webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ภาคต่อตอนที่ 31 การรอคอยที่แสนทรมาน

ทางด้านหงส์เพลิงพาชิงหลินและสี่สหายน้อยมายังถ้ำเพลิงฟ้า ซึ่งอยู่ในปล่องภูเขาไฟที่ยังคงประทุรอวันระเบิดตัว ถ้ำเพลิงฟ้าอยู่ในภูเขาที่ผู้คนเรียกขานว่า ภูเขาเพลิงโลกันต์ เป็นเขตที่อันตรายและลึกลับยิ่ง ไร้มีสิ่งมีชีวิตใดกล้ำกรายเข้าไปได้ในรัศมีร้อยลี้

หงส์เพลิงเป็นสัตว์เทพธาตุไฟ ดังนั้นจึงเลือกที่นี่เป็นที่บำเพ็ญเพียรสะสมพลังเทพ หงส์เพลิงพำนักอยู่ที่นี่เพียงลำพังมานานนับพันปี ไม่เคยนำพาหรืออนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดเหยียบที่นี่มาก่อน ช่อลดาและสี่สหายน้อยจึงเป็นกลุ่มแรกที่ได้มา หากผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ชื่อเสียงของธิดาสวรรค์ที่เลื่องลืออยู่แล้ว เห็นทีคงได้กลายเป็นตำนานกล่าวขานไปอีกนานเป็นแน่

"อึก!อา.."ทันทีที่มาถึงร่างเล็กบอบบางก็ร่วงลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกน้ำตาไหลอาบดวงหน้า ฟันขาวขบริมฝีปากล่างจนห้อเลือดและเริ่มมีเลือดไหลซึม สองมือเรียวขยุ้มกุมอกซ้ายจนอาภรณ์ที่สวมใส่ยับย่น ส่งเสียงครางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด

"หลินหลิน!!"สี่สหายน้อยที่นอนหมอบอยู่เบื้องหน้านางร้องเรียกนางเสียงดังด้วยความเป็นห่วง พวกมันเคยเห็นมาแล้วหนหนึ่งว่าหลินหลินต้องเจ็บปวดทรมานมากเพียงใด โดยที่พวกมันไม่สามารถช่วยอะไรได้

"พี่ชายช่วยหลินหลิน ช่วยหลินหลิน ฮึก! ช่วยหลินหลิน"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยสะอื้นไปร้องบอกเป่าเปาน้อยไป หัวเรียวเล็กสีขาวเกยอยู่บนหลังพี่ชาย ไม่กล้ามองร่างหลินหลินที่ดิ้นทุรนทุรายเบื้องหน้า ดวงตาเรียวเล็กสีน้ำหมึกเปียกชื้นจนขนฟูฟ่องน่าสัมผัสลู่เปียกเป็นทาง โดยมีสามสหายน้อยแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างอับจนปัญญา อยากช่วยแต่จะให้ช่วยอย่างไรเล่า? หากมีหนทางพวกมันย่อมกระทำอย่างไม่รีรออยู่แล้ว!

"ท่านพญาหงส์เพลิง มีหนทางใดพอจะช่วยหลินหลินได้บ้างหรือไม่ขอรับ?"ฟงฟงน้อยเงยหัวร้องถามหงส์เพลิงที่เกาะบนก้อนหิน

"สิ่งที่นางทำเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่ง ซ้ำยังฝืนดวงชะตา หากไม่มีกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมแล้ว อาจทำให้นางเสียนิสัยใช้พร่ำเพรื่อร่ำไป"หงส์เพลิงอธิบายให้สี่สหายน้อยฟังอย่างใจเย็น ดวงตาสีแดงเพลิงมองไปยังร่างที่ร้องอืออา ดิ้นไปดิ้นมาอย่างสงสารและเห็นใจ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าแล้วร่างที่ดิ้นไปดิ้นมาก็หยุดลงพร้อมกับเสียงอืออาก็เงียบลงด้วย

