webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · History
Not enough ratings
867 Chs

026 ตัวละครลับ

บทที่ 26 ตัวละครลับ

ยิ่งใกล้สิ้นปี เหตุร้ายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มการลาดตระเวน มือปราบในจวนนายอำเภอต่างเคลื่อนไหวกันยกใหญ่

บังเอิญยิ่งนัก มือปราบซึ่งกำลังลาดตระเวนอยู่นั้น ไปเห็นภาพที่สาวใช้ถูกอวี๋หวั่นกดลงบนพื้นพอดี

มือปราบหนึ่งหน่วยมีห้าคน หัวหน้าหน่วยเป็นคนสกุลจาง เป็นผู้ใต้บัญชาของนายอำเภอ

เดิมทีคิดว่าเป็นชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปทะเลาะกัน จึงเดินเข้าไปมอง กลับพบว่าเป็นชุนจือ สาวใช้คนสนิทของฮูหยิน

“บังอาจนัก! ผู้ใดกล้ามาเอะอะโวยวายตรงนี้!”

ชุนจือได้ยินเสียงหัวหน้ามือปราบจาง ก็รีบหันไปทันที นางเปลี่ยนจากสีหน้าอวดดี กลายเป็นร้องไห้อย่างเศร้าสลดน่าสงสาร กล่าวว่า “พี่ใหญ่จาง! ช่วยข้าด้วย!”

เมื่อพ่อลูกตระกูลอวี๋เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทางการเดินเข้ามา ก็รีบเข้าไปดึงทั้งสองคนแยกจากกัน

ชุนจือวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปด้านข้างมือปราบจาง “พี่ใหญ่จาง...ท่านมาพอดี นางบ้านี่รังแกข้า!”

ชุนจือเป็นสาวใช้ของจวนนายอำเภอ ฐานะสูงส่ง ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ยังมิได้ออกเรือน มือปราบจางเสียภรรยาไปเมื่อปีที่แล้ว บัดนี้เป็นพ่อหม้าย แต่ก่อนเคยมีใจให้ชุนจือผู้งดงามและเยาว์วัย แต่ทำอย่างไรได้ชุนจือไม่ถูกใจเขา ก่อนหน้านี้นางไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เมื่อไรนางจะพูดจาดีๆ กับเขาเฉกเช่นวันนี้ได้?

เขามองชุนจือ และตบที่หน้าอกของตนเอง พร้อมกับกล่าวว่า “น้องชุนจือวางใจเถิด วันนี้พี่ใหญ่จะทวงคืนความเป็นธรรมให้เจ้าเอง”

พี่ใหญ่? อย่างเจ้าเนี่ยหรือ? แต่นางก็มิกล้าขัดใจผู้ช่วยชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของตน นางเสียสติคนนั้นกล้าทำให้นางอับอายขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ นางจะต้องคิดบัญชีอย่างแน่นอน!

มือปราบจางโบกแขนแกร่ง “นำคนมา! พาสตรีนางนี้กลับไปที่จวน! ข้าจะสอบสวนเอง! ใครกล้าขัดขวาง ก็จับไปให้หมด!”

มือปราบอีกหลายคนก็กรูกันเข้ามาล้อมเอาไว้

อวี๋ซงแอบกระทืบเท้า เป็นเพราะเด็กนี่หาเรื่องใส่ตัว! ดีเลย ครานี้พวกเขาก็จะโดนจับกันทั้งหมด!

“ช้าก่อน” อวี๋หวั่นเดินออกมา

เสียงของเธอไม่ดัง น้ำเสียงก็มิได้ฟังดูบีบบังคับ ทว่ามือปราบที่ล้อมอยู่กลับหยุดมืออย่างไม่มีเหตุผล

มือปราบจางมองอวี๋หวั่นด้วยความสงสัย นี่คือสตรีชาวบ้านที่รังแกชุนจือรึ?

เขาเรียนมาน้อย ไม่รู้ว่าควรพรรณาความงามของสตรีได้อย่างไร เขาเพียงรู้สึกว่านางสะสวยกว่าชุนจืออยู่สักหน่อย น่าเสียดายที่เป็นเพียงคนบ้านนอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมผิดใจกับสาวใช้คนสนิทของฮูหยินเพียงเพื่อสตรีบ้านนอกคนนี้หรอก

“เจ้าก็คือสตรีเสียสติ?” มือปราบจางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

ลุงใหญ่โมโหจนยกไม้เท้าขึ้น

อวี๋หวั่นแตะที่แขนของลุงใหญ่เบาๆ บอกเป็นนัยให้เขาใจเย็นๆ จากนั้นจึงพูดกับมือปราบจางว่า “พี่ใหญ่มือปราบท่านนี้ จู่ๆ ก็จะมาจับข้า ขอถามสักหน่อยว่าข้าทำอะไรผิด? จับโจรย่อมต้องจับพร้อมหลักฐาน จับคนคบชู้ก็ต้องจับทั้งคู่ ท่านเพียงบอกเหตุผลที่ฟังขึ้นมาหนึ่งข้อ จึงจะสามารถจับคนจนมือไร้แม้แรงผูกไก่[footnoteRef:1]อย่างพวกข้าต่อหน้าชาวบ้านเช่นนี้ได้” [1: มือไร้แม้แรงผูกไก่ หมายถึงร่างกายอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรง]

มือไร้แม้แรงผูกไก่? หนังตาของชุนจือกระตุกกึก!

