วิญญาณช่อลดารีบเร่งพุ่งไปยังอุโมงค์สองภพด้วยใจที่หวาดหวั่น อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น ขอร้องล่ะอย่างพึ่งปิดตอนนี้เลย....
"ท่านแม่! ท่านแม่เร็วเข้าขอรับ!"เสียงเด็กชายคนเดิมที่เรียก ท่านแม่ ท่านแม่ สร้างความประหลาดใจให้แก่วิญญาณช่อลดายิ่งนัก แล้วนัยน์ตาตี่ๆมีอันเบิกกว้างเมื่อเห็นเด็กน้อยชายหญิงวัยราวห้าขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูละม้ายคล้ายสามีของเธออยู่หลายส่วน
เด็กน้อยทั้งสองยืนกวักมือเรียกเธออยู่ที่ปากอุโมงค์ระหว่างสองภพ ด้วยท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย วิญญาณช่อลดารีบวิ่งเข้าไปหาเด็กน้อยทั้งสองดังต้องมนต์สะกด ยังไม่ทันจะได้ไถ่ถามหาความก็ถูกมือเล็กป้อมจับจูงเข้าไปในอุโมงค์ได้ทันท่วงที จากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีที่ทั้งสามเข้าไปอุโมงค์ก็พลันปิดลงต่อหน้าต่อตา
"หนูสองคนเป็นใครกันจ๊ะ?"ย่อตัวลงแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เราสองคนเป็นลูกของท่านแม่ขอรับ"เด็กชายยิ้มตอบเสียงใส ดวงตาคมคล้ายสามีรูปงามเปล่งประกายสดใด
"เอ๋? ลูกของน้าหรือ?"
"ถูกต้องเจ้าค่ะ เราคือลูกของท่านแม่กับท่านพ่อ"เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างเด็กชายตอบเสียงใส อวดฟันขาวจนเผยลักยิ้มน่ารักที่แก้มนวลขาวแดงเรื่อเหมือนผู้เป็นมารดา
พอได้ยินดังนั้น มืออวบอูมอดที่จะลูบหน้าท้องที่เต็มไปด้วยไขมันไม่ได้แล้วชะงักเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้เธอเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น "แล้วหนูสองคนไม่รังเกียจที่มีแม่อัปลักษณ์เช่นนี้รึ?"เอ่ยถามด้วยความหวาดหวั่นใจ
"ท่านแม่อย่ากล่าวเช่นนั้น หากท่านแม่ไม่ข้ามภพหาท่านพ่อไหนเลยข้ากับน้องจะได้มาเกิดเป็นลูกของท่านแม่กับท่านพ่อกันเล่า"เด็กชายตอบให้มารดาคลายความกังวลใจ
"จริงดังคำพี่ใหญ่ ท่านแม่...ท่านต้องอดทนนะเจ้าคะ อีกเพียงห้าวันเท่านั้นท่านแม่ก็จะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดแล้ว"เด็กสาวน่ารักคุกเข่าเบื้องหน้ามารดาแขนเล็กป้อมโอบกอดตัวมารดาซบใบหน้ากับอกอุ่นกล่าวให้กำลังใจ
"ขอบใจหนู...เอ่อ..ลูกทั้งสองมาก...แม่จะพยายามจ้ะ"เธอกอดตอบร่างเล็กดวงตามองเด็กชายที่ยืนยิ้มน้อยๆ เกิดความรู้สึกเอ็นดูและอบอุ่นใจอย่างประหลาด นี่กระมังที่เขาเรียกว่า สายใยแม่ลูก
"อะแฮ่ม!"เสียงกระแอมไอของท่านยม เรียกความสนใจจากทั้งสามให้หันมอง "เจ้าควรกลับได้แล้ว"เตือนด้วยความหวังดี