"หลินหลิน!!!!!"สี่สหายน้อยประสานเสียงร้องเรียกนางเสียงดัง

"หลินหลินสลบไปแล้ว ทำเช่นไรดีหัวหน้า?"ฟานฟานน้อยหันไปมองจิ้งจอกน้อยตัวพี่แล้วส่ายหัว ก่อนจะหันกลับมามองหลินหลินที่นอนสลบนิ่งอยู่เบื้องหน้า

"ท่านพญาหงส์เพลิง...ฮึก!...ช่วยหลินหลินด้วยเถิดเจ้าค่ะ...ให้หมั่นโถวทำอันใดก็ได้...ฮึก!...หมั่นโถวยอมทำทั้งนั้น...ฮึก!...ช่วยหลินหลินด้วย...หมั่นโถวขอร้องท่านแล้ว.....ฮึก!"เจ้าจิ้งจอกน้อยเดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าหงส์เพลิงเงยหัวขอร้องด้วยน้ำตานองหน้า

"ข้าก็ขอร้องท่าน!"ฟานฟานน้อยเดินมาหยุดข้างจิ้งจอกน้อยตัวน้อง

"ข้าก็ขอร้องท่าน/ข้าก็ขอร้องท่าน"ฟงฟงน้อย เป่าเปาน้อย เดินมาสมทบแล้วจึงส่งเสียงขอร้อง

"ได้! เห็นแก่ความรักที่พวกเจ้ามีต่อนาง ข้าจะช่วยสักครั้งก็แล้วกัน"กล่าวจบหงส์เพลิงก็สะบัดปีกสีแดงเพลิงใส่สี่สหายน้อยหนหนึ่ง

วูบ!...พรึ่บ! ลำแสงสีแดงเพลิงรูปปีกนกพุ่งเข้าห่อหุ้มร่างของสี่สหายน้อยไว้จนมิด จากนั้นไม่นานแสงสีแดงเพลิงก็สลายไปพร้อมกับปรากฏร่างเด็กน้อยสี่คนแทนเด็กน้อยทั้งสี่มีรูปร่างและความสูงไล่เลี่ยกัน หน้าตาน่าเอ็นดูยิ่ง หงส์เพลิงผงกหัวพึงพอใจในผลงานที่ตนได้รังสรรค์ขึ้น ท่ามกลางความตื่นตะลึงของสี่สหายน้อยในร่างเด็กหญิงเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบปี ที่ยกไม้ยกมือ ลูบคลำใบหน้าสายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแลประหลาดใจ

"หมั่นโถวกลายเป็นมนุษย์ละ ฮิๆๆ ดูสิพี่ใหญ่ เรากลายเป็นมนุษย์กันหมดเลย"จิ้งจอกน้อยในร่างเด็กหญิงหน้าตาน่ารักกระโดดโลดเต้น กางแขนหมุนตัวไปมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่า

"อะแฮ่ม...หากมัวแต่เล่น หลินหลินของเจ้าคงได้ป่วยไข้เพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่"เสียงกระแอมเตือนของหงส์เพลิงทำให้สี่สหายน้อยรู้สึกตัว เบิกตาโตหมุนตัวลงนั่งรอบร่างแล้วออกแรงเขย่าเบาๆ แต่ไร้การตอบรับ ทำให้เด็กน้อยทั้งสี่ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากหงส์เพลิงอีกครั้ง

"เฮ้อ!..ก็ได้ๆ"หงส์เพลิงใจอ่อนยอมช่วย มันสะบัดปีกเพียงครั้ง เตียงนอนพร้อมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งของที่จำเป็นก็ปรากฏเบื้องหน้าของเด็กน้อยทั้งสี่ พอสะบัดปีกอีกครั้งร่างของหลินหลินก็ลอยขึ้นและถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล

"ข้าช่วยได้เท่านี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจและความอดทนของนางและการดูแลของพวกเจ้าแล้ว"กล่าวจบหงส์เพลิงก็หายวับไป

"เอาล่ะ เช่นนั้นก็มาแบ่งหน้าที่กัน ยามกลางวันให้เป็นหน้าที่พี่ใหญ่กับเจ้าในการดูแลหลินหลิน"ฟานฟานน้อยเริ่มทำหน้าที่หัวหน้าแก๊งยืนเท้าเอวเชิดหน้า อีกข้างชี้ไปที่ฟงฟง พยัคฆ์น้อยตัวพี่และหมั่นโถวจอมขี้แย จิ้งจอกน้อยตัวน้อง

