webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Not enough ratings
56 Chs

บทที่ 4.3

คาบเรียนตอนบ่ายสามโมงของผมเป็นไปอย่างเชื่องช้า คำพูดของอาจารย์ไม่เข้าหูผมสักเท่าไหร่ ปกติแล้วผมจะเป็นคนตั้งใจฟังอาจารย์ในห้องเรียนเสมอ

เฉพาะวิชาที่อยากเรียนน่ะนะ

มีบ้างที่แอบเล่นโทรศัพท์หรืองีบหลับ หนักหน่อยก็ตอนเอาหนังสือเรียนวิชาอื่นขึ้นมาอ่านต่อหน้าอาจารย์ประจำวิชานั้น ๆ ทำเอาอาจารย์โกรธจนหัวแทบลุกเป็นไฟไปเลย

การเรียนของผมเปลี่ยนไปมากเมื่อขึ้นมหา'ลัย ผมเคยเป็นเด็กมัธยมเรียนดีตั้งใจฟังครูทุกคาบ อ่านหนังสือหนักสม่ำเสมอทุกวิชา แต่เมื่อโตขึ้นจึงได้รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ได้เกิดมาเพื่อเรา เราไม่จำเป็นต้องรู้ในทุกเรื่อง เรียนในสิ่งที่อยากรู้ และรู้ในสิ่งที่จำเป็น ชีวิตคนเราก็แค่นี้

ผมนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาในแอพโซเชียล แม้ไม่มีอะไรน่าสนใจให้ดูเลย แต่ก็นั่งขัดหน้าจอไปมาอยู่อย่างนั้น เนตรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฟุบหัวลงโต๊ะไปตั้งแต่สิบห้านาทีแรก ส่วนกุ้งที่นั่งถัดไปทำมือกวัดแกว่งดินสอจดตามที่อาจารย์อธิบายอย่างใส่ใจ

ผมสงสัยว่าไอ้กุ้งมันตั้งใจขนาดจดทุกคำพูดของอาจารย์เลยหรือไง เพราะเท่าที่ฟังตั้งแต่ต้นคาบ ยังไม่มีเนื้ออะไรที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์เลย มีแต่น้ำลายทั้งนั้น

พอชะเง้อข้ามหัวของเนตรไปมองสิ่งที่กุ้งมันเขียน ก็พบว่ามันไม่ได้ตั้งใจจดแต่อย่างใด ที่เห็นลากดินสอกดไปมานั้นคือการวาดรูปเล่น

กูขอโทษนะที่มองมึงผิดไป ไอ้กุ้ง

ความเบื่อหน่ายทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออาจารย์พูดเล่าความหลังของตัวเองอย่างไม่จบไม่สิ้น ผมที่ไถหน้าจอจนเบื่อแล้วจึงเท้าคางที่โต๊ะแล้วหันมองหน้าต่างชมวิวทิวทัศน์ภายนอกให้หายเซ็ง

แดดเวลาสี่โมงเย็นยังคงทำหน้าที่ส่องสว่างอย่างเต็มที่ไม่ต่างจากตอนเที่ยง ที่จอดรถข้างล่างตึกดูเบาบางลงกว่าเมื่อตอนบ่ายสาม

นิสิตหลายคนออกจากตึกเรียนไปหามอเตอร์ไซค์ของตน มองจากชั้นสี่ลงมาแล้ว ดูเหมือนมดแดงรังแตกวิ่งไปมาไม่มีผิด

โคตรน่าอิจฉาเลยโว้ย ได้เลิกเรียนก่อนเวลา

จริง ๆ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นในวันแรกของเทอม แต่อาจารย์ท่านนี้ดูไม่มีทีท่าจะหยุดพูดได้ง่าย ๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้นคาบ ชั่วโมงต่อ ๆ ไปก็คงไม่ต่างกัน

ผมสังเกตไปรอบห้อง พบว่าหลายคนก้มหน้าสนใจโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ บางคนหลับท่าเดียวกับเนตร บางคนจับกลุ่มคุยกันเสียงไม่ดังมาก มีน้อยคนนักที่กำลังฟังอาจารย์อย่างตั้งใจ

หากวันนั้นมาถึง วันที่ผมจะต้องไปยืนหน้าชั้นเพื่อสอนอะไรบางอย่างให้แก่นักเรียนกว่าสี่สิบชีวิต ผมจะกลายเป็นแบบตาลุงคนนี้ไหมนะ ผมไม่อยากเป็นครูผีบ้าที่พูดคนเดียวทั้งคาบโดยที่นักเรียนไม่ได้ตอบสนองใด ๆ