"ทราบแล้วค่ะ"ตอบเสร็จก็หันมาหาลูกน้อยทั้งสองที่ยืนหน้าเศร้าก้มหน้าไม่ยอมพูดยอมจา เห็นแล้วก็ให้เจ็บจี๊ดๆที่อกซ้าย "อย่าเศร้าไปเลยลูกรัก อีกไม่กี่เดือน เราก็ได้พบกันแล้ว"เธอพูดพร้อมกับลูบแก้มเด็กชายด้วยมืออวบอูมของตน
"ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่ ท่านแม่ต้องอดทนไว้นะขอรับ"ยามกล่าวมือเล็กป้อมทาบทับมืออวบอูมแต่อบอุ่นของมารดาไว้หลวมๆ
"ใช่เจ้าค่ะ ข้ากับพี่ใหญ่จะรอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ"เด็กหญิงที่ยังอยู่ในอ้อมกอดจนถึงเดี๋ยวนี้เอ่ยเสียงอู้อี้ๆ
"อืม...แม่รู้แล้ว แม่จะพยายามจ้ะ"เธอให้คำมั่นจูบกระหม่อมเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดสองครั้ง แล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้เด็กชายอีกคน อ้าแขนออกทั้งสองออกเป็นสัญญาณให้เด็กชายเข้ามา ซึ่งเด็กชายก็โผเข้าหาอ้อมกอดนั้นทันที ใบหน้าน่ารักแดงก่ำด้วยความขัดเขิน สามแม่ลูกกอดกันอยู่พักใหญ่แล้วจึงผละจากกัน "ท่านยม เด็กสองคนนี้"
"แทนที่จะมาห่วงเรื่องนี้ ข้าว่าเจ้าเอาตัวรอดจากวิกฤตคราให้ได้ก่อนดีกว่า"ท่านยมพูดแทรก "ไปได้แล้ว อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เลย"ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ผลักร่างของเธอเต็มแรง จนเธอกระเด็นลอยลิ่ว คล้ายตกจากที่สูง เธอกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ
"อ๊า...เฮือก!"ร่างเล็กผวาลุกนั่งหอบหายใจถี่ความกลัวยังคงหลงเหลือจนมือเย็นเฉียบ
"หลินหลินเป็นอะไร? ฝันร้ายหรือ?"ฟานฟานน้อยผุดลุกนั่งเอ่ยถามด้วยความตกใจ
"หลินหลินเจ้าคะ"หมั่นโถวน้อยช้อนตาอย่างน่ารักเรียกนางเสียงอ่อนหวานมือเล็กกอบกุมมือใหญ่กว่าไว้ออกแรงบีบเบาๆปลอบขวัญ
"ไม่ต้องห่วง ข้าแค่...อึก!"ยังพูดไม่ทันจบความอาการเจ็บปวดดั่งถูกตะปูตัวใหญ่ตอกซ้ำๆย้ำๆที่หัวใจเช่นทุกคราวก็เริ่มเล่นงานอีกครั้ง ร่างเล็กล้มตัวลงดิ้นไปมามือเรียวขาวขยุ้มอาภรณ์บริเวณอกด้านซ้ายยับย่น ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วก็ยิ่งยุ่งเหยิงพันกันมากขึ้นไปอีกหน้าตาบิดเบี้ยวชื้นเหงื่อ น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน ก็ได้แต่กัดฟันทนไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ตีโพยตีพายหรือต่อว่าสวรรค์ จะมีก็เพียงเสียงอืออาเป็นระยะๆเท่านั้น
"เจ้าไปนำน้ำมา ข้าจะเช็ดเหงื่อให้หลินหลิน"ฟานฟานน้อยที่คุ้นชินกับอาการของหลินหลินสั่ง หมั่นโถวน้อยรีบทำตามอย่างว่องไว
"หมั่นโถวเป็นหญิงเช่นเดียวกับหลินหลิน หมั่นโถวจะเป็นคนทำหน้าที่นี้เอง"เด็กหญิงไม่ยอมส่งอ่างน้ำให้ทั้งยังกอดไว้เสียแน่น
