"หลินหลิน...ร้องไห้?....ร้องไห้ทำไมเจ้าคะ?"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยร้องถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อหลินหลินทรุดลงกองกับพื้นดวงตากลมโตเบิกกว้างและมีน้ำตาคลอ เห็นหลินหลินนิ่งไม่ขยับจึงวางเท้าน้อยๆสีขาวขุ่นเพราะความซุกซนลงบนท่อนขาของนาง แหงนเงยหัวเรียวยาวส่งสายตาสีน้ำหมึกฉ่ำน้ำไปให้
"หลินหลิน/หลินหลิน/หลินหลิน"ชิงหลินพลันได้สติ กระพริบตาไล่น้ำตาที่คลอหน่วยออกไป ก้มมองตอบสี่สหายน้อยที่แหงนมองมาแล้วส่งยิ้มให้ ยิ้มฝืดเฝื่อนฝืนธรรมชาติเป็นที่สุด ก่อนจะกลั้นใจตอบกลับทางจิต "ข้าไม่เป็นไร ขอบใจที่เป็นห่วงนะ"
"ข้าจะไปดูให้ก็แล้วกัน"ยังไม่ทันที่ชิงหลินจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธร่างวิหคสีแดงเพลิงที่เกาะอยู่ที่ไหล่ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา และอีกห้านาทีต่อมาหงส์เพลิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้า
"เจ้าคงเห็นแล้ว?"
"ใช่...ข้าเห็นพวกเขานอนสลบอยู่ในถ้ำที่เต็มไปด้วยอาวุธสงครามและหีบที่คิดว่าน่าจะเป็นหีบสมบัติ"
ดวงตาสีแดงเพลิงหรี่มองนางเงียบๆ เงียบจนชิงหลินใจคอไม่ดี "พวกเขา....เพียงแค่สลบไป....ใช่หรือไม่?"
"หากเป็นเช่นนั้นก็คงดี"
"....ท่าน...หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าพวกเขาโดนพิษ?!!!"
"...พิษสลายวิญญาณ"
"พิษสลายวิญญาณ?"นางเอียงคอทวนคำของหงส์เพลิง พิษแบบใดกัน?เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
".พิษร้ายแรง ไร้ที่มา ไร้สีไร้กลิ่น และไร้ยาถอนพิษ สูดดมเข้าไปเพียงเล็กน้อยหัวใจจะหยุดทำงานและเสียชีวิตในครึ่งเค่อ"
คำตอบนั่นทำคนฟังตัวแข็งทื่อ ตกใจจนพูดไม่ออก พิษร้ายแรง? ทำให้หัวใจหยุดเต้น? ไม่มียาถอนพิษ? "ท่านกำลังล้อข้าเล่นใช่รึไม่เจ้าคะ? ข้าเห็นแค่พวกเขานอนสลบไม่ได้สติก็เท่านั้นเอง"
"ล้อเล่น? ข้าทำเช่นนั้นแล้วจะได้อะไร?"หงส์เพลิงตอบกลับเสียงเข้มต่ำ มิใคร่พอใจกับถ้อยคำของนางสักเท่าใด
"อย่าบอกนะว่าพวกเขาทั้งห้า..."