แต่มองกลับกัน ถ้าตาลุงนี่ตั้งใจเข้าประเด็นสักหน่อย ก็คงมีคนสนใจฟังมากกว่านี้

แล้วสมองของผมก็นึกถึงเจ้านั่นขึ้นมาทันใด ผมนึกภาพไม่ออกว่าถ้าไนน์ได้เป็นครูจะกลายเป็นครูแบบไหน ขนาดพูดกับคนแปลกหน้ายังไม่กล้าพูดขนาดนั้น แล้วอยู่ต่อหน้าสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ตัวเองคนเดียวจะทำได้ยังไง

ครูที่พูดติดขัดตลอดทั้งคาบคงทำให้นักเรียนหงุดหงิดแย่ หรือจะเป็นครูที่พูดเสียงเบา เร่งเสียงลำโพงสุดแล้วก็ยังไม่ได้ยิน คงไม่มีนักเรียนคนไหนสนใจฟังแน่

คนเรามันจะขาดความมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือไง ผมพยายามทำความเข้าใจไนน์ให้มากขึ้น อาจเป็นเพราะเคยถูกแกล้งอย่างนั้นหรือ แต่ผมที่เคยผ่านจุดนั้นมาแล้วก็ไม่ได้กลายเป็นเด็กขี้กลัวขนาดนี้ อะไรทำให้เด็กคนนี้กลายมาเป็นแบบที่เป็นอยู่กันนะ

อาจารย์ท่านเปิดเดี่ยวไมค์โครโฟนยาวถึงสองชั่วโมงเต็ม แถมยังเลยเวลาเลิกไปเกือบห้านาทีอีกต่างหาก ผมโบกมือลาเนตรและกุ้งตรงที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ สองคนนั้นมาคันเดียวกันและกลับด้วยกัน ทำให้วันนี้ผมไม่มีคนซ้อนท้าย

เจ้าหนูนั่นยังอยู่ที่หอสมุดหรือเปล่านะ แล้วจะกลับยังไงถ้าไม่มีรถ ถ้าเดินกลับอีกคงร้อนแย่แน่ ใส่ชุดนิสิตผูกไทขนาดนั้น...

ความคิดวนไปมาอยู่กับแค่น้องไนน์ตลอดทาง และแล้วผมก็มุ่งไปยังหอสมุดแทนที่จะเป็นหอของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

พอมาถึงหน้าหอสมุดก็เกือบห้าโมงครึ่งแล้ว ใจหนึ่งคิดไว้ว่าน้องไนน์คงกลับไปแล้วเพราะเขาบอกว่าไม่มีเรียนช่วงบ่าย แต่ใจหนึ่งก็ต้องเข้าไปดูให้แน่ใจ

ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ผมจึงเดินกลับเข้าไปที่เดิม แต่ปรากฎว่าที่มุมอับนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว

ไม่รู้ทำไม แต่ผมใจหายที่น้องไนน์ไม่ได้อยู่ที่นี่ หัวใจของผมเรียกร้องให้น้องไนน์ยังไม่กลับแล้วซ้อนท้ายไอ้ชมพูไปด้วยกัน

ทั้งที่ผมพูดเกริ่นไว้ว่าเลิกห้าโมง ก็คิดว่าจะรอกลับพร้อมกันซะอีก...

ผมเดินคอตกออกมาจากมุมนั้น เดินลากขาผ่านโซนยืม-คืนหนังสือไป แต่แล้วมือหนึ่งก็สะกิดเบา ๆ ที่เอวของผม

เมื่อหันไปก็พบน้องไนน์ในชุดนิสิตชุดเดิม เนคไทยังคงอยู่ที่คอเหมือนเมื่อสองชั่วโมงก่อนไม่มีผิด ในมือหิ้วหนังสือภาษาญี่ปุ่นสามเล่มเตรียมจะเก็บใส่กระเป๋าเป้

"พี่เบ็นมาอ่านหนังสือตอนดึกเหรอครับ" เจ้าหนูนี่พูดประโยคยาวขึ้นและฉะฉานขึ้นกว่าตอนแรกเยอะจนสังเกตได้

"อ่า...เปล่าหรอก" ทำไมผมต้องเขินที่จะพูดประโยคนี้วะ "มารับไนน์กลับหอไง"

"ไนน์เหรอครับ" ว่าแล้วไนน์ก็เอานิ้วชี้เข้าหาตัวเอง

"ใช่สิ ปะ กลับกันเถอะ"

เราลงลิฟต์มากันสองคน ภายในลิฟต์สว่างไสวไปด้วยแสงนีออนสว่างจ้าสะท้อนกับกระจกบานใหญ่