"เจ้าอ้างเหตุผลนี้มาสามสิบวันแล้วไม่ละอายใจบ้างรึ? ห้าวันที่เหลือข้าจะดูแลหลินหลินเอง ส่งอ่างน้ำมาให้ข้าได้แล้ว"
"เหอะ ก็ได้"หมั่นโถวน้อยยู่หน้าใส่อีกฝ่าย กอดอกนั่งทับขาตนเองบนเตียงข้างร่างที่ดิ้นไปดิ้นมาด้วยความเจ็บปวดทรมานนิ่ง ก่อนที่ดวงตาฉ่ำน้ำจะเบนไปมองดูมือที่สาละวนเช็ดเหงื่อให้หลินหลินด้วยสายตาอิจฉาเพราะมันอยากเป็นผู้ดูแลหลินหลินจนถึงวันสุดท้ายมากกว่า
"อะ...ฮ่าๆๆ"ฟานฟานเงยหน้าเห็นหมั่นโถวน้อยทำหน้างอง้ำก็อึ้งไปครู่ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ด้วยไม่เคยเห็นเจ้าจิ้งจอกน้อยในร่างมนุษย์ทำหน้าอัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน
"หัวหน้า!...เกิดอะไรขึ้น!? เสียงดังไปถึงข้างนอก"เป่าเปาน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงถามโดยมีฟงฟงน้อยตามหลังมาติดๆ
"ไม่มีอะไร เช้าแล้วรึ?"ฟานฟานกล่าวพลางใช้นิ้วปาดน้ำตาที่หางตา
"อืม เจ้าสองคนไปพักเถิด ข้ากับเป่าเปาจะรับช่วงต่อเอง"ฟงฟงน้อยเดินเข้ามานั่งข้างเตียงใกล้กับเจ้าหมั่นโถวน้อย แบมือออกไปขอผ้าจากน้องชาย
"เฮอะ!...ก็เอาไปสิ"ฟานฟานโยนผ้าเปียกข้ามตัวหลินหลินที่ถูกลืมไปชั่วขณะให้พี่ชาย
ฟงฟงน้อยลอบถอนใจ มองส่งน้องชายและหมั่นโถวน้อยที่เดินตึงตังออกไป แล้วหันกลับมาซับเหงื่อให้หลินหลิน ส่วนเป่าเปานำน้ำผลไม้ ยาบำรุงร่างกาย มาวางไว้เพื่อป้อนให้นางที่ไม่สามารถทานได้ด้วยตนเอง สืบเนื่องจากความเจ็บปวดนั้นส่งผลให้มือสั่นอยู่ตลอดเวลานั่น
เป็นเช่นนี้มาตลอดสามสิบวันและยังเหลืออีกห้าวันที่สี่สหายน้อยต้องดูแลนางอย่างใกล้ชิดและดีที่สุด ในใจก็ภาวนาให้อดทนผ่านวิกฤตถึงกับชีวิตนี้ไปให้ได้
---------------------
ทางด้านจวนแม่ทัพไร้พ่าย
บรรยากาศภายในจวนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด เมื่อประมุขจวนหักโหมเอาแต่ทำงานแทบไม่ได้หยุดพัก ใครก็เข้าหน้าไม่ติดสักคนแม้แต่มู่หลิ่งฟู่ มู่ฮูหยิน ที่พยายามสืบถามความจริงว่าเหตุใดลูกสะใภ้จึงยังไม่กลับมาเสียทีก็ไม่เป็นข้อยกเว้น แล้วอาการจะเป็นจะตายของบุตรชายผู้เป็นประมุขจวนแม่ทัพไร้พ่ายนี่อีก เพียรถามเท่าใดก็ไม่ได้คำตอบ ทำให้มู่หลิ่งฟู่และฮูหยินสังหรณ์ใจเกรงว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกสะใภ้คนโปรดของตน ดังนั้นจึงส่งมูหลิ่งเฟิงบุตรชายคนเล็กเข้ามาแต่ก็เหลวไม่เป็นท่า
ศาลาริมสระบัว
"อาเหวิน สุดท้ายแล้วลูกสะใภ้ของแม่อยู่ที่ใดกัน?"มู่ฮูหยินคาดคั้นบุตรชายเสียงเข้ม ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ อย่างไรวันนี้ข้าก็ต้องรู้ให้ได้ว่าลูกสะใภ้ของข้าอยู่ที่ใด!