"อืม....เรามาช้าไป "หงส์เพลิงรู้สึกเห็นใจและสะเทือนใจยิ่งนัก ดวงตาสีแดงเพลิงมองสตรีร่างเล็กที่นั่งหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาทั้งสองของนางแดงก่ำและมีน้ำใสคลอจะหยดไม่หยดแหล่ คิ้วเรียวงดงามขมวดมุ่นเป็นปม ริมฝีปากสั่นระริกหงส์เพลิงเห็นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ คิดอย่างปลงๆว่า ลิขิตฟ้าไม่อาจฝืน
"ท่านกำลังจะบอกว่า...เหวินเหวินตายแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?"ฟงฟงน้อยหมุนตัวเงยหน้าร้องถามหงส์เพลิงเสียงเบาหวิว หงส์เพลิงก้มหัวมองเจ้าพยัคฆ์น้อย ผงกหัวลงหนึ่งครั้งเป็นคำตอบ
"เหวินเหวินตายแล้วจริงๆหรือเจ้าคะ?"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยร้องถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาฉ่ำน้ำหันไปมองหงส์เพลิงไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง
หงส์เพลิงผงกหัวยืนยันอีกครั้ง เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยกับคำถามเซ้าซี้ของเจ้าสี่ตัวน้อยนี่
"แงๆๆ"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อย เสียงร้องของเจ้าจิ้งจอกน้อยดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำ ส่วนฟงฟงน้อย เป่าเปาน้อยก้มหัวลงมองพื้น พวงหางลู่พื้นด้วยความเศร้าสร้อย พวกมันก็รักและชมชอบเหวินเหวินอยู่มากแม้จะไม่มากเท่าหลินหลินก็ตาม
ผิดกับฟานฟานน้อยที่กำลังมีโทสะ ดวงตากลมเล็กสีเทาจ้องมองไปยังถ้ำเบื้องหน้าด้วยความกรุ่นโกรธ เจ้าคนนิสัยไม่ดี เจ้าช่างขวัญกล้านัก! กล้าทำให้หลินหลินของข้าเสียใจเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้ามาตายง่ายดายเช่นนี้แล้วหลินหลินของข้าเล่า? เจ้ากับข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกมาก เจ้ามาตายหนีเช่นนี้แล้วข้าจะไปหาเรื่องใครได้อีกเล่า? เจ้าพยัคฆ์น้อยสบถคำต่อว่าแม่ทัพหนุ่มในใจ ดวงตากลมเล็กสีเทาหม่นมีน้ำใสไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว
"ท่านพญาหงส์เพลิง ข้ามีเรื่องขอร้องท่าน"ชิงหลินเอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ดวงตากลมโตฉายแววมุ่งมั่น
"อืม...ตัดสินใจได้แล้ว?"
"เจ้าค่ะ"
"แต่เจ้าอาจตายได้"
"ข้ารู้ แต่มันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยพวกเขาได้"
"ได้ ข้าจะช่วยเจ้า"หงส์เพลิงเห็นความมุ่งมั่นแน่วแน่ของนาง จึงรับปากตามที่นางขอ
"หลินหลินจะชุบชีวิตพวกเขา?"ฟานฟานน้อยหันกลับมาร้องถามนาง เมื่อเห็นหงส์เพลิงหายวับไปแล้ว
"อืม"พยักหน้าพร้อมกับตอบทางจิต ใบหน้าจิ้มลิ้มมีร่องรอยความกังวลเต็มเปี่ยม
"แต่การชุบชีวิตดึงจิตวิญญาณกลับมา เพียงหนึ่งชีวิตก็ทำให้หลินหลินทรมานเกือบตาย แล้วนี่ตั้งห้าชีวิต หลินหลินจะไหวหรือขอรับ?"ถ้อยคำของเป่าเปา จิ้งจอกน้อย ทำเอาฟานฟานน้อย ฟงฟงน้อยชะงักวูบ โดยเฉพาะหมั่นโถวน้อยจอมขี้แยที่กำลังร้องไห้หยุดชะงักนิ่งไป ก่อนจะเงยหัวเรียวเล็กมองหลินหลินอย่างต้องการคำตอบ
"อย่าห่วงไปเลย ข้าทนได้"ยิ้มตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ภายในใจหวาดหวั่นและหวาดกลัวจนแทบจะหายใจไม่ออก ใช่...ที่เป่าเปาน้อยพูดถูกทุกอย่าง ชุบชีวิตเพียงคนเดียวเธอก็เจ็บปวดทรมานเจียนตายถึงเจ็ดวัน แล้วนี่ตั้งห้าชีวิต งานนี้หากทนไม่ได้นางคงได้กลับไปหาท่านยมอีกครั้งเป็นแน่
