webnovel

บทที่ 7

ยอดอาชาสีดำขนมันขลับท่าทีสง่างามยืนรอผู้เป็นเจ้านายอยู่เบื้องหน้าตำหนัก องครักษ์ทั้งสองของแม่ทัพเฉิงอี้ช่วยตรวจตราความเรียบร้อยของบังเหียนให้แน่นหนาปลอดภัย

"อาอู๋ อาลิ่ว เจ้าเตรียมม้าให้ข้าเรียบร้อยแล้วหรือไม่"

"นายท่านแน่ใจหรือ ว่าจะไม่ให้พวกข้าทั้งสองติดตามไปด้วย" อาอู๋ องครักษ์แฝดพี่เอ่ยถาม

"ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้านหลังหุบเขาดอกท้อป่า หากไปกันหลายคน ข้าเกรงว่าชาวบ้านจะตกใจ เอาไว้ให้พวกเขาคุ้นเคยกับข้าดีแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วยในคราวหลัง"

สององครักษ์ฝาแฝดไม่ขัดคำสั่งผู้เป็นนาย เฉิงอี้กระโดดกุมบังเหียนแล้วควบยอดอาชาออกไปด้วยท่วงท่าสง่างาม

ทางเข้าสู่หมู่บ้านใจกลางหุบเขาดอกท้อป่า เฉิงอี้บังคับม้าให้เดินช้าลงแล้วค่อยๆ เข้าไปในหมู่บ้านด้วยท่าทีเป็นมิตร บรรดาชาวบ้านที่กำลังยุ่งอยู่กับงานบ้านงานเรือนต่างมองมาที่แม่ทัพอาภรณ์ขาวเกศาเงินที่นั่งอยู่บนหลังม้าเป็นตาเดียว

เฉิงอี้หยุดม้าลงตรงหน้าสะพานเล็กๆ ข้ามธารน้ำใสภายในหมู่บ้าน เขาผูกเชือกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่แล้วเดินเท้าข้ามมา หญิงสาวสองคนที่กำลังซักผ้าที่ลำธารสะกิดกันชวนมองมายังเฉิงอี้ ร่างสูงผงกศีรษะเล็กน้อยทักทายอีกฝ่ายเป็นมารยาท ก่อนจะก้าวเท้ายาวตรงมาใจกลางหมู่บ้าน แล้วถามหาเยว่ซิน

หญิงชรานางหนึ่งกำลังนั่งผ่าท่อนฟืนเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาถามหาเสี่ยวเยว่ของพวกเขา จึงอดถามมิได้

"ท่านมาตามหาเยว่ซินใช่หรือไม่"

"ใช่ ท่านทราบหรือไม่ว่าบ้านนางอยู่ที่ใด"

"ท่านมีธุระอะไรกับนาง"

"..." เฉิงอี้ไม่เข้าใจว่าคำถามนี้เขาต้องตอบเช่นไร หากเป็นธุระส่วนตัว เขาก็ไม่จำเป็นต้องตอบผู้ใดใช่หรือไม่

"วางใจเถอะ หากท่านไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร ข้าถามตามหน้าที่ผู้เฒ่าที่ดูแลหมู่บ้านนี้ก็เท่านั้น เสี่ยวเยว่หลานสาวของข้าอยู่บ้านหลังโน้น ท่านไปหานางเถิด" หญิงชราอธิบายด้วยน้ำเสียงน่าฟัง เฉิงอี้จึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น

"ขอบคุณท่านผู้เฒ่า ข้าชื่อเฉิงอี้ เป็นแม่ทัพเพิ่งย้ายมาใหม่ เพียงแค่ต้องการคุยธุระกับนางเล็กน้อยเท่านั้น" หญิงชราโบกมือเบาๆ ว่าให้เขาเข้าไปได้ตามสบาย ที่จริงใช่ว่าเฉิงอี้จะไม่รู้จักบ้านของนางเสียเมื่อไหร่ เขามาที่นี่ตั้งแต่เยว่ซินยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากบุ่มบ่ามเข้าไปเกรงว่าจะเป็นที่สงสัยกันพอดี

หน้าเรือนไม้ไผ่ที่คุ้นตา เฉิงอี้เคาะกระบอกไม้ไผ่ที่หน้าประตูตามมารยาท ครู่เดียวประตูบ้านก็ถูกเปิดออก สตรีสูงวัยในชุดผ้าทอสีชมพูกลีบบัวออกมาเห็นเฉิงอี้ยืนอยู่ตรงหน้า ก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกจนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง

เหตุใดชายผู้นี้จึงมีใบหน้าคล้ายจตุรเทพเซียนอี้ตี้จวินเช่นนี้เล่า นางจำใบหน้างดงามหมดจดของเขาได้แม่นยำไม่ผิดแน่ นางเคยเป็นเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ตั้งหลายแสนปี จตุรเทพผู้เลื่องชื่อทั้งสี่มีหรือที่นางจะไม่รู้จักได้

ทว่าชายตรงหน้าแม้ใบหน้าจะคล้ายเทพผู้สูงส่งจริงๆ แต่กายเนื้อกลับบ่งบอกว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งสีหน้าและแววตาของเขาในเวลานี้ก็ไม่ได้แสดงออกว่าเขาจำอดีตเทพธิดาดอกไม้สวรรค์เช่นนางได้แต่อย่างใด ดังนั้นหากนางตีตนไปก่อนไข้เกรงว่าผู้เผยพิรุธจะกลายเป็นนางเสียเอง

เฉิงอี้คิดอยู่แล้วว่าวันนี้เขาอาจจะได้พบหน้าลี่จิ่นโดยตรง และเป็นไปได้ว่าลี่จิ่นต้องจำเขาในนามไท่เซียนอี้ตี้จวินได้อย่างแน่นอน แต่กายเนื้อมนุษย์ธรรมดาที่เขาอาศัยร่างให้จิตเทพได้คงอยู่นั้นคงช่วยอำพรางและสร้างความสับสนให้นางได้มาก ดังนั้นเขาเพียงแค่ต้องแสดงละครสักฉากเพื่อยืนยันฐานะของเขาให้ชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น

"คารวะแม่นาง ข้าชื่อเฉิงอี้ เป็นแม่ทัพของเมืองเฉียวเซียน ข้ามาตามหาเยว่ซิน นางอยู่ที่นี่หรือไม่" เฉิงอี้คารวะด้วยท่าทีนอบน้อม เอ่ยแนะนำตัวด้วยวาจาสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ขัดวิสัยตอนที่ยังเป็นตี้จวินอยู่มาก

ลี่จิ่นจดจ้องชายในนามเฉิงอี้อย่างประมวลความคิด ที่แท้เขาคือเซียนอี้ตี้จวินในร่างมนุษย์นามเฉิงอี้ นี่คงจะลงมาเพื่อเผชิญด่านเคราะห์ตามประสาเทพสวรรค์ผู้สูงส่งอีกแล้วกระมัง นางจำได้ดีว่าเมื่อใดที่เทพเซียนลงมาจุติยังโลกมนุษย์ กายเนื้อและจิตวิญญาณก็จะต้องเป็นมนุษย์ด้วย เช่นนี้นางจึงไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องหวาดกลัวเฉิงอี้ผู้นี้แล้ว อย่างไรเขาก็จำนางไม่ได้ แม้แต่ตัวเองเป็นจตุรเทพก็คงลืมไปแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยอมคารวะให้นางด้วยท่าทีนอบน้อมได้ขนาดนี้กระมัง

"ท่านแม่ทัพมีธุระอันใดกับลูกสาวข้า"

"ข้าเคยกินซาลาเปาที่ร้านของนาง ข้าชอบรสชาตินั้นมาก จึงอยากมาขอให้นางรับทำซาลาเปาในงานเลี้ยง" ท่าทีเป็นมิตรของเฉิงอี้ ทำให้ลี่จิ่นคลายกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด เฉิงอี้แอบนึกขบขันอยู่ในใจ หากนางรู้ว่าจิตเทพในกายเนื้อมนุษย์ของคนตรงหน้ายังคงเป็นจตุรเทพตี้จวิน นางจะยังต้อนรับเขาเช่นนี้หรือไม่ เกรงว่าจะไล่ฆ่าเอาชีวิตเขาไปเลยมากกว่า