คำถามของมารดาทำมู่หลิ่งเหวินชะงักมือที่กำลังยกชาดื่ม ดวงตาคมทรงเสน่ห์หลุบลงต่ำปกปิดความเจ็บปวดใจแทบกระอักเลือดยามที่มีใครเอ่ยถึงภรรยา
"เอาเถิดๆ แม่จะเลิกคาดคั้นเจ้าแล้ว.."มู่ฮูหยินถอนใจแรงโบกมือยอมแพ้เมื่อเห็นความเจ็บปวดทุกข์ระทมแผ่ออกมาจากร่างหนา "อา...จะอย่างไร แม่ก็อยากให้เจ้ากินข้าวกินปลา และพักผ่อนบ้าง อย่าหักโหมเกินไปนัก แล้วพรุ่งนี้แม่จะมาหาใหม่"เตือนด้วยความเป็นห่วง
"ข้าทราบแล้ว"แม่ทัพหนุ่มรับคำ มองส่งมารดาจนลับสายตาแล้วดึงสายตากลับมามองถ้วยชาที่วางบนโต๊ะนิ่งเนิ่นนานกว่าหนึ่งชั่วยาม
เช่นเดียวกับที่ด้านนอกศาลา องครักษ์ทั้งสี่ก็มีอาการไม่ต่างจากผู้เป็นนาย นับจากชีวิตที่ถูกฮูหยินน้อยช่วยไว้เมื่อสามสิบห้าวันก่อน พวกเขาได้สาบานว่า ชีวิตนี้จะขอมอบให้ท่านแม่ทัพและฮูหยินน้อย จะซื่อสัตย์จงรักภักดีตราบชีวิตจะหาไม่
ยามจื่อ
เป็นเวลาแห่งการพักผ่อน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา กลับมีบุรุษรูปงามผู้หนึ่งไม่อาจข่มใจให้หลับลงได้ ต้องออกมายืนรับลมยังศาลาริมสระบัว กำลังยืนมองดวงดาราบนท้องฟ้าอวดรัศมีความงามแข่งกันอย่าเศร้าสร้อย
"หลินเอ๋อร นี่ก็ครบกำหนดเวลาแล้ว หวังว่าเจ้าและลูกทั้งสองของเราจะปลอดภัย"พึมพำกับตนเองจากนั้นหมุนกายเดินคอตกกลับเรือนพัก โดยมีสี่องครักษ์ใบหน้าหมองคล้ำจากการนอนไม่หลับเพราะเรื่องของฮูหยินน้อย มองตามอย่างเจ็บปวด
----------
ยามเฉิน
"อีกสี่วันลูกสะใภ้แม่ก็จะกลับมาใช่หรือไม่?"มู่ฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายหลังมื้อเช้าผ่านไป
"ขอรับ"แม่ทัพหนุ่มหลุบตาลงตอบมารดา
"แล้วเหตุใดเจ้าจึงดูไม่ดีใจเลยเล่า?"มู่ฮูหยินถามต่อ
"ข้ามีเรื่องให้ขบคิดนิดหน่อยขอรับ "
"แล้วนางจะกลับมายามใด? ส่งคนไปรับดีรึไม่?"มู่หลิ่งฟู่จิบชาคำหนึ่งเอ่ยถามบุตรชาย
"นางจะกลับมาเองขอรับ"แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้าตอบบิดาเริ่มจะหมดความอดทนเข้าไปทุกที
"พี่สะใภ้ไปท่องเที่ยวที่ใดกันแน่? เหตุใดพี่ใหญ่จึงไม่ไปกับพี่สะใภ้ ปล่อยให้พี่สะใภ้เดินทางเพียงลำพัง หากพี่สะใภ้มีอันตรายจะ….."
ปัง! เสียงทุบโต๊ะของแม่ทัพหนุ่มทำเอาทุกคนสะดุ้ง ไม่เว้นพ่อบ้านจางและเหล่าสาวใช้ที่ยืนอย่างสงบอยู่ด้านข้าง
"เหลวไหล!อย่าให้ข้าได้ยินเจ้ากล่าวพล่อยๆเช่นนี้อีก!"
