6 ณ ทรงวาด 5

"ลี่จูแพ้อึ่งคี้ แพ้รุนแรงเสียด้วย"

"อะไรนะเฮีย"

เฟยเจินหันไปถามอีกคนด้วยน้ำเสียงตกใจ

"ลี่จูไม่ชอบรสชาติแปะจี้ เพราะมันติดเผ็ด อาแปะที่ร้านขายยา เขาบอกว่าให้ลองอึ่งคี้ดู เพราะรสชาติจะทานง่ายกว่ามากนัก แต่ให้ลองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลายเป็นเมื่อรับทานเข้าไป แพ้กันหนักถึงขั้นต้องหามขึ้นโรงหมอ แต่ไม่ถึงกับสลบไปอย่างครานี้"

"เฮียกำลังจะบอกว่า มีคนสับเปลี่ยนตัวยาของเหมยกุ้ยเช่นนั้นหรือ"

"ใครกัน จะทำเช่นนั้นได้ลงคอเล่าอาเจิน"

ห่าวซวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"ลี่จูมีปัญหาเรื่องชู้สาวอะไรบ้างไหมเฮีย เธอสวยออกปานนั้น"

"เท่าที่รู้ ไม่มีนะอาเจิน"

ห่าวซวนนิ่งไปอีกสักพักก่อนจะทำหน้าตาเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

"ไฉ่หง"

"ไฉ่หงทำไมหรือเฮีย"

"ไฉ่หงชอบมาพูดกับเฮีย ว่าอีอยากเป็นตัวเอก มาพูดกับเฮียบ่อยมาก ถ้าลี่จูเป็นอะไรไป ไฉ่หงก็จะได้เป็นนางเอก"

"เช่นนั้นอาจเป็นไฉ่หงก็ได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่"

"เดี๋ยววันพรุ่งนี้ เฮียฝากอาเจินไปถามที่ร้านสมุนไพรจีนให้หน่อยได้หรือไม่ ว่าใครเป็นคนซื้ออึ่งคี้ให้ลี่จู อาเจินเป็นพ่อค้า อาจจะรู้จักเถ้าแก่ขายสมุนไพรหลายคน"

"ได้สิเฮีย คืนนี้เฮียกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวพรุ่งนี้หากได้ความกระผมจะไปบอกที่บ้าน"

"ขอบใจนะ เช่นนั้นเฮียไปก่อน"

ห่าวซวนลุกขึ้นก่อนตบบ่าคนเป็นน้องสองสามครั้ง หันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเหมยกุ้ย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป เหมยกุ้ยจึงทราบได้ว่า นี่คือเวลาอันสมควรแล้วที่เธอจะกลับที่พักของเธอเพื่อพักผ่อนเสียที

"เช่นนั้นฉันขอตัวไปพักก่อนนะเฟยเจิน"

"เดี๋ยว"

"อะไร"

"วันพรุ่งนี้ เธอไปร้านสมุนไพรกับฉัน"

"ได้"

พูดจบเหมยกุ้ยก็เดินออกไปจากบริเวณห้องรับแขกของบ้านใหญ่ แต่เสียงของอีกคนก็รั้งเหมยกุ้ยไว้อีกครั้ง

"เหมยกุ้ย"

"อะไรอีก"

เหมยกุ้ยสะบัดหน้าหันมาหาอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงไม่พูดให้มันเสร็จไปตั้งแต่แรก

"เอ่อ.."

"ทำไมชอบอ้ำๆอึ้งๆ"

"คือว่า…"

"มีอะไรติดหน้าฉันรึไง"

"เปล่า ช่างมันเถอะ เธอไปพักผ่อนเถอะ"

"เอ้า จะพูดก็ไม่พูด แปลกคน ต้องให้ดึงเปียก่อนรึไงถึงจะพูดได้"

เหมยกุ้ยพูดพลางชี้ไปทางเปียของเฟยเจิน ที่ไว้อย่างชาวจีนที่เข้ามาอยู่ในสยาม

"ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาไขลาน"

"ก็ไม่ใช่น่ะสิ แล้วทำไมถึงไม่พูด"

"เธอไม่ต้องรู้หรอก"

เหมยกุ้ยทำหน้างงใส่อีกคน ก่อนจะเดินออกจากตัวบ้านไป ทิ้งให้เฟยเจินหัวเสียกับการตัดสินใจครั้งนี้ในชีวิตตัวเอง

"ทำไมไม่พูดว่าฝันดีวะ"