เมื่อมองสำรวจไนน์ดี ๆ เด็กนี่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ผิวที่กร้านแดดคงเคยเป็นผิวขาวใสมาก่อน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวน้อยใหญ่คงขาดการดูแลรักษาไป ถ้าหมอนี่ดูแลตัวเองดีกว่านี้ก็คงดูดีใช้ได้

"...ไนน์นึกว่า...พี่เบ็นกลับไปแล้ว"

"พี่ก็นึกว่าเรากลับไปแล้วเหมือนกัน ดีนะที่ย้อนกลับมาดูก่อน ไม่งั้นเด็กน้อยแถวนี้คงได้เดินขาลากไปถึงหอในแน่" ผมพูดแซวไนน์เล่น แต่คู่สนทนากลับไม่มีทีท่าสดใสขึ้น

"ขอโทษครับ" ไนน์พูดด้วยเสียงสั่นเทา พอหันไปมองก็พบว่ากำลังเบ้หน้าเตรียมเข้าสู่โหมดน้ำตาตก "ไนน์รอพี่ถึงประมาณห้าโมงครึ่ง ไม่เห็นพี่เดินมา ไนน์ก็เลยคิดว่า...พี่คงกลับไปแล้ว"

"เฮ้ย ๆ อย่าร้องดิ เรื่องแค่นี้เอง ขี้แยไปได้"

"ก็...ก็...ถ้าไนน์ออกไปเร็วกว่านี้ พี่คงเสียเวลาแย่แน่...ไนน์ขอโทษนะครับ"

ผมอึ้งไปเล็กน้อย จังหวะแรกที่เจ้าหนูนี่ร้องไห้ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะกำลังจะโดนทิ้งให้เดินกลับหอคนเดียวแน่ ๆ ตามประสาเด็กเอาแต่ใจทั่วไป

แต่พอฟังเหตุผลแล้วจึงรับรู้ได้ว่าไนน์แคร์ความรู้สึกของผมมากกว่าของตัวเขาเองซะอีก

"เด็กน้อยเอ้ย..." ผมหัวเราะออกมาพลางยื่นมือไปลูบหัว มาถึงตอนนี้ผมไม่ชักมือกลับแล้วเพราะไนน์ก็ดูจะชอบที่ผมลูบหัวให้เหมือนกัน

ผมมาส่งไนน์ถึงหน้าประตูทางเข้าหอใน ไนน์ยื่นมือคืนหมวกกันน็อคให้ผม แต่ผมบอกให้ไนน์เก็บไว้สำหรับซ้อนผมในวันต่อไป

"ปกติเราไปเรียนยังไง" ผมถามขึ้น

"ไนน์เดินไปครับ แต่มันไม่ไกลมาก ไนน์เดินได้"

"ไม่ไกลอะไรล่ะ แดดก็ร้อน เดี๋ยวก็เป็นลมแดดกันพอดี" ผมขมวดคิ้วใส่

"น...ไนน์ขอโทษ" ไนน์ทำหน้ารู้สึกผิดทั้งที่ผมไม่ได้จะดุอะไรเขาเลย

"งั้นต้องทำโทษเด็กดื้อแล้วแหละ" ผมแกล้งทำหน้าดุขึ้นมาจริง ๆ ทำเอาคนตรงหน้าเตรียมตัวจะปล่อยโฮอีกครั้งหนึ่ง

"ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษครับ"

"ต้องทำโทษด้วยการให้ซ้อนท้ายพี่ทุกวัน"

ไนน์หยุดร้องทันทีแล้วเอียงคอถาม "ครับ?"

"พี่จะมารับมาส่งทุกวันไปเรียน เพราะงั้นเก็บหมวกกันน็อคไว้ พรุ่งนี้แปดโมงเช้าเจอกันครับ" ผมพูดแล้วนัดเวลาไว้ก่อนโดยไม่ได้ถามเจ้าตัวเลยว่าเริ่มเรียนกี่โมง

"จะดีเหรอครับ ไนน์รบกวนพี่รึเปล่า"

"รบกวนมากเลย ค่าน้ำมันที่ใช้ไป พี่เก็บรายเดือนเอานะ"

"เท่าไหร่ครับ"

"เด็กบ๊องเอ้ย พูดเล่นครับ พูดเล่น"

หลังจากนัดแนะเวลากันเรียบร้อย ไนน์ไหว้ลาผมแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปข้างใน ผมยืนมองไนน์หายเข้าไปในตึกเหมือนพ่อกำลังมองดูลูกชายตัวเอง

ระหว่างทาง เด็กน้อยนั่นหันกลับมามองผมถึงสองรอบ แม้ร่างเล็กจะหายลับสายตาไปแล้วผมยังยืนค้างอยู่ที่เดิม พลางนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่หอใน ช่วงเวลาที่อยู่กับเพื่อนในห้องเดียวกัน

เจ้านั่นจะปรับตัวได้เมื่อไหร่กันนะ...