ลี่จิ่นรู้ดีแก่ใจว่าหน้าที่ของเทพที่จุติลงมาโลกมนุษย์ก็เพื่อเผชิญเคราะห์กรรมที่แสนสาหัสตามแต่เทพบรรพกาลจะบันดาลให้ว่าเคราะห์กรรมนั้นจะหนักหนาเพียงใด หากนึกย้อนไปเมื่อครั้งที่นางทำผิดต่อสวรรค์ แม้เทียนจวินจะลงโทษนางให้มีกายเซียนเป็นอมตะ จริงอยู่ที่โลกมนุษย์ทำให้นางเผชิญเรื่องทุกข์แทบขาดใจมามากมาย ทั้งการสูญเสียคนรัก สูญเสียครอบครัวที่เลี้ยงดูนาง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง นั่นคือการที่นางได้ใช้กายเซียนตั้งครรภ์บุตรสาวแสนน่ารักอย่างเยว่ซิน ให้นางได้มีโอกาสเป็นมารดา ได้รับรู้ว่าการมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองนั้นดีอย่างไร

ดังนั้นสำหรับเฉิงอี้ผู้นี้ เกรงว่าไม่นานนักคงจะต้องเผชิญเคราะห์กรรมสักเรื่องเป็นแน่ เพื่อถือโอกาสได้ไถ่โทษต่อสวรรค์และตอบแทนเทียนจวิน เช่นนั้นนางจะช่วยดูแลมนุษย์เฉิงอี้หรือไท่เซียนอี้ตี้จวินผู้นี้ให้ผ่านด่านเคราะห์ได้อย่างราบรื่นก็แล้วกัน

"บุตรสาวของข้าไปล้างผักที่ลำธารด้านหลัง ท่านมาดื่มน้ำชานั่งรอนางในบ้านก่อนเถิด" ลี่จิ่นถอยไปหนึ่งก้าวแล้วผายมือเชิญเฉิงอี้ให้เข้าไปด้านใน

"ขอบคุณแม่นาง..."

"ข้าชื่อลี่จิ่น"

"ขอบคุณแม่นางลี่จิ่น"

"เชิญท่านนั่งก่อน"

เฉิงอี้นั่งลงที่โต๊ะสำรับอาหาร เขาเห็นชามน้ำแกงปลาแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้งแรกที่เขามาหาเยว่ซิน เด็กน้อยได้ตักน้ำแกงปลาแบ่งให้เขาที่อยู่ในร่างลูกสุนัขกิน นางช่างเป็นเด็กมีน้ำใจยิ่งนัก หวังว่างานนี้นางยังคงมีน้ำใจ ไม่ปฏิเสธที่จะทำซาลาเปาไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของเขาเช่นกัน

"ท่านดื่มน้ำชาก่อน ชานี้ข้าเพิ่งชงก่อนท่านมาถึง ยังร้อนๆ อยู่" ลี่จิ่นรินน้ำชาให้ กลิ่นชาดอกท้อป่าจากไอร้อนช่างหอมกรุ่น

"ท่านแม่ ข้ามาแล้ว" น้ำเสียงหวานร้องบอกมาก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง ลี่จิ่นถึงกลับส่ายหัวเบาๆ อย่างเขินอายต่อแขกผู้มาเยือน ไยบุตรสาวของนางถึงได้เอะอะดูไม่เรียบร้อยเช่นนี้เล่า

"เจ้าวางของก่อน ท่านแม่ทัพมาพบเจ้า" เยว่ซินผงะเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในบ้านแล้วพบว่ามีแขก ลี่จิ่นรีบเอ่ยเมื่อเห็นว่าเยว่ซินยืนนิ่ง

"ท่านแม่ทัพเฉิงมาหาข้าถึงนี่ด้วยเรื่องใด"

"นั่งก่อนสิ" กลายเป็นผู้มาเยือนต้องเชิญเจ้าของบ้านนั่งเสียแล้ว เพราะสาวน้อยดูจะตกใจจนประหม่าเมื่อเห็นเขาอยู่ที่นี่

"ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าขอตัวออกไปทำอาหารเที่ยงก่อน หากท่านไม่มีธุระ เชิญอยู่กินข้าวกับเราก่อน คุยกันตามสบาย"

"เช่นนั้นข้าขอฝากท้องกับท่านสักหนึ่งมื้อ" ลี่จิ่นยิ้มรับ นางเดินออกไปข้างนอกพร้อมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเต็มตะกร้า ด้านเฉิงอี้ก็หันกลับมาคุยกับเยว่ซินที่ยังนั่งเกร็งอยู่ข้างๆ