พูดพลางขยุ้มหัวตัวเอง โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเหมยกุ้ยเองที่เพิ่งจะเดินออกไปไม่นานได้ยินเข้าพอดี และกำลังยืนอมยิ้มอยู่ที่ข้างหน้าทางเข้าบ้านนั้นเอง

แต่ถึงกระนั้น เหมยกุ้ยก็มองเป็นเรื่องขำๆ ทำให้เช้าวันถัดมา เหมยกุ้ยจึงสามารถเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหาอีกคนที่ร้านในตอนเช้าได้อย่างไม่กระอักกระอ่วนใจ

"เฮีย จะไปรึยัง"

เหมยกุ้ยพูดกับเฟยเจินที่กำลังนั่งปัดลูกคิดคำนวณเงินอยู่ตามเคย

"สักครู่หนึ่งนะเหมยกุ้ย ประเดี๋ยวฉันทำหน้านี้เสร็จก็ไปได้แล้ว"

"มีอะไรให้ทำพลางๆมั้ย"

"ชอบทำงานนักหรือไง"

เฟยเจินชะงักมือที่กำลังใช้ลูกคิดและเขียนบัญชี เพื่อเงยหน้าขึ้นมาถามคนตรงหน้า

"เฮียจะจ้างฉันมายืนเฉยๆในร้านรึไง"

เหมยกุ้ยตอบกลับอีกคน แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าอีกคนยังจ้องตัวเองเหมือนว่าจะไม่ตอบคำถามกัน เหมยกุ้ยจึงเอามือตัวเองไปปัดผ่านหน้าอีกคนเพื่อเรียกสติ

"เห้ย เป็นอะไร จ้องกันทำไม หน้าฉันมีอะไรติดหรือ"

"ป..เปล่า แค่รู้สึกว่าเสื้อเธอสวยดี"

"เอ้า ก็ซื้อเองไม่ใช่รึไง"

"ก็ใช่ เพียงแต่รู้สึกว่ามันเข้ากับเธอดี"

"ขอบใจนะ แต่น่าจะเพราะฉันสวยด้วยเป็นส่วนหนึ่ง"

"ของแบบนี้น่ะมันต้องให้คนอื่นชมมิใช่หรืออย่างไร"

"ไม่รู้ล่ะ ฉันชมตัวเองได้ เฮียก็รีบๆให้งานมาเสียทีสิ"

"ไปจัดของบนชั้นวางให้วางดีๆ ขยับทุกชิ้นขึ้นมาข้างหน้าก็ได้ แต่ระวัง อย่าไปทำตรงที่คนอื่นเขาทำอยู่เสียล่ะ"

"ได้จ้า"

พูดจบเหมยกุ้ยก็เดินออกไปทางชั้นวางของ ก่อนจะทักทายพนักงานในร้านคนอื่นๆ และแนะนำตัว เพราะเธอเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวัน บางคนก็รู้จักเธอ บ้างก็ไม่

ก่อนจะถามคนอื่นว่ามีตรงไหนที่เธอต้องจัดอีกบ้าง แล้วก็เดินไปตรงชั้นวางที่เจ๊คนหนึ่งชี้ให้ดูว่ายังไม่เรียบร้อย เหมยกุ้ยก็ยิ้มรับอีกคน แล้วเดินไปจัดของตรงนั้นอย่างไม่อิดออด ทิ้งรอยยิ้มบนหน้าให้กับพนักงานในร้านคนอื่นๆ เพราะเหมยกุ้ยเป็นคนน่ารัก สดใส และสุภาพ

รวมไปถึงรอยยิ้มบนหน้าเจ้าของร้านเสียด้วยกระมัง

เฟยเจินเห็นอีกคนทำงานได้อย่างดี ก็ตัดสินใจก้มลงไปที่สมุดบัญชีของตัวเองเพื่อทำงานต่อจนเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้น เรียกเหมยกุ้ยที่กำลังจัดของอยู่ เพื่อจะออกไปที่ร้านขายสมุนไพรจีนด้วยกัน

"ร้านอยู่ไกลไหม"

เหมยกุ้ยถาม เพราะต่อให้เธอคุ้นชินกับถนนทรงวาดในปัจจุบันมากเพียงใด เธอก็ทราบดีว่ากาลเวลาย่อมทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้มากนัก อีกอย่าง สำเพ็งในยุคนี้เท่าที่เธอทราบ มันกว้างกว่าในปัจจุบันนัก ยังไม่นับถึงเยาวราชทั้งแถบ

"ไกล"

เฟยเจินตอบทั้งๆที่ยังไม่หยุด

"แล้วเราจะเดินไปหรอ"

เหมยกุ้ยถามเสียงตื่น

"ใครเขาจะเดินกัน ก็ขึ้นรถรางซี"

"รถราง ทำไมไม่ไปเอ็ม.."

