ห์จ้องเข้าไปในดวงตาสุกใสของสตรีตรงหน้า ทว่าสิ่งที่เห็นคือแววตานิ่งเฉยราวกับกำลังงุนงง
ไป๋เฟิงยืดตัวขึ้นแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย นางควรจะต้องแสดงท่าทางเขินอายบ้างสิ ถูกบุรุษรูปงามเช่นเขาบอกชอบก็แล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าบิดม้วนเช่นสตรีคนอื่น
"จวนได้เวลาทานอาหารเย็นกับท่านมหาเสนาบดีแล้ว ข้าขอตัวก่อน" ไป๋เฟิงโค้งหัวให้กับนางราวกับเคารพนางในฐานะคุณหนูคนหนึ่งจริง ๆ ทั้งเฮ่อซินหมิงและจินหมิงต่างมองคุณชายตรงหน้าด้วยสายตาที่แปลกไป...
Your gift is the motivation for my creation. Give me more motivation!
Creation is hard, cheer me up!
Like it ? Add to library!
Have some idea about my story? Comment it and let me know.