"ข้าไปหาเจ้าที่ตลาดแล้วแต่ไม่เจอ ข้าถูกใจรสชาติซาลาเปาของเจ้า ข้าจึงอยากมาขอให้เจ้าช่วยเป็นแม่ครัวในงานเลี้ยงที่จวนของข้าได้หรือไม่"

"งานเลี้ยงฉลองโอกาสใดหรือเจ้าคะ"

"องค์ไท่จื่อจะเสด็จมาเยี่ยมเมืองเฉียวเซียน" จบประโยคเยว่ซินถึงกับตาโต จะให้นางทำซาลาเปาเพื่อถวายองค์ไท่จื่อเชียวหรือ

"เอ่อ...ร้านซาลาเปาของข้าเป็นร้านเล็กๆ หากถวายองค์ไท่จื่อเช่นนั้นจะเหมาะสมหรือไม่ ข้าเกรงว่า..."

"มีอะไรไม่เหมาะสมเล่า หากเจ้าทำซาลาเปาที่ครัวในจวนของข้า นั่นย่อมหมายความว่าซาลาเปานั้นมาจากจวนข้าแล้ว หรือเจ้าคิดว่าจวนของข้าไม่เหมาะแก่การต้อนรับองค์ไท่จื่อ"

"ถ้าเช่นนั้น ข้ารับปาก ข้าจะช่วยท่าน" เยว่ซินคลายกังวลแล้วระบายยิ้มอย่างสบายใจ หากอาศัยเพียงฝีมือปรุงรสของนางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้องค์ไท่จื่อทั้งที นางจะพลาดได้อย่างไรเล่า

"แต่ข้ามีอีกเงื่อนไขเล็กน้อย"

"เงื่อนไขอะไรเจ้าคะ"

"มีเวลาหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับองค์ไท่จื่อ ข้าไม่อยากให้มีเรื่องผิดพลาด ดังนั้นทุกคนจะต้องไปฝึกงานในจวนของข้าจนกว่างานจะจบ เจ้าทำได้หรือไม่"

"ฝึกงานหนึ่งเดือนเลยหรือเจ้าคะ นั่นหมายความว่าข้าจะต้องหยุดขายของใช่หรือไม่" สีหน้าของเยว่ซินดูเป็นกังวล เฉิงอี้จึงรีบกล่าวให้นางสบายใจว่า

"ตลอดหนึ่งเดือนที่ฝึกงาน ข้ามีค่าแรงให้เจ้าด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลหากจะต้องหยุดขายของ"

"ถ้าเช่นนั้นข้ากับท่านแม่ก็ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ข้าทำได้" เฉิงอี้ยิ้มกว้างเมื่อแผนการของเขาสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว

ภายในหนึ่งเดือนข้างหน้า เยว่ซินจะต้องไปพักอยู่ที่จวนของเขาโดยปราศจากสายตาของลี่จิ่น เขาจะอาศัยความใกล้ชิดนี้หาทางช่วยปลดผนึกจิตเทพของนางให้ได้ หรืออย่างน้อยเขาอาจจะได้โอกาสคิดหาวิธีใดขึ้นมาได้บ้างก็ยังดี

ยามเฉิน (*ช่วงเวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า) เสียงรถม้ามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านตามเวลาที่เฉิงอี้ได้ทำการนัดหมายกับเยว่ซินไว้เมื่อวานนี้ เยว่ซินเองก็ตรงต่อเวลา นางยืนถือห่อผ้ามารอรถม้าก่อนจะมาถึงราวๆ ครึ่งชั่วยามแล้ว

"แม่นางเยว่ซิน ข้ามารับท่านตามคำสั่งของท่านแม่ทัพเฉิงอี้ เชิญท่านขึ้นรถม้า" อาอู๋กล่าวอย่างนอบน้อมจนเยว่ซินทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมานางมิเคยถูกปรนนิบัติราวกับนายหญิงเช่นนี้มาก่อน อาลิ่วเองก็ไม่รอช้า รีบยกบันไดมาวางให้เยว่ซินก้าวขึ้นรถม้า เยว่ซินมององครักษ์ทั้งสองอย่างเกร็งๆ อาอู๋เห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มอย่างเอ็นดูสาวน้อยตรงหน้าไม่ได้