"อ่าวพี่เบ็น มาทำอะไรที่นี่ครับ" เสียงหนึ่งดึงผมให้ตื่นจากภวังค์

"อ่าวศร เพิ่งกลับจากซ้อมลีดเหรอ"

ศรเป็นรุ่นน้องที่ได้รับการคัดเลือกเป็นน้องลีดในคณะ ทำให้สนิทกับกุ้งและเนตร ต่อมาผมจึงได้รู้จักกับศรผ่านพวกมัน

"ใช่ครับ จริง ๆ ยังไม่เลิกกันหรอก แต่ผมปวดไหล่ พี่กุ้งเลยให้กลับมานอนพักก่อน"

"หืม..." ผมแซวเล่นไปตามประสา ผมรู้จักไอ้กุ้งดี มันเป็นห่วงคนอื่นเสมอ ถ้าเห็นใครไม่ไหวมันคงไม่ยอมให้ฝืนเต้นต่อแน่ "ต้องให้รางวัลคุณพี่ลีดดีเด่นแล้วม้าง ใจดีขนาดนี้"

"แล้วตกลงพี่มาทำอะไรเหรอครับ" ศรทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง "มาส่งเด็กเหรอพี่"

"อื้ม มาส่งเด็ก เด็กบ๊องด้วยนะ" ผมตบมุกมันกลับ ก็เด็กจริง ๆ นะนั่นน่ะ

"ห๊ะ?"

"ก็คนที่ชื่อไนน์ไง"

"...ใครเหรอพี่?"

ผมลืมไปว่าเจ้านั่นคงยังไม่มีใครรู้จักมากนัก โดยเฉพาะเพื่อนต่างสาขากันอย่างศรคงไม่ต้องพูดถึงว่าจะรู้จักมัน เผลอ ๆ ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามันชื่อไนน์

"ไนน์ เด็กเงียบ ๆ ที่ตัวเล็ก ๆ หน่อย ใส่แว่น ผิวคล้ำแดด หน้าสิวนิด ๆ มีแผลเป็นที่คิ้วกับที่แก้ม คนนั้นไง" ผมใส่คำบรรยายไปละเอียดยิบ แต่ผู้ฟังกลับไม่มีทีท่าจะนึกออกเลย

"เออ ไม่เป..."

"อ๋อ คนนั้นนั่นเอง คนที่เงียบ ๆ ไม่คุยกับใครเลย" ในที่สุด!

"คนนั้นแหละ" ใช่แน่นอน คนแบบหมอนั่นคงมีอยู่คนเดียวในคณะ "เคยเจอหรือเดินผ่านตอนอยู่หอหรือตอนเรียนบ้างไหม มันเป็นไงบ้าง มีเพื่อนบ้างไหมน่ะ" ผมรัวคำถามใส่ไปจนศรตอบแทบไม่ทัน

"เคยนะพี่ ผมมีบางคาบที่เรียนห้องเดียวกับ...ชื่ออะไรนะ...อ่อ ไนน์" ศรถามเองตอบเอง "ผมได้ยินมาจากเพื่อนในสาขาญี่ปุ่นว่าไนน์ไม่คุยกับใครเลย พวกมันเลยไม่กล้าคุยกับไนน์ครับ"

"...เหรอ" ผมถอนหายใจ

"มีอะไรรึเปล่าพี่"

"ไม่มีอะไรหรอก ไปพักไป เดี๋ยวไหล่หลุดแล้วเต้นไม่ได้พี่จะสมน้ำหน้าให้" พูดเสร็จก็เอื้อมมือไปยีหัวศรเล่นแล้วผลักเบา ๆ ไปข้างหน้า

ศรหันมายิ้มลาผมแล้วเดินอ่อยอิ่งหายเข้าไปข้างใน

เสียงปักษาพร้อมด้วยเสียงจากจั๊กจั่นเรไรแว่วดังขึ้นมาในหู เมื่อเหม่อมองขึ้นฟ้า ดวงจันทร์เริ่มปรากฏกายขึ้นมาแล้ว ท่ามกลางแสงสว่างรำไร ดวงไฟสีเหลืองนวลของผมลอยอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายไร้ซึ่งพันธมิตรรอบกาย

...มันจะเหงาไหมนะ

เชื่อสิ อีกไม่นานเกินรอ ดวงดาวน้อยใหญ่จะต้องโผล่ขึ้นมาโอบล้อมเจ้าไว้อย่างแน่นอน

ถึงตอนนั้นแล้ว เจ้าจะไม่เดียวดายอีกต่อไป

อีกไม่นานหรอกนะ...ดวงเดือนของผม