"ขะข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่"มู่หลิ่งเฟิงตกใจหน้าซีดไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะโกรธถึงเพียงนี้
"อาเหวิน ใยต้องตวาดน้องเสียงดัง? เฟิงเอ๋อร์ก็แค่เป็นห่วงพี่สะใภ้เท่านั้น เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมชี้แจงให้กระจ่างจะโทษใครได้"มู่ฮูหยินตำหนิบุตรชายคนโตเสียงเข้ม
"ข้าขอตัว ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก"แม่ทัพหนุ่มประสานมือค้อมศีรษะให้บิดามารดา หมุนกายออกไปโดยเร็วพร้อมอารมณ์ที่ครุกรุ่นอย่างหาที่ระบายไม่ได้
"ท่านพี่…สุดท้ายแล้วเกิดเรื่องอะไรกับหลินเอ๋อร์กันแน่? ข้าละหวั่นใจจริง"มู่ฮูหยินเอ่ยกับสามีที่นั่งจิบชาเงียบคล้ายไม่ได้รู้สึกอะไร แต่นางรู้ดีว่าสามีเองก็ร้อนใจไม่ต่างกับนางเลย
--------
ยามจื่อที่เดิมเวลาเดิม ปรากฏบุรุษคนเดิมเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยท่าทางเหม่อลอย ดูขาดความระมัดระวัง แต่ไม่ใช่กับแม่ทัพหนุ่ม เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด สัญชาตญาณการระวังตัวยังคงเต็มเปี่ยมทุกชั่วยามแม้ยามหลับใหล
" นั่นใคร!!"ส่งเสียงถาม มือกระชับดาบที่เอวสอบมั่น ดวงตาคมทรงเสน่ห์แข็งกร้าวอย่างน่ากลัวจ้องไปยังทิศทางอีกฟากของสระบัว
"ท่านแม่ทัพ!!"สี่องครักษ์ที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นศาลากรูกันเข้ามาหาผู้เป็นนาย ชักดาบออกมาล้อมผู้เป็นนายไว้ เตรียมพร้อมรับมือผู้บุกรุก
แต่ไอสังหารที่แม่ทัพหนุ่มและสี่องครักษ์สัมผัสได้นั้น ช่างรุนแรงและเข้มข้นกว่าครั้งไหนๆ จนสี่องครักษ์ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเกรง
อา…ช่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเป็นผู้ใดกัน?
"เฮอะ!…ฝีมืออ่อนด้อยเช่นนั้น ยังคิดจะมาต่อกรกับข้า ช่างไม่รู้จักเจียมตนเอาเสียเลย"จบคำก็บังเกิดลมพัดเข้าหาร่างบุรุษทั้งห้า ลมนั้นช่างรุนแรงยิ่งจนร่างสูงสง่าและองครักษ์ถอยกรูดไปหลายก้าว
มู่หลิ่งเหวินกัดฟันกรอด ดวงตาจับจ้องไปยังทิศเบื้องหน้าอย่างไม่หวาดเกรงในพลังอำนาจ แผ่ไอสังหารกดดันอีกฝ่ายถามเสียงเข้ม "เจ้าเป็นใคร?"