"แม่นางเยว่ซินทำตัวตามสบายเถิด ข้าทั้งสองเป็นองครักษ์คนสนิทของท่านแม่ทัพ ท่านวางใจได้" อาอู๋เอ่ยยิ้มๆ หวังให้เยว่ซินคลายกังวล ร่างบางจึงก้าวขึ้นไปนั่งบนรถอย่างวางใจ อาลิ่วยกบันไดไปเก็บไว้ด้านหลัง ก่อนจะขึ้นม้าเคียงคู่กับพี่ชายแล้วควบม้าออกรถตรงกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพ

"หยุด" เสียงสององครักษ์ฝาแฝดออกคำสั่งม้าสีดำทั้งสองให้หยุดเดิน เมื่อมาถึงหน้าจวนท่านแม่ทัพแล้ว เยว่ซินรู้สึกว่ารถม้าจอดสนิท ฝ่ามือเรียวบางดันผ้าม่านสีขาวให้เปิดออก สายตามองออกมาเห็นท่านแม่ทัพยืนรออยู่ด้านล่างแล้ว

สายตาของเยว่ซินสบตากับเจ้าของร่างสูงสง่าในอาภรณ์ขาวมวยผมเกศาเงินปักปิ่นไม้กฤษณาช่างดูดีราวกับรูปปั้นเทพสวรรค์ แสงแดดอ่อนๆ ยามเฉินสาดแสงเข้ากับใบหน้าเข้ารูปนั้นยิ่งดูงดงาม ใจของหญิงสาวภายในร่างบางจู่ๆ ก็เต้นไร้จังหวะอย่างเกินควบคุม ใบหน้าเล็กเริ่มปรากฏสีแดงระเรื่อที่สองข้างแก้มถึงใบหูจนรู้สึกอุ่นร้อน

"แม่นางเยว่ซิน...แม่นางเยว่ซิน" อาลิ่วที่วางบันไดรอมาอึดใจหนึ่งเห็นว่าเยว่ซินไม่ลงจากรถม้าเสียทีจึงเอ่ยเรียก เยว่ซินรู้สึกตัวสะดุ้งเล็กน้อย รีบหยิบห่อผ้าแล้วลงจากรถม้าอย่างเคอะเขิน แต่เพราะรู้สึกประหม่าอยู่มากทำให้ก้าวเท้าพลาดในขั้นที่สอง ร่างบางเซเพราะข้อเท้าพลิกจนเผลอร้องอย่างตกใจเมื่อจะล้มลง

แต่เพราะนางอยู่ในสายตาของเฉิงอี้ตลอดเวลา อ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาคว้ารับร่างเล็กได้ทันในแขนเดียว เขาตวัดเอวบางเข้ามาประชิดตัวจนใบหน้าแดงระเรื่อของนางชนเข้าที่หน้าอกหนาแนบแน่น อาอู๋กับอาลิ่วสองแฝดที่รู้งานจึงรีบหันหลังหนีไม่มองฉากนั้นเพื่อให้เกียรติเยว่ซิน

"เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่" เสียงนุ่มกระซิบถามที่ข้างหู ร่างบางยังคงยืนนิ่งในอ้อมกอด เยว่ซินค่อยๆ เงยหน้าจากแผ่นอกหนา จนปลายจมูกแทบจะประชิดกับใบหน้าของเขาที่โน้มลงมา

"ข้าไม่เจ็บเจ้าค่ะ" เยว่ซินรีบผละตัวออกห่างจากเฉิงอี้แล้วก้มหน้างุดอย่างทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้เข้าใกล้ชายใดขนาดนี้มาก่อน นาทีนี้หัวใจจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกอยู่แล้ว

"ดี เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องพักก่อน" เฉิงอี้รู้ว่าเยว่ซินกำลังเขินอาย ท่าทีประหม่าจนตัวสั่นและใบหน้าที่แดงระเรื่อนั้นทำให้เขาอดยิ้มขำไม่ได้ ท่าทีของนางตอนนี้ดูน่ารักดีเหลือเกิน

เฉิงอี้เดินนำหน้าเยว่ซินอยู่สองสามก้าว เขาพานางไปยังห้องพักรับรองที่สั่งให้สาวรับใช้ในจวนจัดรอไว้แล้ว เมื่อมาถึงสาวรับใช้ที่ยืนรออยู่ก็เปิดประตูห้องพักให้ทั้งสองคนเข้ามาด้านใน เยว่ซินก้าวเท้าตามเฉิงอี้เข้ามาอย่างช้าๆ พลางมองไปรอบๆ ห้องก็ตกตะลึง ห้องนี้โอ่อ่าใหญ่โตเหลือเกิน เตียงนอนและโต๊ะทำงานก็สวยและใหญ่โตจนไม่กล้าเดาราคา ม่านไม้กั้นห้องเป็นลายสลักรูปดอกไม้งดงามเข้ากับกำยานกลิ่นไม้กฤษณาหอมระเหยอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

"เจ้าชอบห้องนี้หรือไม่" เฉิงอี้มองนาง เห็นนางนิ่งงันดูท่าจะยังประหม่าอยู่ไม่น้อย

"ห้องนี้ใหญ่เกินไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านให้ข้าอยู่ห้องเล็กกว่านี้ก็ได้นะเจ้าคะ" เยว่ซินเกิดรู้สึกขึ้นมาว่าเฉิงอี้ดูแลนางดีเกินไปแล้ว มาทำงานได้รับเบี้ยเลี้ยงจำนวนหนึ่งนางก็พอใจ เมื่อเห็นห้องพักเช่นนี้จึงเกรงใจท่านแม่ทัพอยู่มาก

"เจ้าอยู่ให้สบายเถิด จะได้มีแรงทำงานให้ข้า ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องทำงานให้ข้าอย่างสมน้ำสมเนื้ออยู่แล้ว" เยว่ซินเข้าใจที่เฉิงอี้พูดจึงพยักหน้ารับ

"เช่นนั้นข้าเก็บของก่อนได้หรือไม่" เฉิงอี้มองห่อผ้าในอ้อมกอดของเยว่ซิน จึงถอยตัวหลบให้เยว่ซินเดินเข้าไป แล้วขอตัวออกมา

"เจ้าพักผ่อนเถิด ยามเว่ย (*ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง) ข้าจะมาพาเจ้าไปเดินดูรอบๆ"

"เจ้าค่ะ" เยว่ซินโค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินมาปิดประตูเมื่อเฉิงอี้เดินออกไปแล้ว

เยว่ซินค่อยๆ เดินดูไปรอบๆ ห้อง มือบางสัมผัสสิ่งของที่ตกแต่งในห้องอย่างตื่นตาเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงไม้สักทอง ความนุ่มของฟูกที่นอนทำเอาอ้าปากค้าง หนึ่งเดือนต่อจากนี้นางกินนอนสบายแน่ จวนท่านแม่ทัพนี่ช่างหรูหราเหลือเกิน ไม่อยากจะจินตนาการถึงพระราชวังขององค์ไท่จื่อเลย คงจะสวยงามยิ่งกว่านี้ราวกับแดนสวรรค์เลยกระมัง

เมื่อยามเว่ยมาถึง เสียงสาวรับใช้หน้าห้องของเยว่ซินได้ร้องบอกว่าท่านแม่ทัพมารับนางตามนัดแล้ว เยว่ซินที่เตรียมตัวรออยู่ก่อนจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูเสียเอง สาวรับใช้หน้าห้องที่กำลังจะเปิดประตูให้ถึงกับเสียหลักไปจังหวะหนึ่ง

"แม่นางข้าขอโทษ" เยว่ซินรู้ว่าตัวเองน่าจะทำผิดไปเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าสาวรับใช้เกือบจะล้มเพราะนาง

"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง"

"ไม่นะ เจ้าเรียกข้าว่าเยว่ซินเถิด ข้าเองก็มาทำงานให้ท่านแม่ทัพเช่นเดียวกับเจ้า" เยว่ซินจับมือทั้งสองของสาวรับใช้มากุมไว้อย่างเป็นมิตร

"เอ่อ..." สาวรับใช้เห็นเฉิงอี้ยืนมองอยู่จนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สีหน้าสับสน

"เจ้าทำตามที่นางบอกเถิด" เฉิงอี้เอ็นดูทั้งสองนางที่ยืนประหม่าพอกันอยู่ตรงหน้าเขา

"เจ้าค่ะ เช่นนั้นนายหญิง เอ้ย แม่นางเยว่ซินเรียกข้าว่าหลินหลินนะเจ้าคะ"

"ได้ เช่นนั้นหลินหลิน ข้าขอเป็นเพื่อนกับเจ้าได้หรือไม่ ข้าต้องอยู่ที่นี่ตั้งหนึ่งเดือน เจ้าจะได้คอยอยู่เป็นเพื่อนข้า"