"ได้"ฟงฟงน้อยหันไปมองหมั่นโถวน้อยจอมขี้แยเห็นพยักหน้ายิ้มๆจึงหันมาพยักหน้าตอบน้องชาย

"ส่วนในยามค่ำคืน ข้าและเป่าเปาจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง"

----------------

การดูแลในช่วงสามสี่วันแรก ทุลักทุเลพอควร เพราะยังไม่คุ้นชินกับร่างมนุษย์ สี่สหายน้อยจึงต้องเรียนรู้ จดจำโดยใช้วิธีเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ที่พวกมันเคยได้พบเห็นมาก่อนมาเป็นแบบในการดูแลหลินหลิน ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า การป้อนอาหาร ซึ่งหงส์เพลิงเป็นผู้เตรียมการไว้ให้พร้อมสรรพ ทำให้สี่สหายน้อยในร่างเด็กมนุษย์เบาใจไปได้มากโข

ยามซวีของวันที่สิบ

ฟานฟานน้อยนั่งขัดสมาธิกอดอกอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องใบหน้าของหลินหลินที่สลบไสลเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหวนิ่งแล้วถอนใจ คราวแรกที่เห็นหลินหลินสลบมันตกใจยิ่งนัก แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วการที่นางเป็นเช่นนี้ อาจจะดีกว่าเห็นนางดิ้นทุรนทุรายก็ได้ เพราะอย่างน้อยนางก็ได้พักผ่อนไม่ต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น

แต่ยามนี้มีสิ่งที่ทำให้เจ้าพยัคฆ์น้อยในร่างเด็กชายเป็นกังวลจนมิสามารถนอนหลับได้ นั่นคือ การสลบไสลที่กินเวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆของหลินหลิน

วันแรกหลินหลินสลบไปราวหนึ่งชั่วยามแล้วก็ฟื้นคืนสติ

วันที่สองหลินหลินสลบไปราวหนึ่งชั่วยามครึ่งแล้วจึงฟื้นคืนสติ

วันที่สามสองชั่วยาม

วันที่สี่สองชั่วยามครึ่ง

วันที่ห้าสามชั่วยาม....

จนวันนี้วันที่สิบ หลินหลินนอนสลบไสลเกือบหกชั่วยามแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆมันเกรงว่าหลินหลินจะหลับใหลไปตลอดกาลแล้วมันจะทำเช่นไร? คิดพลางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

---------------

ย้อนกลับมาที่จวนนายอำเภอชิงไห่

หลังจากที่ออกมาจากถ้ำที่ซ่อนคลังอาวุธที่ใช้ในการทำสงครามแล้ว มู่หลิ่งเหวินและคณะก็ตรงดิ่งกลับจวนเขียนสารลับถึงฉีเฉินหลงฮ่องเต้ทันทีเพื่อขอคำวินิจฉัยเกี่ยวกับอาวุธเหล่านั้น ยังมีเรื่องคุณงามความดีของนายอำเภอหม่าเทียนอี้ รวมถึงเรื่องกองโจรกลุ่มนี้ด้วย

เมื่อสั่งการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็พาใบหน้าหล่อเหลาทว่าเศร้าหมองกลับที่พักตรงไปยังห้องนอนไม่สนใจสองสาวใช้ที่รีบออกมาต้อนรับ มีสี่องครักษ์เดินตามหลังมาเงียบๆใบหน้าคมเข้มทั้งสี่เครียดขรึมไม่แพ้เจ้านายหนุ่ม พวกเขายืนมองแม่ทัพหนุ่มจนลับสายตา ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรง ใบหน้าคมเข้มปรากฏร่องรอยของความเสียใจอย่างสุดซึ้ง บรรยากาศรอบตัวหดหู่เหนือคำบรรยาย

"ท่านองครักษ์"เสี่ยวอี้ย่อตัวลงเรียกจิ๋นอี้ ที่นั่งหลับตาศีรษะพิงขอบประตู เสียงของนางทำให้จิ๋นอี้ ลืมตาแล้วเลิกคิ้วถาม