เมื่อครู่ ใครกันเล่าที่จับนางกดลงบนพื้น?!

คนมามุงดูเพิ่มมากขึ้นแล้ว ชาวบ้านต่างเริ่มชี้มือชี้ไม้ไปยังมือปราบจาง แสดงความไม่พอใจกับการด่วนตัดสินใจจับคนของเขา

มือปราบจางจึงกล่าวด้วยความเป็นธรรมว่า “เหตุผลรึ? เจ้ารังแกผู้อื่นจนเป็นเช่นนี้ ยังกล้าถามอีกหรือว่าเหตุใดข้าจึงต้องจับเจ้า”

“รังแก?” อวี๋หวั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าเพียงแต่ทำให้นางเก็บของที่นางทำตกขึ้นมาเท่านั้น หากนี่เรียกว่าเป็นการรังแกละก็ ก่อนหน้านี้ที่นางข่มขู่ข้า เทข้าวโพดของท่านยายผู้นี้ทิ้ง ทั้งยังจงใจทำให้ท่านลุงใหญ่ของข้าที่ขาแข้งไม่ดีล้มคะมำ ข้าใคร่ถามนางสักหน่อยว่าการกระทำเหล่านี้เรียกว่าอะไร”

มือปราบจางชะงักไป เขาหันมองชุนจือ เขามาช้า ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น

นัยน์ตาของชุนจือฉายแววของความสับสน “พี่ใหญ่จาง ท่าน...ท่านอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของนาง ข้าไม่ได้ข่มขู่นาง เป็นนางที่ไม่ยอมขายหมูพะโล้ให้กับข้า ยังทำให้ข้าอับอายอีก”

มือปราบจางไหนเลยจะไม่รู้ว่าชุนจือโกหก แต่ครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่จะทำให้ชุนจือติดหนี้น้ำใจเขา เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไรกัน? อย่างไรเสียชุนจือก็เป็นคนของจวนนายอำเภอ เด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งมีปัญหากับนาง ไยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าสถานะของตนเป็นอย่างไร

“สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก รอกลับไปถึงที่ว่าการ นายท่านจะตัดสินเอง! หากเจ้ามิได้ผิดจริง จะต้องคืนความยุติธรรมให้

เป็นแน่! แต่ถ้าหากเจ้ารังแกผู้อื่น ข้าวในคุกก็มิได้อร่อยนักหรอก!”

คำพูดนี้ดังกังวาน กระนั้นใครๆ ก็รู้ ว่าเมื่อเข้าไปในที่ว่าการอำเภอแล้ว อำนาจสูงสุดก็เป็นของพวกเขา

ผู้คนต่างส่ายหน้าด้วยความสงสาร ดรุณีน้อยไร้เดียงสา ออกมาทำมาหากิน สุดท้ายกลับถูกคนระยำพวกนี้รังแก

“เสี่ยวเฟิง เจ้าพาน้องชายและน้องสาวกลับบ้านไปก่อน” ลุงใหญ่บอกกับอวี๋เฟิง และกล่าวกับมือปราบจางว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลานสาวข้า ข้าจะไปที่ว่าการกับท่าน”

อวี๋หวั่นจึงกล่าวว่า “ท่านลุงใหญ่ ไม่ต้องกังวลไป เมื่อไปถึงแล้ว ข้ามีวิธีการของข้า”

ลุงใหญ่มิได้กลัวเธอไม่มีวิธี เธอไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ ทว่าที่ว่าการอำเภอมิใช่สถานที่ที่ดีนัก สตรีเข้าไปเพียงลำพัง แม้ว่าจะมิได้เกิดอะไรขึ้น ทว่าชื่อเสียงจำต้องด่างพร้อย

น้องสามไปรบที่ชายแดนแทนเขา เขากลับไม่สามารถปกป้องบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาเอาไว้ได้

“ท่านพ่อ! ร่างกายท่านไม่ค่อยแข็งแรง! ข้าไปจะดีกว่า!” อวี๋เฟิงกล่าว

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว! ข้าหนังหนาตายยาก! ข้าไปเอง” อวี๋ซงกล่าวจบก็ถลึงตาใส่อวี๋หวั่น “แต่ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้าหรอกนะ!”

อวี๋หวั่นหัวเราะน้อยๆ “ไม่ต้องกังวลจริงๆ”

“ไม่ได้!” สามพ่อลูกพูดขึ้นพร้อมกัน

ระหว่างการถกเถียงที่ยังไม่จบง่ายๆ นี้ รถม้าหรูหราซึ่งเทียมด้วยม้าสี่ตัวก็เคลื่อนเข้ามา

รถม้าที่ดูหรูหราที่สุดในตำบลก็คือรถม้าของจวนนายอำเภอ ทว่าจะมีม้าชั้นดีเพียงตัวเดียว รถม้าคันนี้ไม่เพียงมีถึงสี่ตัว แต่ทุกตัวล้วนเป็นม้าศึกมองโกลชั้นดี

ด้านหน้าและหลังม้ามีองครักษ์ซึ่งดูขึงขังอยู่อีกแปดนาย องครักษ์สวมชุดไปรเวท แต่ถึงกระนั้น เสื้อผ้าก็มิอาจปกปิดความน่าเกรงขามของพวกเขาได้

ชาวบ้านที่ก่อนหน้านี้ยืนมุงดูมือปราบและอวี๋หวั่นค่อยๆ เงียบเสียงลง ทุกคนต่างเผยสีหน้าหวาดกลัว แม้แต่มือ

ปราบจางก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม

ในตอนแรกเขาคิดว่าจะรอให้รถม้าผ่านไปก่อนแล้วค่อยจัดการกับนางเด็กนี่ ใครจะคาดคิดว่าผู้มาเยือนใหม่กลับจอดรถม้าด้านหน้าแผงของอวี๋หวั่น

ม่านในรถม้าเปิดออก สตรีอายุราวสี่สิบปีก้าวลงมา

นางแต่งตัวเรียบง่าย ทว่าอาภรณ์ที่นางสวมใส่ล้วนเป็นเนื้อผ้าชั้นเยี่ยม ที่สำคัญคือกิริยาท่าทางของนาง ดูสง่างามกว่าฮูหยินของจวนนายอำเภอเป็นไหนๆ

นางหยุดฝีเท้าลงเบื้องหน้าแผงของอวี๋หวั่น ด้านข้างเท้าของนางคือฝักข้าวโพดที่ยังเก็บขึ้นมาไม่ทัน

นางค้อมตัวลง หยิบฝักเข้าโพดขึ้นมา มองไปรอบๆ และวางลงบนแผงของหญิงชรา

หญิงชราซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา

ใบหน้าใจดียิ้มเล็กน้อย นางมองไปยังขาหมูพะโล้ที่แผงของอวี๋หวั่น และกล่าวว่า “หมูพะโล้นี้หอมยิ่งนัก ขายให้พวกข้าได้หรือไม่”

ชาวบ้านหันขวับไปมองอวี๋หวั่น

สตรีผู้นี้เป็นถึงคนของจวนนายอำเภอ นางยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ?

อวี๋หวั่นมิได้ขลาดกลัว เอ่ยตอบไปว่า “ขออภัยเจ้าค่ะ ขาหมูนี้ขายไปแล้ว”

“เช่นนั้นหรือ” นางถอนหายใจด้วยความเสียดาย “อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”

นางหยุด และมองน้ำพะโล้ที่มีควันร้อนปกคลุม “เช่นนั้นขายน้ำพะโล้ให้ข้าสักชามได้หรือไม่”

“ได้เจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นพยักหน้า

สตรีผู้นี้ไปหยิบชามจากบนรถม้า ชามใบนี้ทำจากทอง สลักลายอันวิจิตรบรรจง ชาวบ้านที่มามุงดูไหนเลยจะมีโอกาสได้เห็นของราคาแพงเช่นนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง

อวี๋หวั่นรับชามมาอย่างใจเย็น ตักน้ำแกงจนเต็มชาม “สามอีแปะ ขอบคุณเจ้าค่ะ”

นางจ่ายเงิน ปิดฝาชาม และยกน้ำแกงหอมฉุยขึ้นรถม้าไป

รถม้าเคลื่อนตัวออกไป แต่ก็หยุดลงกะทันหัน

นางแง้มม่านจากหน้าต่าง มองไปยังมือปราบจางซึ่งทำท่าทางนอบน้อม และกล่าวว่า “คุณหนูบ้านข้าบอกว่า ที่ชายแดนไม่สงบดี ใช้ชาวบ้านเป็นทหารปกป้องแผ่นดิน ตนเป็นข้าราชการ ต้องรักประชาชนดุจลูกหลาน หากปฏิบัติต่อชาวบ้านประหนึ่งผักปลา ก็จะทำให้ทหารแถบชายแดนชอกช้ำเช่นกัน”

..........................................