"เอ่อ..." หลินหลินลอบปรายตามองเฉิงอี้ เขายืนอมยิ้มพยักหน้า หลินหลินจึงพยักหน้าตามเขา "ได้เจ้าค่ะ"

"ขอบใจนะหลินหลิน เช่นนั้นข้าขอตัวไปกับท่านแม่ทัพเฉิงก่อนนะ" เยว่ซินยิ้มร่าเริงเมื่อได้เพื่อนใหม่วัยใกล้ๆ กัน ก่อนจะเดินตามเฉิงอี้ออกมา

"ท่านแม่ทัพเฉิง แล้วห้องนอนของท่านอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ ห้องของท่านคงจะใหญ่โตกว่าห้องรับรองแขกของข้ามากแน่ๆ" เฉิงอี้ก้มมองเยว่ซินที่เดินอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ นางดูไม่ประหม่าแล้ว คงเพราะเบาใจที่มีเพื่อนอย่างหลินหลินแล้วทั้งคน

"ไม่ใหญ่กว่า ขนาดเท่ากัน อยู่ข้างๆ ห้องเจ้า" เฉิงอี้พูดอย่างไม่คิดอะไร แต่เยว่ซินกลับตกใจขึ้นมาอีกรอบ

"อยู่ข้างห้องข้า!" เฉิงอี้ขมวดคิ้วกับเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อยของเยว่ซิน

"อืม เจ้าตกใจอะไรกัน"

"ข้า..." เยว่ซินสีหน้าซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก นางคิดว่าเขาจะอยู่ในจวนหลังอื่นสักหลังที่น่าจะใหญ่กว่า หรืออยู่ด้านในเข้าไปอีกสักหน่อย ไม่คิดว่าจะอยู่ข้างห้องกัน รู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อยเลย

"รู้สึกไม่ปลอดภัยที่อยู่ข้างห้องข้าใช่หรือไม่" เฉิงอี้คาดเดา

"ไม่ๆ ข้ารู้สึกปลอดภัยที่อยู่ใกล้ท่าน" เพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด คำตอบที่นึกไม่ออกมาก่อนแต่ปากกลับพูดออกมาอย่างง่ายดาย ทำเอาเฉิงอี้ยิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น

"หนึ่งเดือนต่อจากนี้ ข้าจะดูแลเจ้าเอง" น้ำเสียงอบอุ่นของเฉิงอี้ทำเอาเยว่ซินรู้สึกดีอย่างประหลาด นางเงยหน้าสบตาเฉิงอี้แล้วยิ้มให้เขาอย่างวางใจ

ไม่นานนักทั้งสองก็เดินมาถึงห้องครัวหลังใหญ่ ข้ารับใช้ทั้งชายหญิงราวๆ หกคนหันมาคารวะเจ้าของจวนที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานของตนเองต่อ ข้ารับใช้ผู้ชายกำลังช่วยตักน้ำเติมในโอ่งดินเผา ส่วนข้ารับใช้ผู้หญิงก็จัดแจงเตรียมอาหาร บ้างก็กำลังทำความสะอาดเครื่องใช้ในครัว

เยว่ซินมองทุกคนทำงานในกระบวนการที่ไม่เคยเห็น ปกตินางอาศัยอยู่กับท่านแม่ ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นที่นางกำลังยืนดูอยู่ในตอนนี้ นางเห็นสาวรับใช้กำลังต้มจานชามช้อนและตะเกียบไม้ด้วยน้ำเดือดในกระทะใบใหญ่ เห็นบางคนกำลังแกะสลักฟักทองและแตงกวา เห็นบางคนกำลังกวนน้ำและกรองน้ำใสออกจากตะกอนก้นอ่าง ทุกสิ่งดูซับซ้อนยิ่งนัก งานในครัวที่นางเคยทำตอนอยู่กับท่านแม่ ดูท่าจะใช้ไม่ได้กับที่นี่เป็นแน่ เยว่ซินเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉิงอี้ถึงได้ให้นางมาฝึกงานนานถึงหนึ่งเดือน นั่นเพราะสาวชาวบ้านแบบนาง ถ้าให้ทำครัวตามประสาชาวบ้านเช่นที่นางเคยทำมาทั้งชีวิตถวายองค์ไท่จื่อ เกรงว่าชาตินี้จะรักษาคอเล็กๆ ไว้บนบ่าได้ไม่ทันถึงแก่เฒ่าแล้วกระมัง