"ไอสังหารเข้มข้นไม่เลว ถ้าใช้กับมนุษย์เช่นเดียวกับเจ้าหน่ะนะ"
ถ้อยคำแปลกๆของผู้บุกรุกทำเอาคิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามหาความจริง
"โธ่…ท่านพญาหงส์เพลิง เลิกแกล้งสามีข้าเสียทีเถิด"เสียงกังวานใสดังระฆังแก้ว ที่ลอยมาจากทิศทางเดียวกับเสียงแรก ทำแม่ทัพหนุ่มตะลึงลมหายใจสะดุด ดวงตาคมทรงเสน่ห์เบิกกว้าง เสียงนี้? แม้ยามหลับยามตื่นข้าก็จดจำได้ขึ้นใจ เป็นเสียงของนาง นางผู้เป็นยอดดวงใจของข้า "หลินเอ๋อร์…นั่นเจ้าใช่รึไม่?"แม่ทัพหนุ่มถามเสียงเบาหวิว สองเท้าก้าวเดินไปที่สะพานริมศาลาอย่างเลื่อนลอย "นั่นเจ้าใช่หรือไม่?"แม่ทัพหนุ่มถามย้ำอีกครั้งเมื่อไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่าย ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความตื้นตันยินดีระคนโหยหา สองมือที่อยู่ข้างลำตัวกำเป็นหมัดแน่นและกำลังสั่นเทา
ฝ่ายสี่องครักษ์ถึงกับน้ำตาซึม มั่นใจว่าต้องเป็นเสียงของฮูหยินน้อยอย่างหมดใจ ดวงตาคมทั้งสี่คู่มองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างมีความหวัง
"เอ้า!รับไปเสีย ข้าจะได้กลับไปพักผ่อนเสียที"จบคำก็ปรากฏร่างสตรีและสี่สหายน้อยลอยลงมาช้าๆตรงจุดที่แม่ทัพหนุ่มและสี่องครักษ์ยืนอยู่
สตรีร่างเล็กในอาภรณ์สีขาวปักดอกเหมยฮวาสีชมพูสดดูสดใส ผมสีน้ำหมึกเงางามปลิวไสวยามต้องลม ให้ความรู้สึกคล้ายเทพเซียนเหาะลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า
ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับอยู่ที่ร่างเล็กไม่วางตาอย่างเผลอไผลกระทั่งนางลงมายืนอยู่เบื้องหน้าก็ยังไม่คืนสติกลับมา
"กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"ชิงหลินส่งยิ้มหวานกล่าวด้วยใบหน้าแดงเรื่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตาไม่กระพริบ
"อา…อืม"แม่ทัพหนุ่มกระพริบตาถี่ เพ่งมองร่างเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคล้ายยังไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
"หืม?"ปฏิกิริยาแบบนี้มันอะไรกัน? หรือว่ายังไม่เชื่อว่าเรากลับมาแล้วจริงๆ
ชิงหลินเหล่มองสี่องครักษ์ที่อุ้มสี่สหายน้อยคนละตัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จึงส่งยิ้มตอบพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้ถอยออกไปก่อน ซึ่งสี่องครักษ์ก็ทำตามแต่โดยดี ถอยร่นไปยืนด้านนอกศาลาอย่างเชื่อฟัง พอเงยหน้ามองสบตาสามี น้ำตาพลันรินไหล มือเรียวขาวยื่นออก ไปโอบประคองใบหน้าหล่อเหลาที่หมองคล้ำแถมยังซูบตอบลูบไล้อย่างอ่อนโยน "พี่เหวิน หลินเอ๋อร์คิดถึงพี่เหลือเกิน…"กล่าวทั้งน้ำตา
"หลินเอ๋อร์ หลินเอ๋อร์ของพี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา"แม่ทัพหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้แน่น จุมพิตที่ศีรษะนางหลายครั้งอย่างรักใคร่ "พี่คิดถึงเจ้ายิ่งนัก คิดถึงแทบจะคลั่งตาย เฝ้าครุ่นคิดว่า หากเจ้าไม่กลับมาแล้วพี่จะทำเช่นไร ชีวิตที่ขาดเจ้าก็เหมือนร่างกายที่ไร้วิญญาณ เจ้ารู้ถึงความปวดใจข้อนี้ของพี่รึไม่?"แม่ทัพหนุ่มพร่ำตัดพ้อต่อว่าคนในอ้อมกอดอย่างขุ่นเคืองและน้อยใจเป็นที่สุด แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่นางทำก็เพื่อตนทั้งนั้น แต่แม่ทัพหนุ่มก็ยังอดตัดพ้อนางไม่ได้อยู่ดี
