webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · History
Not enough ratings
867 Chs

022 เลี้ยงไก่ไข่

บทที่ 22 เลี้ยงไก่ไข่

หลังจากที่อวี๋หวั่นจับไก่ป่าตัวอวบอ้วนได้ห้าตัวและกระต่ายป่าเนื้อแน่นอีกจำนวนหนึ่ง ตะกร้าสะพายหลังก็เกือบเต็มเสียแล้ว แทบไม่มีที่เหลือให้ใส่หน่อไม้ เธอจึงขุดเพียงไม่กี่หน่อแล้วอุ้มลงเขาไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

เถี่ยตั้นน้อยคิดว่าพี่สาวไปขุดหน่อไม้และตกปลา เขากำลังนับนิ้วตามจำนวนปลาที่จะได้กินเย็นนี้ แต่กลับเห็นว่าพี่สาวของตนกำลังแบกไก่ป่าและกระต่ายป่ากลับบ้านมา

เถี่ยตั้นน้อยไม่เคยเห็นไก่และกระต่ายป่าที่ตัวใหญ่เช่นนี้มาก่อน เขาจ้องมองพวกมัน พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านพี่! นี่คือไก่หรือ? กระต่ายก็ตัวใหญ่มาก! ตัวใหญ่กว่ากระต่ายที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านเสียอีก!”

กระต่ายเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ยาก มิใช่ว่าใครก็เลี้ยงได้ ตอนที่ผู้ใหญ่บ้านซื้อกระต่ายสีเทาหนึ่งตัวจากในตำบลกลับมา ทุกคนต่างอิจฉาเขากันใหญ่

“ท่านพี่! ท่านเอากระต่ายมาจากไหน” เถี่ยตั้นน้อยนั่งยอง จับใบหูของกระต่าย

อวี๋หวั่นรีบคว้ามือน้อยๆ ของเขาเอาไว้ “ระวังมันกัด”

“แน่นอน” กระต่ายเลี้ยงบางครั้งก็ยังกัดคน นับประสาอะไรกับกระต่ายป่า จะว่าไปก็แปลก ที่ว่าพวกมันดูเป็นกระต่ายป่านั้นถูกต้องแล้ว แต่กลับเชื่องกว่าที่คิดไว้มาก ไม่น่าจะพบได้ในพื้นที่ซึ่งปราศจากผู้คนเช่นนั้น เธอกลัวว่าจะเป็นประต่ายป่าที่ใครเลี้ยงเอาไว้

อวี๋หวั่นจับกระต่ายไปใส่ไว้เล้าไก่

แม้จะเรียกว่าเล้าไก่ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงคอกเล็กๆ ล้อมด้วยไม้ไผ่สูงสองฉื่อ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึงหนึ่งเมตร

เถี่ยตั้นน้อยนั่งยองลงด้านนอกเล้าไก่ จ้องกระต่ายตัวอ้วนตาไม่กะพริบ

อวี๋หวั่นมองเขาพลางหัวเราะ “เย็นนี้อยากกินกระต่ายไหม”

“อ๋า?” เถี่ยตั้นน้อยหันมามองพี่สาวของตนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กระต่ายน่ารักเช่นนี้ จะกินมันได้อย่างไรกัน

“ไม่กิน ไม่กิน” อวี๋หวั่นรีบตอบ

เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกโล่งใจ แล้วก็ได้ยินอวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “งั้นก็เอาไปขาย”

เถี่ยตั้นน้อย “...”

อวี๋หวั่นจับไก่ป่าใส่กรง

เมื่อนางเจียงมาถึงหลังบ้าน อวี๋หวั่นก็กำลังยกกรงไก่ไปไว้ใต้ชายคา เหมันต์ฤดูอากาศหนาวยิ่งนัก ไม่รู้ว่าหิมะจะตกเมื่อใด เตรียมพร้อมไว้ย่อมดีกว่า

อวี๋หวั่นวางกรงไก่เรียบร้อยแล้ว เธอหันมาและเห็นท่านแม่ยืนอยู่ที่ประตูหลังของห้องโถง ใบหน้าเปื้อนยิ้มมองมายังเธอ

แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าป่านเนื้อหยาบ แต่นางเจียงก็ยังดูงดงามดุจเทพเซียนในพงพนา ดวงหน้าสะสวยนี้ ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ต้องหลงใหล

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของอวี๋หวั่นได้มากกว่า ก็คือดวงตาที่แฝงความนัยลึกซึ้งของนาง

คงมิใช่เพราะหลายวันมานี้เธอทำอะไรได้มากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้นางเจียงเกิดสงสัยขึ้นมาหรอกกระมัง

“ท่านแม่...”

ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังคิดหาข้อแก้ตัว นางเจียงก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าบอกแล้วไง ว่าก่อนหน้านี้เจ้าสมองกระทบกระเทือน”

อวี๋หวั่น “...”

หลังจากกวาดหลังบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี๋หวั่นจึงคุยกับนางเจียงเรื่องของลุงใหญ่ “ท่านแม่ หากจะพาท่านลุงใหญ่ไปรักษาในเมืองหลวง ต้องใช้เงินเท่าไรหรือ”

นางเจียงเท้าคางพลางครุ่นคิด “อย่างน้อย...หนึ่งร้อยตำลึงกระมัง”

อวี๋หวั่นแทบหยุดหายใจ “มากขนาดนั้นเลย?”

“อืม” นางเจียงพยักหน้าอย่างเยือกเย็น “ลุงใหญ่ของเจ้าได้พลาดช่วงที่ดีที่สุดในการรักษาไปเสียแล้ว ค่ารักษาของหมอที่มีชื่อเสียงนั้นแพงมาก...ไม่เช่นนั้นไฉนจึงกล่าวกันว่าสามัญชนป่วยแล้วรักษาไม่หาย”

เมื่อคำว่า ‘สามัญชน’ นี้ออกมาจากปากของสตรีชาวบ้าน กลับฟังดูราวกับว่าคนนอกเป็นคนพูดเสียมากกว่า

อวี๋หวั่นมองไปยังนางเจียง

นางเจียงมองกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “แต่แม่เชื่อว่าอาหวั่นต้องหาเงินมากขนาดนั้นได้แน่นอน”

มากขนาดนั้น...เช่นนี้สิจึงจะฟังดูเหมือนกับสตรีชาวบ้าน

อวี๋หวั่นกล่าว “ข้าคิดว่าจะนำหมูไปขายครึ่งหนึ่ง ไก่ป่าและกระต่ายป่าเหล่านี้ก็นำไปขาย เงินที่ได้จะนำไปซื้อข้าวของสำหรับปีใหม่ ท่านแม่ลองดูว่าท่านกับน้องมีอะไรต้องซื้อเพิ่มบ้าง”

เธอยังมีเงินที่เหลืออยู่จากการขายเกลือครั้งก่อนอีกสิบสี่ตำลึง จะเก็บเอาไว้เป็นค่ารักษาลุงใหญ่และค่าเดินทาง

นางเจียงยิ้มน้อยๆ “ได้”

“ท่านพี่ ท่านพี่! รีบมานี่เร็ว!” ไม่รู้ว่าเถี่ยตั้นน้อยซึ่งนั่งยองข้างกรงไก่ปราดเข้ามาดึงมือเธอตั้งแต่เมื่อใด “ไก่ป่าออกไข่แล้ว!”

โดยทั่วไป เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ไก่ป่าก็จะไม่วางไข่ หากมิได้เห็นกับตา อวี๋หวั่นก็คงไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

อวี๋หวั่นหยิบไข่ไก่อุ่นๆ ขึ้น และกล่าวด้วยความพึงพอใจว่า “อย่างนั้นก็ไม่ขายแล้ว ให้มันออกไข่ พี่จะได้ทำไข่ไก่ให้เจ้ากินทุกวัน”

ตกเย็น แม่ไก่ตัวที่เพิ่งวางไข่ก็ได้รับสิทธิพิเศษจากอวี๋หวั่น ได้ย้ายไปอยู่ในกรงที่ ‘หรูหรา’ ด้วยความสง่างาม ไม่เพียงได้อยู่ในบ้าน ในกรงยังมีอาหารและหญ้าปูรอง

วันต่อมา ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังทำความสะอาดหลังบ้านอยู่นั้น ก็พบว่าไก่อวบอ้วนที่เหลืออีกสี่ตัวต่างพยายามออกไข่กันคนละฟอง

อวี๋หวั่นตะลึงจนอ้าปากค้าง “...”