"เอ่อ...ฮูหยินน้อยอยู่ที่ใดเจ้าคะ?"คำถามธรรมดา แต่กลับสร้างความเจ็บปวดใจสะเทือนใจแก่สี่องครักษ์ยิ่งนัก เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินน้อยทำเพื่อพวกตน ที่เป็นเพียงข้ารับใช้ต่ำต้อยหาได้สำคัญอันใดไม่ แต่ฮูหยินน้อยกลับเสี่ยงชีวิตอันมีค่าแลกกับชีวิตต่ำต้อยนี้

ความเงียบและบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเศร้าเสียใจราวกับคนสูญเสียคนสำคัญ ทำให้สองสาวใช้หันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

"พี่ซื่อ...เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฮูหยินน้อยอยู่ที่ใดเจ้าคะ?เหตุใดจึงไม่กลับมาพร้อมท่านแม่ทัพ?"เสี่ยวสุ่ยหันไปถามบุรุษที่นั่งอยู่ซ้ายมือจิ๋นอี้

"เรื่องนั้น"จิ๋นซื่ออึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไร ส่งสายตาบอกเป็นนัยว่าอึดอัดใจไม่อยากกล่าวอะไรทั้งสิ้น ทำให้เสี่ยวสุ่ยจำต้องสงบปากสงบคำไม่คิดซักถามให้อีกฝ่ายรำคาญใจอีก

เมื่อไม่ได้คำตอบที่ตนต้องการ สองสาวใช้จึงกลับไปทำหน้าที่ของตนเองเสร็จแล้วกลับมานั่งรอฮูหยินน้อยที่หน้าประตูด้วยใจจดจ่อ จนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น จิ๋นซาน จิ๋นซื่อ สององครักษ์ที่ซุ่มแอบดูอยู่ไม่ไกลนำผ้าห่มมาคลุมกันหนาวและนั่งลงเคียงข้างไล่ยุงให้

ที่เตียงนอนภายในห้อง ร่างสูงนอนก่ายหน้าผากดวงตาคมทรงเสน่ห์เหม่อมองเพดานนิ่ง หากไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงของอกแกร่งที่บ่งบอกให้รู้ว่ายังมีชีวิต เกรงว่าผู้ที่เข้ามาเห็นต้องคิดว่าเป็นร่างที่ไร้วิญญาณเป็นแน่แท้

"หลินเอ๋อร์ พี่คิดถึงเจ้ากับลูกเหลือเกิน..."แม่ทัพหนุ่มรำพึงออกมาแผ่วเบาน้ำเสียงแหบพร่าชวนให้คนฟังปวดใจยิ่งนัก มือที่ก่ายหน้าผากเลื่อนมาปิดดวงตาคมทรงเสน่ห์ไว้จนมิด แต่กระนั้นก็ไม่อาจขวางกั้นน้ำหยดเล็กที่ไหลซึมออกมาทางหางตาก่อนจะร่วงหล่นสู่ไรผมข้างหูไว้ได้

ความเจ็บปวดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดก้อนเนื้อบริเวณอกซ้าย ที่นางเรียกว่า หัวใจ นี้ มันช่างรุนแรงและร้ายกาจยิ่งกว่าถูกอาวุธชนิดใดทิ่มแทงพันเท่าหมื่นเท่า นึกถึงคำถ้อยคำที่นางบอกรักแล้วก็ยิ่งใจหาย หากนั่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตนจะทำเช่นไร? ชีวิตที่ไร้นางอันเป็นที่รักเคียงข้าง ตนยังจะอยู่ได้อีกหรือ?ยิ่งคิดน้ำตาของลูกผู้ชายก็ยิ่งหลั่งออกมา

---------------

หลังจากนั้น มูหลิ่งเหวินก็โหมงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อจะได้ไม่มีเวลาว่างไปครุ่นคิดถึงภรรยาอันเป็นที่รัก จนเวลาล่วงเข้าวันที่ห้าภารกิจขุดคูคลองช่วยเหลือชาวอำเภอชิงไห่ก็แล้วเสร็จ