ไม่! ไม่ยอมเด็ดขาด! หากข้าตายแล้วลูกข้าเล่า?เขาก็ต้องตายตามข้าไปด้วยน่ะสิ แต่...ถ้าข้าไม่ช่วยพวกเขาก็ตาย ลูกจ๋า แม่จะต้องผ่านมันไปให้ได้เพื่อพวกเจ้า ช่วยแม่ด้วยนะ คิดในใจพลางลูบหน้าท้องตัวเอง
เมื่อหงส์เพลิงนำร่างไร้วิญญาณของทั้งห้าขึ้นมาได้แล้ว ชิงหลินถอนหายใจแรงมองร่างไร้ลมหายใจของสามีและสี่องครักษ์ที่นอนเรียงรายอยู่เบื้องหน้าด้วยความปวดร้าวใจ ลุกขึ้นสาวเท้าที่สั่นเทาเข้าไปหาร่างของสามีซึ่งอยู่หัวแถว ทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง สายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาคล้ายหลับ ที่บัดนี้ดำคล้ำ ริมฝีปากม่วงเข้มราวกับทาลิปสติกนิ่ง ไม่พูดไม่จา มือเรียวขาวยื่นออกไปลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาน้ำตาคลอเบ้า
"ยังเหลืออีกหนึ่ง"หงส์เพลิงเอ่ยขึ้นเบาๆ
"ขอข้ารักษาพวกเขาเสร็จก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากให้คนนอกล่วงรู้เรื่องนี้"เงยหน้าตอบกลับทางจิต
"ได้ แล้วเจ้าคิดจะช่วยผู้ใดก่อน? สามีของเจ้า?"
"ไม่เจ้าค่ะ ต้องช่วยสี่องครักษ์ก่อน"ส่ายหน้าก่อนตอบ เหตุผลที่เลือกช่วยองครักษ์ทั้งสี่ก่อนเป็นเพราะหากช่วยสามีที่รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาก่อนละก็ เขาต้องไม่ยอมแน่ แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่เจ้านายที่โหดเหี้ยมอำมหิต เห็นชีวิตลูกน้องเป็นผักปลา แต่ลูกน้องตายเพราะปกป้องเจ้านายเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้การชุบชีวิตถูกขัดขวางนางจำเป็นต้องช่วยสามีเป็นคนสุดท้าย
"ตามใจเจ้า"หงส์เพลิงกล่าวพลางบินไปเกาะที่ก้อนหินใกล้ๆ
"เอ่อ...ข้ามีเรื่องรบกวนท่านอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่?"
"ว่ามาสิ"
"เรื่องนั้นก็คือ...."เมื่อชิงหลินกล่าวจบ หงส์เพลิงผงกหัวรับคำขอของนาง ทำให้นางยิ้มออก แล้วเริ่มลงมือชุบชีวิตจิ๋นอี้ที่อยู่ท้ายแถวเป็นคนแรก โดยได้ฟงฟงน้อยกับเป่าเปาน้อย ขยายร่างให้โตขึ้นอีกหน่อยงับแขนทั้งสองของจิ๋นอี้แล้วดึงขึ้นมาจนอยู่ในลักษณะนั่งเหยียดขา จากนั้นนางเดินไปนั่งซ้อนข้างหลังทาบฝ่ามือลงกับหลังตรงตำแหน่งหัวใจ หลับตาลงเพ่งสมาธิแล้วปล่อยปราณผ่านฝ่ามือไปยังร่างหนาแกร่ง
ดวงตาทั้งทั้งหกคู่ของสัตว์ต่างสายพันธุ์ อันได้แก่ พิราบขาวที่แจ้งข่าว หงส์เพลิง สองพยัคฆ์น้อย และสองจิ้งจอกน้อย จ้องมองแสงสีฟ้าเป็นประกายงดงามราวอัญมณีที่ห่อหุ้มร่างเล็กบอบบางด้วยความตื่นเต้น ในเวลาต่อมาก็เข้าห่อหุ้มร่างหนาแกร่งเป็นเวลาพักใหญ่แล้วหายวับเข้าไปในร่างหนาแกร่ง
"เฮือก!"ร่างหนาแกร่งของจิ๋นอี้กระตุกแรงก่อนจะผวาเฮือกสูดลมหายใจหอบถี่ ดวงตาคมค่อยลืมขึ้นด้วยความสับสนมึนงง แล้วตะลึงวูบเมื่อเห็นพยัคฆ์โคร่งขาวสองตัวขนาดใหญ่อยู่ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของมัน ที่สำคัญพวกมันกำลังงับแขนทั้งสองข้างของตนอยู่! จิ๋นอี้ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ นี่มันเรื่องบ้าบออันใดกัน?
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้างจิ๋นอี้?"เสียงอ่อนโยนคุ้นหูที่ดังมาจากด้านหลัง ทำให้จิ๋นอี้ชะงักวูบ เหลียวไปมอง เป็นเวลาเดียวกับที่สองพยัคฆ์น้อยปล่อยแขนแข็งแรงให้เป็นอิสระ
"ฮูหยินน้อย?"จิ๋นอี้รีบหมุนตัวถอยเข่าออกมาเล็กน้อย วางมือทั้งสองบนต้นขาตนแล้วก้มศีรษะคำนับนาง
"อืม...รู้สึกไม่ดีตรงไหนบ้างหรือไม่?"ถามพลางซับเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้า สายตาจับอยู่ที่ร่างหนาขององครักษ์หนุ่ม ที่ผลุนผลันไปจับชีพจรของเจ้านายหนุ่มเป็นคนแรก แล้วไล่มาจับชีพจรขององครักษ์ทั้งสามด้วยใบหน้าเครียดขรึม
"ข้ามิเป็นไรขอรับ ขอบคุณฮูหยินน้อยที่ห่วงใย แต่..."จิ๋นอี้คุกเข่าลงเบื้องหน้านางแล้วตอบ สายตาคมเหล่มองร่างที่ไร้ลมหายใจของสหายร่วมเป็นร่วมตายและเจ้านายหนุ่มด้วยความเจ็บปวด
"พวกเขาไม่เป็นไร หากเจ้าไม่เป็นไรแล้วก็มาช่วยข้าเถิด"ชิงหลินกล่าวปลอบยิ้มส่งให้องครักษ์หนุ่ม
"ขอรับ?"จิ๋นอี้ แม้จะยังงุนงงแต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง หมายความว่าอย่างไร? จากการตรวจจับชีพจรบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ท่านแม่ทัพและสามองครักษ์ไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว! แล้วเหตุใดฮูหยินน้อยถึงได้.....
แล้วข้อสงสัยก็ถูกไขกระจ่างในเวลาต่อมา จิ๋นอี้ถึงกับตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น แล้วต่อมาก็เป็นจิ๋นเอ้อ จิ๋นซาน จิ๋นซื่อและแม่ทัพหนุ่มที่ถูกชุบชีวิตเป็นคนสุดท้าย โดยที่ชิงหลินกำชับสั่งให้องครักษ์ทั้งสี่ปิดบังเรื่องทั้งหมดเป็นความลับห้ามแพร่งพรายให้แม่ทัพหนุ่มรู้ ซึ่งองครักษ์ทั้งสี่ก็รับปากแต่โดยดีแม้จะยังงุนงงว่า มีเหตุผลอันใดจึงต้องปิดบัง?