เหมยกุ้ยถามย้ำ ก่อนเสนอวิธีที่เธอคุ้นเคยอย่างรถไฟใต้ดิน แต่กลับโดนขัดขึ้นก่อน

"นี่เธอไม่รู้จักรถรางหรือไร"

"ร..รู้จักสิ ใครๆในกรุงเทพก็ต้องรู้จักทั้งนั้น"

เหมยกุ้ยตอบด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก นึกเกลียดตัวเองที่ชอบลืมตัวว่าอาศัยอยู่ในยุครัชกาลที่ 6 อยู่เรื่อย ก็เลยพลอยลืมไปว่าสมัยก่อนเขามีรถรางกัน

"เธอนี่แปลกคน ใครเขาเรียกเมืองกรุงเทพว่ากรุงเทพกัน เขาเรียกว่าพระนครกันทั้งนั้น"

"เอ้อ นั่นล่ะ ใครๆในพระนครก็ต้องรู้จักรถราง"

เฟยเจินหรี่ตามองเหมยกุ้ยอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก ก่อนจะหยุดเดินและยืนเฉยๆ จนเหมยกุ้ยต้องถามเพื่อความแน่ใจ

"หยุดเดินทำไมล่ะ"

"ดูเข้าสิ"

เฟยเจินชี้ไปที่ส่วนบนของเสาใกล้ๆ ที่มีธงรูปสามเหลี่ยมสีแดงรูปสามเหลี่ยม และดาวสีขาวอยู่

"อะไรล่ะ"

"เมื่อสักครู่เธอบอกฉันว่าเธอรู้จักรถรางมิใช่หรือ"

เฟยเจินหันมาถาม พร้อมหรี่ตาอย่างจับผิด

"ฉันรู้ว่ารถรางคืออะไร แค่ไม่เคยขึ้น"

"นี่เธอไม่มีเงินถึงเพียงนั้นเลยรึ"

"ใช่สิ"

เหมยกุ้ยตอบไปอย่างนั้น เพราะการไม่มีเงินทำอะไรซักอย่าง เป็นเหตุผลเดียวที่เหมยกุ้ยสามารถใช้อธิบายทุกความประหลาดของเธอได้

"มันไม่ถึงยี่สิบสตางค์เสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงไม่เคยขึ้น"

"ฉันประหยัดไง แล้วสรุปไอ้ธงนี่คืออะไร"

"นี่จุดจอดรถรับผู้โดยสาร ยืนรอนิ่งๆ"

เฟยเจินหันมาทำหน้าดุ เมื่อเห็นว่าอีกคนดูจะตื่นเต้นกับธงบอกจุดจอดรถของรถรางเหลือเกิน

"อ๋อ อ้าว ละสีเขียวฝั่งนู้นล่ะ อีกสายหรอ"

เฟยเจินส่ายหน้าเบาๆ พร้อมถอนหายใจ กรอกตาหนึ่งครั้งแล้วเหลือบมามอง

"นั่นมันจุดที่รถรางต้องจอด ด้วยเพราะต้องหลบกัน แต่ไม่รับคน พูดเบาๆเข้าสิ เดี๋ยวคนก็ได้คิดว่าเธอเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุงเข้าให้หรอก"

"เป็นคนบ้านนอกแล้วมันผิดตรงไหน"

"มันก็ไม่ผิด แต่มันมีพวกคนในพระนครที่ไม่ค่อยชอบคนต่างจังหวัดนัก ฉันเกรงว่าเธอจะรู้สึกไม่สบายใจ หากโดนมองอย่างแปลกๆตอนขึ้นไปบนรถราง"

"อ๋อ ก็ได้ๆ"

พูดจบ รถรางก็เลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้าพอดี เฟยเจินจึงเดินนำอีกคนมานั่งในรถราง ครานี้คงเพราะรู้ว่าอาจจะดูแปลกในสายตาคนรอบข้าง เหมยกุ้ยจึงกระซิบกับอีกคนแทนที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

"ทำไมข้างหลังเราไม่มีเบาะตรงที่นั่ง"

"ข้างหลังไหน"

"หลังลูกกรงไม้"

"ก็เรานั่งชั้นหนึ่ง จ่ายมากกว่า"

"ว้าว เปย์จัง"

"อะไรนะ"

"เปล่า"