วันที่สิบที่ชิงหลินจากไป ฉีเฉินหลงฮ่องเต้ มีราชโองการให้ ฉีเฟยหลงรัชทายาทนำทหารหนึ่งหมื่นนายมาถึงอำเภอชิงไห่ เพื่อคุ้มกันและนำอาวุธสงคราม หีบทองคำทั้งยี่สิบหีบน้ำหนักรวมหลายพันจินรวมถึงนักโทษทั้งหมดกลับเมืองไปชดใช้กรรมตามที่ตนเองก่อไว้

วันที่สิบเอ็ดที่ชิงหลินจากไป มู่หลิ่งเหวินและผู้ติดตามทั้งหมด หม่าเทียนอี้และครอบครัว เดินทางกลับสู่เมืองหลวง ภายใต้การนำของฉีเฟยหลง ตลอดทางมีชาวบ้านนับพันคนออกมาส่งพร้อมทั้งส่งเสียงสรรเสริญขอบคุณจนพ้นประตูเมืองอำเภอชิงไห่

"แม่ทัพมู่ เหตุใดเปิ่นหวางจึงไม่เห็นหลินเอ๋อร์เลยเล่า?"ฉีเฟยหลงถามบุรุษที่นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้าข้างตน

"นางเดินทางไปเยี่ยมเยียนสหายคนสำคัญอยู่ อีกไม่นานก็กลับพะย่ะค่ะ"นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ทว่าดวงตากลับหม่นลงจนฉีเฟยหลงทันสังเกตเห็น

"เป็นเช่นนี้เองหน้าเจ้าถึงได้หมองคล้ำนัก"ฉีเฟยหลงกล่าวล้อสหายคนสนิท แม้จะแน่ใจว่า ต้องมีอะไรมากกว่าที่อีกฝ่ายบอกก็ตาม แต่เมื่อเจ้าตัวไม่อยากจะกล่าวถึง เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยผ่านไป น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มกับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ของนาง

วันที่ยี่สิบห้าที่ชิงหลินจากไป ขบวนของฉีเฟยหลงและมู่หลิ่งเหวินได้เดินทางถึงเมืองหลวง หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทูลรายงานเรื่องราวทั้งหมดจนสิ้น แม่ทัพหนุ่มก็ทูลลากลับจวนแม่ทัพ ปฏิเสธงานเลี้ยงที่ทรงจัดให้อย่างไม่ใยดี ท่ามกลางความแปลกใจของฉีเฉินหลงฮ่องเต้ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร ซ้ำยังอนุญาตตามที่แม่ทัพหนุ่มต้องการ

ยามซวีจวนแม่ทัพไร้พ่าย

เมื่อมาถึง มู่หลิ่งเหวินไม่สนใจพ่อบ้านและเหล่าข้ารับใช้ที่ออกมาต้อนรับเลยแม้แต่ปรายตามองก็หามีไม่ ร่างสูงใหญ่องอาจและเต็มไปด้วยพลังอำนาจก้าวฉับๆตรงดิ่งกลับเรือนพักของตนกับภรรยาแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง คว้าหมอนของนางมากอดสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะที่มีแต่นางเท่านั้นแล้วหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียที่สะสมมาหลายสิบวัน

ความจริงเขาอยากร่ำสุราดับทุกข์ในใจ แต่เพราะนางเคยขอร้องไว้ว่า อย่าใช้สุราในการแก้ปัญหา เขาจึงหาสิ่งอื่นมาทดแทนและสิ่งนั้นก็คือ ของใช้ของนางที่มีกลิ่นติดอยู่โดยเฉพาะหมอนขนเป็ดและชุดนอนสีขาวของนาง แม้จะดูน่าอับอายไปเสียหน่อย แต่มันก็ช่วยให้อาการนอนไม่หลับนับแต่นางจากไปบรรเทาเบาบางไปได้มาก

อา...สวรรค์โปรดคุ้มครองนางด้วยเถิด ต้องแลกกับสิ่งใดข้าก็ยอมทั้งนั้น ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ มู่หลิ่งเหวินผู้นี้พร้อมเสมอ ขอเพียงนางปลอดภัยกลับมาก็เพียงพอแล้ว…

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยน้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts