เมื่อพ้นประตูเมืองหลวงก็มุ่งลงใต้ทันที ขบวนที่ยิ่งใหญ่และยาวเหยียดประกอบด้วย ทหารม้าในเครื่องแบบเต็มยศถือธงหลากสีสันจำนวนห้าร้อยนาย ถัดมาคือแม่ทัพหนุ่มและองครักษ์ทั้งสี่ของมู่หลิ่งเหวิน
ต่อจากองครักษ์ทั้งสี่เป็นรถม้าของธิดาสวรรค์ ผู้ซึ่งควบตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพไร้พ่ายด้วย รอบรถม้าถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบยากที่จะเข้าถึงตัวนางได้โดยง่าย
ต่อมาเป็นรถม้าของเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย รถม้าบรรทุกคลังเสบียงหลวง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวสารอาหารแห้งและยารักษาโรคจำนวนหนึ่งร้อยคัน มีทหารม้าคอยคุ้มกันขี่ม้าประกบรถม้าทั้งสองด้าน
ต่อท้ายรถม้าขนคลังเสบียงหลวง เป็นรถม้าของผู้อพยพที่ตัดสินใจกลับบ้านเกิดพร้อมขบวนอีกกว่าหลายสิบคันที่ทางการจัดหาให้
ปิดท้ายขบวนด้วยทหารม้าอีกกว่าห้าร้อยนาย ซึ่งในทหารทั้งหมดรวมถึงคนที่ทำหน้าที่บังคับรถม้า มีกองกำลังปีศาจมู่ที่สวมใส่ชุดทหารเพื่อตบตาโจรถ่อยให้ตายใจปะปนอยู่ทั่วไป
"หลินหลิน ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?"ฟานฟานน้อยเงยหัวกลมๆเล็กๆร้องถาม
"..หมายถึง ที่ๆเราจะไปหรือ?"ชิงหลินหลุบตาย้อนถามเจ้าก้อนกลมที่นั่งอยู่บนตัก เห็นมันผงกหัวขึ้นลงถี่ๆก็อดที่จะยิ้มในความน่ารักของมันไม่ได้
"อือ...เหมือนหมู่บ้านร้าง แทบจะไร้ผู้คน ทั้งยังกันดาร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความแห้งแล้ง พื้นดินแตกระแหง น้ำท่าก็ไม่มี ภูเขาที่ควรเขียวขจี กลายเป็นภูเขาหัวโล้นไปหมดแล้ว"
"ภูเขาหัวโล้น?เป็นเช่นไรรึ?"ฟานฟานน้อยเอียงหัวกลมๆเล็กๆถาม
"อา...ก็คล้ายกับเจ้าถูกกร้อนขนจนหมดหัวนั่นแหละ อยากลองดูไหม?"ฟานฟานน้อยได้ยินถึงกับสะดุ้ง รีบกระโดดลงไปยืนบนพื้น ส่งสายตาถาม นี่..หลินหลินคงไม่คิดจะกล้อนขนมันจริงๆใช่หรือไม่?
"ข้าล้อเจ้าเล่น ใครจะกล้าทำอย่างนั้นกันเล่า?"ชิงหลินขำจนน้ำตาเล็ดเมื่อเห็นเจ้าตัวดีกระโดดหนีทันทีที่พูดจบ จนเผลอหัวเราะออกมาส่วน ฟงฟงน้อย เป่าเปาน้อยและหมั่นโถวน้อยจอมขี้แย ที่นอนหมอบอยู่ข้างหลินหลิน แอบลอบหัวเราะขบขันกับอาการกระต่ายตื่นตูมของหัวหน้า
เสียงหัวเราะกังวานใสของสตรีที่นั่งในรถม้า ทำเอาหมายเลขสามและหมายเลขสี่แห่งกองกำลังหลิ่งหลินที่ขี่ม้าประกบทั้งสองด้านของรถม้า เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น มู่หลิ่งเหวินสั่งให้หน่วยสอดแนมไปดูลาดเลาเส้นทางการเดินทางก่อนเสมอถ้าเจอแหล่งน้ำก็สั่งให้หยุดพักเอาแรง
ได้ยินเสียงสั่งให้หยุดพักชิงหลินจึงลงจากรถม้า บิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยขบแล้วชะงัก เมื่อเห็นสายตาหลายสิบคู่กำลังจับจ้องอยู่จึงส่งยิ้มให้แก้เขิน แต่ต้องหุบยิ้มฉับเมื่อสบเข้ากับสายตาคมกริบราวกับใบมีดพร้อมกับใบหน้าเรียบตึงของสามี พอได้สติจึงส่งยิ้มแห้งให้อย่างสำนึกผิดที่เผลอทำกิริยาอันไม่เหมาะไม่ควรในที่สาธารณะ
"มองอะไรกัน!? ไปตั้งค่ายพักแรมได้แล้ว!"เดินเข้ามาจับมือนางไว้แน่นจากนั้นหันไปตวาดเจ้าพวกน่าตายเสียงดังลั่น เป็นเหตุให้เหล่ายอดฝีมือรีบสลายตัวหายวับไปจากตรงนั้นราวกับภูตผี
"ส่วนเจ้า! ตามพี่มา"เมื่อไล่เจ้าพวกน่าตายไปหมดแล้วจึงหันกลับมากดเสียงเข้มกับร่างเล็กบอบบางที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ
"ไปไหนเจ้าคะ?"พยายามขืนตัวพลางส่งเสียงถาม ซึ่งบัดนี้สองสาวใช้ได้ลงมายืนอยู่ด้านหลังนางเรียบร้อยแล้ว ส่วนสี่สหายน้อยพอกระโดดลงจากรถม้าได้ก็พากันไปสำรวจพื้นที่โดยรอบทันทีราวกับเป็นนักสืบ
"ชุดของฮูหยินน้อยอยู่ที่ใด?"คนถูกถามไม่ตอบแต่หันไปถามสองสาวใช้แทน
"อยู่นี่เจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้นำห่อผ้ายื่นออกมาเบื้องหน้าท่านแม่ทัพ
"ไปเถิด"รับห่อผ้ามาถือไว้ จับจูงมือเรียวเล็กให้ตามตนไป
"พวกเจ้าอยู่นี่ไม่ต้องตามไป"เมื่อเห็นสองสาวใช้ทำท่าจะเดินตาม ร่างสูงหยุดกึกหันมากล่าวกับสองสาวใช้เสียงเข้ม
"..เจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ยตอบรับพร้อมกัน
"จะพาหลินเอ๋อร์ไปอาบน้ำหรือ?"เอ่ยถามสาวเท้าก้าวตามสามีไม่หยุด
"...อืม"
"พี่เหวินจะอาบด้วยหรือไม่?"
"..อืม"
"แล้วคืนนี้...จะไม่นอน..กับหลินเอ๋อร์..ใช่หรือไม่?"แกล้งถามยั่วสามีที่เอาแต่ตอบ อืมๆ และก็ได้ผล เพราะนางเห็นร่างสูงชะงักวูบแล้วเริ่มเดินต่อ
"ตกลงว่า..คืนนี้หลินเอ๋อร์คงต้องนอนคนเดียว?"แกล้งพูดย้ำขึ้นลอยๆ ดวงตากลมโตเหลือบมองอีกฝ่ายไปด้วย
"ฝันไปเถิด"ชิงหลินยิ้มกว้างเมื่อสามีหมุนกายกลับมากล่าวในสิ่งที่ตรงข้ามกับใบหน้าที่บูดบึ้ง
"หึงหรือเจ้าคะ?"แซวเขาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
"ฮึ!..หากพี่ทำเช่นนี้บ้างเล่า?"