"หลินเอ๋อร์ เหตุใดจึงอยู่ที่นี่?"มู่หลิ่งเหวินถามภรรยาทันทีที่ฟื้น ดวงตาคมทรงเสน่ห์สำรวจร่างเล็กบอบบางอย่างถี่ถ้วน พร้อมความสงสัยที่อัดแน่น
"พอดีพิราบขาวไปแจ้งข่าวว่าท่านติดอยู่ในถ้ำ ข้าจึงขอร้องให้ท่านพญาหงส์เพลิงช่วย พอมาถึงก็รู้ว่าท่านและองครักษ์สลบไสลอยู่ในถ้ำด้านล่างนั่น แล้วก็เป็นท่านพญาหงส์เพลิงที่ช่วยรักษาท่านและองครักษ์ไว้เจ้าค่ะ"ยอมโกหกคำโตอย่างไหลรื่นไม่มีติดขัดเล่นเอาผู้เห็น เหตุการณ์อย่างสี่องครักษ์เหลือบมองคิ้วกระตุกไปตามๆกัน "แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ปิดบังพี่?"คนถามยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาคู่งามของนางเพื่อจับพิรุธ
"หากไม่เชื่อก็ถามองครักษ์ของท่านดูก็ได้เจ้าค่ะ"เผือกร้อนที่ถูกโยนมาทำเอาสี่องครักษ์สะดุ้ง ลอบกลืนน้ำลายแล้วส่งสายตาตัดพ้อนาง ฮูหยินน้อยเหตุใดจึงทำเช่นนี้เล่าขอรับ?
"จิ๋นอี้"แม่ทัพหนุ่มหันมาคาดคั้นกับองครักษ์หนุ่มที่นั่งคุกเข่าเรียงกันอยู่ด้านซ้ายมือ
"จริงดังที่ฮูหยินน้อยกล่าวทุกคำขอรับ"จิ๋นอี้จำต้องกล่าวเท็จกับแม่ทัพหนุ่ม เพราะถูกสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกดดันของฮูหยินน้อยจ้องอยู่
"พิษที่พวกเจ้าได้รับร้ายแรงนัก ทำให้ข้าต้องสูญเสียพลังไปมาก ดังนั้นข้าต้องการคนไปปรนนิบัติช่วงที่ข้าฟื้นฟูพลังเป็นเวลาสี่สิบวัน"หงส์เพลิงกล่าวขัดการสนทนา โดยตั้งใจให้มนุษย์ทั้งหมดได้ยินและเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกล่าว
"ความหมายของท่านคือ?"มู่หลิ่งเหวินรู้สึกสังหรณ์ใจกับคำพูดของหงส์เพลิงยิ่งนัก ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่มองใบหน้าจิ้มลิ้มของภรรยาอย่างค้นหาคำตอบ แต่นางกลับก้มหน้าหลบสายตา ทำเอาคิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย
"นางคือคนที่ข้าเลือก"คำตอบของหงส์เพลิงสร้างความไม่พอใจแก่แม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก ตวัดสายตามองหงส์เพลิงอย่างไม่เกรงกลัวในพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่แล้วว่า"นางเป็นฮูหยินของข้า คงให้ท่านพาไปตามอำเภอใจไม่ได้"
"อ้อ...ทั้งๆที่นางรับปากข้าแล้ว?"
"เป็นความจริงรึหลินเอ๋อร์?"
"เจ้าค่ะ"ชิงหลินสะดุ้งตอบเสียงเบาหวิว เหลือบมองสามีที่มองอยู่ ก็ให้รู้สึกเจ็บแปลบกลางอกขึ้นมา เพราะสายตาของเขาเต็มไปด้วยขุ่นเคืองน้อยใจและเจ็บปวดคล้ายถูกคนที่รักหักหลัง มันทำให้นางอยากจะสารภาพความจริงให้เขารู้ให้รู้แล้วรู้รอดไป
"เหตุใดจึงทำเช่นนี้?"แม่ทัพหนุ่มตัดพ้อนางเสียงแหบพร่า ในใจเต็มไปด้วยความน้อยใจและขุ่นเคืองเป็นที่สุด นางตกปากรับคำไม่รอปรึกษาตนก่อน ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้อื่น แต่ไม่ใช่กับแม่ทัพหนุ่ม!
"หลินเอ๋อร์...ขอโทษ"กล่าวขอโทษพร้อมกับกุมมือใหญ่อบอุ่นทั้งสองของสามีไว้ ส่งสายตาขอให้เขาอภัยให้ เห็นเขาเงียบจึงว่า "หลินเอ๋อร์รู้ว่าพี่เหวินเป็นห่วงหลินเอ๋อร์เพียงใด หลินเอ๋อร์สัญญาว่าจะดูแลตัวเองและลูกทั้งสองให้ดีที่สุด ขอให้เชื่อใจหลินเอ๋อร์ได้ไหมเจ้าคะ?" เห็นเขายังคงจ้องมาไม่พูดอะไร "อีกอย่างหลินเอ๋อร์มีสี่สหายน้อยไปด้วย แล้วไหนยังมีท่านพญาหงส์เพลิงผู้แสนจะเก่งกาจอีก"นางว่า
"ก็ได้ พี่ยอมให้เจ้าห่างพี่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เข้าใจรึไม่?"ร่างสูงถอนหายใจหนักหน่วง จำใจกล่าวอนุญาตทั้งที่ใจคัดค้านไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจทนเห็นนางถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่รักษาคำพูดได้
"หลินเอ๋อร์ทราบแล้ว"ชิงหลินส่งยิ้มหวานให้สามีปกปิดความหวั่นใจ ไม่มั่นคงไว้ภายใน ด้วยไม่รู้ว่าจะผ่านพ้นความทรมานที่แสนสาหัสติดต่อกันนานถึงสามสิบห้าวันได้หรือไม่? พอคิดมาถึงตรงนี้ร่างเล็กก็โผเข้าสวมกอดเอวสอบ ซบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างไม่อายใคร
แม้จะตกใจกับการกระทำของภรรยา แต่มู่หลิ่งเหวินก็ชมชอบที่นางทำเช่นนี้และปรารถนาให้นางทำบ่อยๆ ลำแขนแข็งแรงโอบกอดตอบนางอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่รู้เลยว่าการปล่อยนางไปในครั้งนี้จะทำให้เจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส และโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง
"หลินเอ๋อร์รักพี่เหวินมากนะเจ้าคะ และจะรักตลอดไป"ถ้อยคำที่กระซิบบอกแม้จะเบาเพียงใด แต่อีกฝ่ายกลับได้ยินชัดเจน มุมปากได้รูปยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนจุมพิตกระหม่อมที่ชื้นไปด้วยเหงื่ออย่างไม่นึกรังเกียจ กล่าวตอบกลับปิดท้าย "พี่ก็รักเจ้า ยอดดวงใจของพี่"
"อึก!"แย่แล้ว!อาการเกิดเร็วกว่าที่คิด ช้าไม่ได้แล้ว!ไม่อย่างนั้นสามีต้องจับได้แน่! ร่างเล็กรีบผละออกมาจากอกแกร่งที่แสนอบอุ่น ยกมือกุมหน้าอก ก่อนจะข่มความเจ็บปวดส่งยิ้มให้สามีแล้วหันไปกล่าวกับหงส์เพลิงทางจิต "ท่านพญาหงส์เพลิงรีบไปเถิดเจ้าค่ะ"
"แล้วชายผู้นั้นเล่า?"คำพูดของหงส์เพลิงทำชิงหลินตาโตตกใจ หงส์เพลิงถึงกับส่ายหัวให้กับความขี้หลงขี้ลืมของนาง
เมื่อหงส์เพลิงนำพาหม่าเทียนอี้กลับมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ชิงหลินและสี่สหายน้อยจำต้องบอกลาสามีและทุกคน โดยหงส์เพลิงยังได้ช่วยสลายพิษ สลายวิญญาณและกับดักต่างๆให้เป็นของกำนัลแด่นางอีกด้วย เพราะชื่นชอบในความเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของนาง
"พี่จะรอเจ้าที่เรือนของเรา จงรีบกลับมาหาพี่เข้าใจรึไม่?"กล่าวสั่งพร้อมกับรวบตัวนางมากอดอีกครั้ง
"หลินเอ๋อร์จะรีบกลับเจ้าค่ะ"ตอบกลับเสียงอู้อี้แล้วนิ่วหน้าเมื่อถูกความเจ็บปวดเล่นงานอีกครั้ง แต่ยังกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้หันไปส่งสัญญาณให้หงส์เพลิง
หงส์เพลิงเห็นท่าไม่ดี จึงทำการเร่งเร้านางให้มาหาแล้วใช้พลังพานางและสี่สหายน้อยกลับถ้ำเพลิงฟ้าทันที
"หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์!"แม่ทัพหนุ่มร้องเรียกนางพร้อมกับหมุนตัวไปรอบหนึ่ง ครั้นไม่ได้ยินนางตอบกลับมาก็ให้รู้สึกวูบโหวงในอก เฉกเช่นเดียวกับสี่องครักษ์ที่ยืนไหล่ตกหดหู่และเศร้าซึม ต่างโทษว่าเป็นความผิดของตนที่ทำให้ฮูหยินน้อยและท่านแม่ทัพต้องพลัดพรากจากกันนานถึงสี่สิบวัน
"เอ่อ..แม่ทัพมู่ จะจัดการคลังอาวุธอย่างไรดีขอรับ?"หม่าเทียนอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นบรรยากาศรอบตัวแม่ทัพหนุ่มและสี่องครักษ์อึมครึมชวนให้จิตใจหดหู่
"ข้าจะส่งสารลับถึงฝ่าบาทก่อน ในระหว่างนั้นจะจัดเวรยามทั้งกลางวันและกลางคืนเฝ้าที่นี่ไว้ ส่วนการช่วยเหลือชาวบ้านก็ดำเนินต่อไปคาดว่าจะแล้วเสร็จในสองสามวันนี้"หม่าเทียนอี้พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของแม่ทัพหนุ่ม
"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ พวกเรามีเรื่องต้องบอกท่าน"เสียงของจิ๋นอี้ ทำให้เท้าที่กำลังเดินออกไปจากถ้ำชะงักกึก คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัย
"ว่ามา"
"เรื่องของฮูหยินน้อย..."
"หลินเอ๋อร์ทำไม?"หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับองครักษ์ ใบหน้าหล่อเหลาแม้จะเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ดวงตาคมกลับสั่นไหวรุนแรง
"คนที่ช่วยท่านแม่ทัพและพวกเราหาใช่หงส์เพลิงไม่ แต่เป็นฮูหยินน้อยขอรับ"องครักษ์ที่เหลือรีบพยักหน้าช่วยยืนยันคำพูดของจิ๋นอี้
"เจ้ากำลังจะบอกว่า นางให้พวกเจ้าโกหกข้า?"
"ขอรับ"จิ๋นอี้ตอบ
"เล่ามาให้ละเอียด"แม่ทัพหนุ่มเน้นหนักทุกคำที่กล่าว เริ่มได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลเข้าอย่างจัง
"ในระหว่างการรักษา ร่างของฮูหยินน้อยมีประกายรัศมีสีฟ้าสดใสห่อหุ้มกาย แล้วไม่นานทุกคนก็ฟื้นคืนสติ ข้าไม่เคยพบเห็นการรักษาเช่นนี้มาก่อนเลยขอรับ"จิ๋นอี้รายงานเจ้านายหนุ่มไม่เข้าใจว่า เหตุใดฮูหยินน้อยต้องปิดบังท่านแม่ทัพ ทั้งที่เป็นพลังที่ช่วยพวกตนและท่านแม่ทัพไว้แท้ๆยิ่งคิดจิ๋นอี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ
คำพูดที่คล้ายจะไม่มีอะไรขององครักษ์กลับสร้างความเจ็บปวดใจแก่คนฟังอย่างมู่หลิ่งเหวินจนยืนต่อไปไม่ไหวทรุดเข่าลงกับพื้นหมดเรี่ยวแรง
"ท่านแม่ทัพ!!"ทำเอาสี่องครักษ์ตกใจคุกเข่าเบื้องหน้าเจ้านายหนุ่มส่งเสียงเรียกแทบจะพร้อมกัน
"ฮะๆๆ...ที่แท้ ที่แท้ หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์! เจ้าหงส์เพลิง! เจ้าหงส์เพลิง! คืนนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! คืนนางมาให้ข้า!...."