……

ไก่ป่า...ไม่ขายไก่ป่าแล้ว ก็ยังเหลือกระต่ายและหมู

พรุ่งนี้เป็นวันที่มีตลาด ระหว่างนี้ ก็ยังขึ้นไปบนเขาได้อีกครั้งหนึ่ง

เธอคิดจะไปเรียกอวี๋เฟิงและอวี๋ซง ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อก้าวเท้าออกจากประตู ก็เห็นทั้งสองคนถือถังไม้ ในถังมีแหดักปลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็คิดเหมือนกับอวี๋หวั่น

“พี่ใหญ่ พี่รอง” อวี๋หวั่นทักทายพร้อมรอยยิ้ม

อวี๋ซงทำหน้าบึ้งตึง

ส่วนอวี๋เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “สีของท้องฟ้าดูไม่ดีนัก หิมะใกล้ตกแล้ว หากรอให้น้ำในทะเลสาบแข็ง อาจจะวางแหไม่ได้ วันนี้ข้ากับน้องรองจะไปดักปลาเพิ่มเสียหน่อย”

อวี๋หวั่นเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่น เห็นพ้องอวี๋เฟิง “เช่นนั้นข้าก็จะขุดหน่อไม้มากสักหน่อย”

เธอหยุดกึก ราวกับคิดอะไรออก และกล่าวว่า “ครั้งนี้เกรงว่าจะต้องกลับบ้านค่ำ ข้าจะไปเตรียมเสบียง”

“พวกข้าเตรียมไปแล้ว!” สองพี่น้องพูดโพล่งขึ้นพร้อมกัน

อวี๋หวั่นหันหลังกลับมาด้วยความงุนงง เธอมองปฏิกิริยาตอบสนองอันรุนแรงของทั้งคู่ “อ้อ”

อวี๋เฟิงคล้ายกับจะรู้ว่าปฏิกริยาของตนนั้นมากเกินไป จึงกระแอมด้วยความลำบากใจ พร้อมกล่าวว่า “วันนี้...ไปกินข้าวที่บ้านข้าเถิด ท่านแม่ข้าบอกว่านางทำกับข้าว”

“ตกลง” อวี๋หวั่นหัวเราะ มิได้ปฏิเสธ

ขาหมูที่ซื้อไว้เมื่อวานยังไม่ได้กิน รมควันทิ้งไว้บนเตา ก่อนออกจากบ้าน เธอจึงนำขาหมู ไข่ไก่ห้าฟอง และไก่ป่าอ้วนฉุอีกสองตัวไปให้ที่บ้านเดิม

ก่อนหน้านี้ที่บ้านของลุงใหญ่ก็เคยเลี้ยงไก่ หลังจากนั้นแม่ไก่ชราตัวสุดท้ายก็ถูกนำไปขายเพื่อเป็นค่ายาของลุงใหญ่

“ให้ข้าๆ”

ป้าสะใภ้ใหญ่กำลังนั่งแกะฝักข้าวโพดตากแห้ง ลุงใหญ่เดินถือไม้เท้ามา คว้าข้าวโพดหนึ่งกำ และเดินไปยังกรงไก่ ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่พอใจ “ท่านทำอะไร มีใบผัก แต่ท่านกลับใช้ข้าวโพดเลี้ยงไก่! คนจะกินไม่อิ่มกันอยู่แล้ว!”

ลุงใหญ่หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “ได้ยินที่อวี๋หวั่นพูดหรือไม่ ไก่นี่ออกไข่ได้”

ไก่รึ? หรืออาหวั่นออกไข่มาเอง? ป้าสะใภ้ใหญ่กลอกตา อุ้มบุ้งกี๋ไปยังห้องครัว

ขี้เกียจจะสนใจ!

เมื่อให้อาหารไก่ป่าเรียบร้อยแล้ว ลุงใหญ่ก็เดินกระโผลกกระเผลกมา หยิบมีดไปจากมือของป้าสะใภ้ใหญ่ กล่าวกับนางว่า “ข้าเอง”

ป้าสะใภ้ใหญ่มองเขาราวกับเห็นผี!

ลุงใหญ่มิได้สนใจ เขาวางไม้เท้าลง ลงมือหั่นผักอย่างมีความสุข

ป้าสะใภ้ใหญ่มองหลังของลุงใหญ่ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหั่นผักด้วยความร่าเริง ทว่าจิตใจนางกลับล่องลอยไปไกล

“ก็แค่เด็กคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ไยท่านต้องดีใจเพียงนี้?” ป้าสะใภ้สะอื้นเล็กน้อย นางหันหลังกลับไป ยกมือขึ้นปาดขอบตาอันแดงก่ำ

...........................................