"หลินเอ๋อร์รู้ดี หากมีหนทางอื่นหลินเอ๋อร์ก็คงไม่เลือกทางนี้"ตอบกลับเสียงอู้อี้ เพราะใบหน้าฝังอยู่กับอกกว้างแข็งแกร่งของสามี
ห่างกันไม่ถึงสี่สิบวัน ชิงหลินก็คิดถึงเขามากมายถึงเพียงนี้ ในช่วงความเป็นความตายหลายครั้ง ใบหน้าที่เห็นในหัวกลับไม่ใช่มารดาในโลกนี้หรือในโลกที่จากมา แต่กลับเป็นใบหน้าของสามี คิดแล้วก็ช่างเป็นลูกอกตัญญูยังไงไม่รู้ ยิ่งวันสุดท้ายความเจ็บปวดแสนสาหัสทำเอานางถึงกับปลงตกและปล่อยให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้อยู่ต่อหรือกลับบ้านเก่า แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีภาพสามีหลั่งน้ำตาทำให้นางได้สติและกัดฟันสู้จนผ่านมาได้อย่างหวุดหวิด
ชิงหลินผลักอกสามีออก ดวงตากลมโตเงยสบดวงตาคมทรงเสน่ห์ วาดแขนโอบรอบรั้งใบหน้าหล่อเหลาลงมาแล้วแนบริมฝีปากอวบอิ่มกับริมฝีปากได้รูปอย่างอ้อยอิ่ง ไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไป ผละออกช้าๆพลางกล่าว "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"เพราะน้ำตาของท่าน ทำให้ข้าฮึดสู้จนผ่านความเจ็บปวดทรมานนั้นมาได้ นางต่อเองในใจ
เป็นอีกครั้งที่แม่ทัพหนุ่มตะลึงอึ้งจนกล่าวไม่ออก ร่างสูงหอบหายใจแรงเลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก ครั้นพอดึงสติกลับมาได้ มือหนาคว้าเอวคอดกิ่วเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่น สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นที่เขาคุ้นเคยและชื่นชอบที่สุดแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
ดวงตาคมทรงเสน่ห์หลุบมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่แดงก่ำอย่างอ่อนโยน รักใคร่ลึกซึ้งจากนั้นสัมผัสริมฝีปากอวบอิ่มเร็วๆครั้งหนึ่งแล้วผละออก ส่งยิ้มหวานแล้วแนบริมฝีปากได้รูปของตนกับริมฝีปากอวบอิ่มอย่างดูดดื่ม ยิ่งร่างเล็กบอบบางตอบสนองกลับยิ่งกระตุ้นความปรารถนาในกายจนลุกโชน ลิ้นอุ่นร้อนเกี่ยวตวัดลิ้นเล็ก สองร่างหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กแนบชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มือหนาลูบแผ่นหลังบอบบางเลื่อนลงต่ำไปที่สะโพกกลมกลึงแล้วออกแรงบีบเบาๆ
"อื้อๆ"ชิงหลินพลันได้สติ ส่งเสียงอู้อี้ประท้วงเมื่อถูกมือหนาซุกซนไปทั่ว ตาบ้านี่! มาบีบก้นกันซะงั้น!
"อา...ขออภัย...พี่เผลอไปหน่อย"แม่ทัพหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสมอใบหน้า แม้จะเป็นคำขออภัยแต่ใบหน้ากลับระรื่นไม้ได้สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย เห็นนางถลึงตาใส่ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ แม่ทัพหนุ่มอดที่จะยกยิ้มเอ็นดูไม่ได้ มือหนารวบเอวคอดกิ่วไว้แนบอก สะกิดปลายเท้าพานางเหินสู่เรือนพักไม่ใส่ใจเสียงร้องตกใจของนางที่ร้องประท้วงจนถึงหน้าเรือน
ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณที่ส่งนางคืนกลับมาให้ข้า ข้ามู่หลิ่งเหวินขอปฏิญาณต่อฟ้า จะดูแลทะนุถนอมนางชั่วชีวิตนี้จะมีนางเป็นภรรยาและไม่คิดแต่งสตรีอื่น
ล่วงเข้ายามโฉ่ว
สี่องครักษ์ที่พาสี่สหายน้อยของฮูหยินน้อยไปพักผ่อนยังห้องข้างๆ เรียบร้อยแล้วเดินกลับมายืนเฝ้ายามที่หน้าห้องของผู้เป็นนายทั้งสอง ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มและเป็นสุข