เหมยกุ้ยรีบปฏิเสธเมื่อเผลอพูดภาษาอย่างคนปัจจุบันออกไป

ไม่นานนักเฟยเจินก็เรียกให้เหมยกุ้ยลงจากรถราง และเดินต่อเพียงเล็กน้อยไปยังร้านที่พวกเขาตามหา ซึ่งที่แรกที่พวกเขาทั้งสองตัดสินใจมา คือร้านที่ไม่ว่าคนที่คณะงิ้วจะเจ็บป่วยอะไร เล็กน้อย หรือหนักหนา ก็จะมาที่ร้านนี้อยู่เสมอ จนเถ้าแก่ร้านเขาจำห่าวซวน และเฟยเจินได้เป็นอย่างดี

"อ้าว อาเจิน ทำไมวันนี้มาที่นี่ล่ะ เฮียเขาไม่ว่างหรือ"

"ไม่ใช่ขอรับเถ้าแก่"

"อ้าว แล้วมีอะไรล่ะ"

"เอ้า เหมยกุ้ย เธอคุยสิ"

เฟยเจินหันมาหาคนที่ยืนข้างๆกัน เพื่อให้อีกคนเป็นคนพูด ด้วยเห็นว่าเมื่อคืนวาน ก็เป็นเธอคนนี้ ที่ทำให้ทราบว่าตัวยาถูกสลับ

"ทำไมนายไม่คุยเองเล่า"

"เธอน่ะเป็นคนที่ทราบว่าสมุนไพรนี่มันมิใช่แปะจี้"

เฟยเจินพูดก่อนชูอึ่งคี้ที่ได้จากพี่ชายของตน ที่ตอนนี้ได้ถูกย้ายมาอยู่ในห่อผ้าดิบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"นายก็รู้ไม่ใช่รึไงเล่า"

"โอ้ยๆ ก็ได้ๆ"

เฟยเจินพูดอย่างหัวเสียเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาคนเป็นเถ้าแก่ร้านยา

"เถ้าแก่ขอรับ มีคนบอกว่าสิ่งนี้คืออึ่งคี้ กระผมรบกวนเถ้าแก่ช่วยดูให้หน่อยได้หรือไม่"

เฟยเจินพูดก่อนยื่นห่อผ้าให้คนตรงข้าม เถ้าแก่ร้านรับมาดูก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

"นี่เป็นอึ่งคี้แน่แท้ แต่ร้านอั๊วคนงานน้อย เลยไม่ทำแบบผัดน้ำผึ้งอย่างในห่อผ้านี่ เพราะยุ่งยาก"

"แปลว่าในห่อผ้านี่ไม่ใช่จากร้านของเถ้าแก่หรือคะ"

เหมยกุ้ยถาม

"ไม่ใช่ ทำไมหรือ"

"ลี่จูทานแล้วหมดสติไปเมื่อวานคาโรงงิ้วเลยขอรับเถ้าแก่"

เพียงประโยคเดียวจากเฟยเจิน คนเป็นเถ้าแก่ถึงกับทำท่าจะลมจับ ก่อนจะตั้งสติได้ แล้วพูดออกมา

"ไอ้หยา อาจูซี้เลยรึเปล่า"

"ไม่ขอรับ แต่นอนอยู่ที่โรงหมอฝาหรั่ง"

"อาจูแพ้อึ่งคี้แรงมาก อาพลอย ผู้ช่วยของอาจูอีมาซื้อให้ประจำ ถ้าบอกว่ามาซื้อของอาจู อั๊วจะเตือนเด็กในร้านเรื่องอึ่งคี้ตลอด"

"แต่อันนี้เป็นผัดน้ำผึ้ง อย่างไรก็ไม่ใช่แน่นะขอรับ"

"ใช่ๆ แต่อาเจินลื้ออย่าลืมนาว่าผัดน้ำผึ้งน่ะมันไม่ได้ทำยาก ใครๆก็ทำได้"

"อย่างไรเสีย ฉันก็ขอบใจเถ้าแก่นะ"

"เออๆ ไม่เป็นไรๆ ถ้าอาจูดีขึ้นแล้วมาบอกอั๊วด้วยนา"

"ได้ขอรับเถ้าแก่ เช่นนั้นฉันลาล่ะ"

เฟยเจินยกมือไหว้อีกคน ก่อนทำท่าจะเดินออกจากร้าน แต่เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดันขัดไว้ก่อน

"เอ้าอาเจินมาทำไมไม่บอกอั๊ว แล้วนั่นใคร เมียหรืออาเจิน"

avataravatar
Next chapter