"ท่านแม่ทัพ!! ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพ!"จิ๋นอี้เข้ามาเขย่าตัวอีกฝ่ายที่เอาแต่ตะโกนไม่หยุดราวคนเสียสติ องครักษ์หนุ่มใจหายวาบและค่อนข้างเป็นกังวลด้วยไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพเป็นเช่นนี้มาก่อน
"ท่านแม่ทัพ!เกิดอันใดขึ้นกันแน่ขอรับ? ฮูหยินน้อยมีอันตรายหรือขอรับ?"จิ๋นเอ้อถามเสียงร้อนรน
แม่ทัพหนุ่มสูดลมเข้าแรงปรับอารมณ์ให้เป็นปกติพลางกล่าว"กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม"
"กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม?"สี่องครักษ์ทวนคำพร้อมกัน ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย
"นางสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ หนึ่งชีวิตแลกกับความเจ็บปวดที่หัวใจราวกับถูกตะปูนับหมื่นตอกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่ายาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน คราวนั้นที่นางได้ช่วยพี่ชายบุญธรรม นางเจ็บปวดจนสลบไปถึงห้าครั้ง"ปลายเสียงแม่ทัพหนุ่มสั่นอย่างชัดเจน ดวงตาคมทรงเสน่ห์แดงก่ำ ยามที่นึกถึงเหตุการณ์คราวนั้น ภาพร่างเล็กบอบบางดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เหงื่อกาฬไหลชุ่มเปียกโชกไปทั้งตัว ริมฝีปากห้อเลือด น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายแต่ไม่ยอมร้องคร่ำครวญออกมาให้ตนได้ยิน
แม่ทัพหนุ่มต้องกอดนางไว้แนบอก คิดว่าหากเป็นไปได้ก็อยากจะรับความเจ็บปวดนั้นไว้เองทั้งหมด ในช่วงเจ็ดวันนางสลบไปถึงห้าครั้ง สร้างความเจ็บปวดใจแก่เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาที่ไม่อาจช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนั้นได้
"ท่านกำลังจะบอกว่าพวกเราตาย? แล้วฮูหยินน้อยเป็นผู้ชุบชีวิต?"จิ๋นอี้ถามคล้ายกำลังรำพึงรำพันกับตนเองเสียมากกว่าใบหน้าคมเข้มตื่นตะลึงและสับสน เห็นแม่ทัพหนุ่มเงียบ จิ๋นอี้ถึงกลับเข่าทรุดกล่าวไม่ออก
"อา นั่นเท่ากับว่า ฮูหยินน้อยต้องทนเจ็บปวดทรมานนานถึงสามสิบห้าวันสามสิบห้าคืนเพราะช่วยพวกเราใช่หรือไม่?"จิ๋นซานกล่าวขึ้น
"ท่านแม่ทัพ! รีบไปตามฮูหยินน้อยกลับมากันเถิดขอรับ!"จิ๋นซื่อกล่าวเสียงดัง
"ฮึ! ตามรึ? ที่ใดเล่า?"ถ้อยคำคล้ายเย้ยหยันของจิ๋นเอ้อทำเอาจิ๋นซื่อชะงักวูบหน้าสลดลง
"แล้วจะทำเช่นไรกันดีขอรับ?"จิ๋นซื่อถามต่อ
"รอ"แม่ทัพหนุ่มตอบกลับเสียงเบาหวิวแต่กรีดใจคนฟังนัก