"ย่อมได้เจ้าคะแค่ยิ้มจะเป็นไรไป แต่หากนอกใจข้าล่ะก็..."ประโยคหลังยึดจับอาภรณ์บริเวณอกแกร่งเขย่งปลายเท้าขึ้น ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูของสามีแล้วกระซิบด้วยเสียงที่คนฟังต้องลอบกลืนน้ำลาย
"..ข้าจะตัดแล้วโยนให้เป็ดกินซะเลย "ถ้อยคำนั้นทำแม่ทัพหนุ่มเสียววูบกว่าจะรู้ตัวร่างเล็กบอบบางก็เดินไปไกลแล้ว
เมื่อผ่านแนวพุ่มไม้เข้ามาราวสิบเมตร ชิงหลินก็พบเข้ากับน้ำตกเล็กๆความสูงประมาณหกเจ็ดเมตรเห็นจะได้ ด้านหน้าน้ำตกเป็นแอ่งน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ใสสสะอาดจนเห็นพื้นดินใต้น้ำ และฝูงปลาเล็กๆที่แหวกว่ายไปมาได้อย่างชัดเจน
นางยิ้มพอใจหันไปมองยังทิศทางที่เดินจากมา ก็เห็นสามีเดินยิ้มตรงเข้ามายังจุดที่นางยืนอยู่ "หลินเอ๋อร์ จะอาบน้ำ รบกวนพี่เหวินหลบไปก่อนได้ไหมเจ้าคะ?"บอกเขา แม้จะเคยอาบน้ำด้วยกันมาแล้วแต่จะให้เปลื้องผ้าต่อหน้าผู้ชายที่แม้จะเป็นสามีมันก็อายอยู่ดี
"หึๆ..พี่ขอปฏิเสธ"
"งั้นช่วยหันหลังไปหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?"
"..ย่อมได้"กล่าวพร้อมกับหันหลังให้สองแขนไขว้กันในลักษณะกอดอก
"อย่าพึ่งหันมานะเจ้าคะ"ชิงหลินย้ำพร้อมรีบปลดชุดออกจนเหลือเพียงเอี๊ยมชั้นในสีขาวกับกางเกงซับในตัวยาวถึงตาตุ่มสีเดียวกัน แล้วพาตัวเองลงไปในน้ำจนมิดเสมอคอเรียว ว่ายพาตัวเองไปหลบอยู่ข้างก้อนหินขนาดใหญ่ข้างน้ำตกหลบสายตาของสามีที่อาจคิดพิเรนทร์หาเรื่องแกล้งนาง
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำ ดวงตากลมโตมีอันต้องเบิกกว้าง เมื่อร่างสูงใหญ่ของสามีโผล่พรวดขึ้นมาตรงหน้าด้วยความลึกเพียงอกแกร่งและน้ำที่ใสแจ๋ว ทำให้นางรู้ว่า ชายหนุ่มที่งามล่มเมืองล่มแคว้นรูปร่างสมบูรณ์แบบราวกับสวรรค์ปั้นแต่งคนนี้กำลังเปลือยอยู่!
"หึๆ..เป็นอันใดไป? มีไข้หรือ?"ไม่พูดเปล่ากลับพาตัวเองมาจนใกล้ ฉวยโอกาสยามที่นางยังตกใจวางหลังมือบนหน้าผากกลมมนสองสามครั้ง จากนั้นก็จับคางเรียวได้รูปขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่มืออีกข้างที่อยู่ใต้น้ำรั้งเอวคอดกิ่วของนางเข้าหาร่างแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามของตนอย่างเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไป จนร่างทั้งสองแนบสนิทไม่เหลือช่องว่างให้มดผ่านไปได้
ซึ่งกว่าชิงหลินจะรู้สึกตัวก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของสามีเสียแล้ว นางกรอกตามองเขาอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะเริ่มดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์หมิ่นเหม่เรทอาร์ 20+
แต่แล้วก็ต้องหน้าแดงเป็นลูกตำลึง เมื่อการดิ้นรนของนางกลับไปกระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าของสามีเข้า จึงรีบหยุดการกระทำของตัวเองด้วยการยืนหวังให้เขาระงับอารมณ์ปรารถนาไว้ก่อนไม่งาบนางตอนนี้
"สายไปแล้ว"คำเพียงสามคำแต่กลับทำนางสั่นสะเทือนไปทั้งใจ ร่างกายแข็งทื่อจนขยับเขยื้อนไม่ได้ สายธารที่ค่อนข้างเย็น บัดนี้ไม่อาจสู้แรงปรารถนาของบุรุษรูปงามได้เลย แรงปรารถนาที่ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟนรก กำลังเผาผลาญร่างเล็กบอบบางให้มอดไหม้
"เอ่อ..พี่เหวิน..อื้อ..."ไม่รอให้นางได้ปฏิเสธริมฝีปากหนาได้รูปก็บดขยี้ริมฝีปากอวบอิ่มฉ่ำน้ำอย่างเร้าร้อนเต็มไปด้วยอารมณ์รักใคร่ สองมือลูบไล้เล้าโลมแผ่นหลังเนียนละเอียดขาวผ่องราวหิมะในวสันต์ฤดูด้วยแรงเสน่หา
แม้ใจอยากจะต่อต้านเพียงใดแต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม กระทั่งถูกดันจนแผ่นหลังแบบบางสัมผัสกับโขดหินร่างใหญ่ตามติดประกบแนบชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เอี๊ยมตัวจิ๋วและกางเกงซับในบางเบาหลุดออกไปจากร่างเล็กบอบบางตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ ยามนี้ร่างที่งดงามขาวผ่องราวหิมะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิดกาย เฉกเช่นเดียวกับร่างใหญ่กำยำของสามี
มือหนาข้างหนึ่งรองรับศีรษะนางไว้ ส่วนอีกข้างลากไล้เรื่อยจากลำคอระหงที่อยู่เหนือน้ำ ระเรื่อยลงมาจนถึงปทุมถันคู่งามนุ่มหยุ่น นิ้วหัวแม่มือสากลากไล้แผ่วเบาที่ยอดถันอย่างหยอกเอิน ที่เหลือกอบกุมคลึงเคล้นแรงเบาสลับกันไปมา เพราะเป็นจุดที่ไวต่อการสัมผัส ทำให้ร่างเล็กบอบบางเก็บอาการเสียวซ่านไว้ไม่อยู่เผลอครางออกมาแอ่นกายขึ้นสู้มืออีกฝ่าย
ปฏิกิริยาจากร่างเล็กบอบบาง กอปรกับใบหน้าจิ้มลิ้มที่แดงก่ำช่วยกระพือโหมไฟแห่งความปรารถนาในกายของแม่ทัพหนุ่มให้ลุกโชนจนถึงขีดสุดไม่อาจหยุดไว้ได้
ท่อนขาแข็งแรงกดแทรกเข้ามาแยกท่อนขาเรียวออกจากกัน ชิงหลินพลันได้สติกระถดกายหนี แต่ร่างใหญ่กำยำก็ตามประกบติดไม่ยอมแพ้ขยับเขยื้อนเคลื่อนแก่นกายเข้าครอบครองความหอมหวานได้เป็นผลสำเร็จ....
สุดท้าย...ชัยชนะก็ตกเป็นของแม่ทัพหนุ่มเฉกเช่นทุกครั้ง หลังจากบทรักที่เร่าร้อนจบลง เขาก็ช่วยนางอาบน้ำเป็นการตอบแทน แต่พอได้สัมผัสผิวนุ่มนิ่ม นุ่มลื่นราวกับหยกชั้นดีของนางกายแกร่งก็แข็งเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง
"หลินเอ๋อร์ หนาวแล้ว"ชิงหลินรีบออกตัว เมื่อเห็นสายตาหวานเยิ้มจากใบหน้าหล่อเหลา มือที่เริ่มจะซุกซนลูบไล้เพื่อปลุกอารมณ์มากกว่าจะช่วยอาบน้ำอย่างที่เขาบอก
"ก็ได้ "มู่หลิ่งเหวินถอนใจแรงที่ถูกห้ามตามใจนางอย่างเสียไม่ได้ อีกอย่างก็เกรงว่าหากแช่น้ำนานไปนางอาจป่วยได้ ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีกับตนเลยในภายหน้า
------
เมืองชานตง ยามซื่อวันที่สิบสี่ของการเดินทาง
"ท่านแม่ทัพ ข้างหน้าคือเมืองชานตงขอรับ"จิ๋นซานรายงานแม่ทัพหนุ่มพร้อมกับชี้ไปข้างหน้า
"ดี.."ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มบางเบาจนแทบจะนับเป็นรอยยิ้มไม่ได้ที่ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย
ที่ประตูเมืองชานตง มีทหารเพียงสองนายเฝ้ายามอยู่ ทั้งสองมีท่าทางเซื่องซึมหมดอาลัยตายอยาก ไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณ พอทั้งสองเห็นขบวนใหญ่โตกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกตน หนึ่งในสองก็ลุกลี้ลุกลนวิ่งเข้าไปข้างในรายงานให้เจ้าเมืองทราบ
เมื่อขบวนคลังเสบียงหลวง นำโดยแม่ทัพไร้พ่ายมาถึงหน้าประตู ก็เป็นเวลาเดียวกับเจ้าเมืองชานตงและเหล่าขุนนางออกมายืนต้อนรับแม่ทัพหนุ่มอย่างพร้อมเพรียง
"ฮ่าๆๆท่านแม่ทัพ ยินดีต้อนรับสู่เมืองชานตง"หานซือเฉิงหัวเราะเสียงดังอย่างน่ารังเกียจในสายตาแม่ทัพหนุ่ม
หานซือเฉิง ได้รับราชโองการให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองชานตงเป็นการชั่วคราวได้สามปีกว่าแล้ว แทนอ๋องเจ็ด ฉีอี้เฉิน ที่สิ้นพระชนม์กะทันหัน ทำให้เมืองชานตงปั่นป่วนเสนาบดีหานหนิงเฉิงจึงถือโอกาสทูลเสนอให้ หานซือเฉิง ซึ่งเป็นขุนนางติดตามรับใช้อ๋องเจ็ดมานาน ซ้ำยังรอบรู้เกี่ยวกับเมืองชานตงมากกว่าขุนนางอื่นขึ้นเป็นเจ้าเมือง
ในเวลานั้นฉีเฉินหลงฮ่องเต้ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า จึงตัดสินพระทัยร่างราชโองการให้หานซือเฉิงดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองชานตงชั่วคราว จนกว่าจะพบผู้ที่เหมาะสมกว่าหรือเชื้อพระวงศ์ที่พร้อมจะทำหน้าที่นี้จึงค่อยแต่งตั้งต่อไป
หานซือเฉิง เป็นขุนนางกังฉินเจ้าเล่ห์เพทุบาย ละโมบโลภมากเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม พอเข้ามารับตำแหน่งแทนที่จะลดภาษีกลับเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำและชาวนาเดือดร้อนแสนสาหัส โดยเฉพาะชาวอำเภอเฟิ่งกู่และชิงไห่ที่เป็นดังอู่ข้าวอู่น้ำให้ขุนนางกังฉินสูบกิน ทั้งที่ทำนาปลูกข้าวแต่กลับไม่เหลือแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ
เคราะห์หามกรรมซัด กลับต้องมาประสบกับภัยแล้งไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้เช่นทุกปี ผืนดินเริ่มแตกระแหง น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเริ่มแห้งขอด ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยว ยืนต้นตาย แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็เริ่มอดอยากและเริ่มล้มตายไปทีละตัว
นั่นคือสิ่งที่มู่หลิ่งเหวินได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมที่สั่งให้มาสืบข่าวล่วงหน้า
"ขอบคุณท่านเจ้าเมือง ที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่า มาต้อนรับข้าด้วยตนเอง"มู่หลิ่งเหวินกระโดดลงจากหลังอาชาศึก ประสานมือกล่าวตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"ฮ่าๆๆแม่ทัพใหญ่มาเองเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะละเลยได้ เชิญๆ ข้าได้เตรียมสุราอาหารไว้เพื่อท่านพร้อมแล้ว เชิญตามมาทางนี้เถิด"แม้จะไม่พอใจกับท่าทางโอหังอวดดีของแม่ทัพหนุ่ม แต่หานซือเฉิงก็ทำอันใดไม่ได้ ด้วยเจ้าแม่ทัพอวดดีผู้นี้เป็นตัวแทนของฝ่าบาทนำเสบียงมาแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ดังนั้นตนควรประจบเอาใจให้มากหน่อยเพื่อผลประโยชน์ในภายหน้า
"ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านเจ้าเมือง แต่ชาวบ้านกำลังรออยู่ ข้าขอตัว"แม่ทัพหนุ่มไม่ยินดีกับคำพูดประจบสอพลอของอีกฝ่าย หมุนกายสูงดีดตัวขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้าทาเสว่ ปรายตามองขุนนางกังฉินที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แล้วกระทุ้งสีข้างเจ้าทาเสว่มุ่งหน้าไปยังอำเภอเฟิ่งกู่ ไม่ใส่ใจเจ้าเมืองกังฉินและเหล่าขุนนางท้องถิ่นที่ยืนหน้าแดงด้วยความอับอายที่ถูกหักหน้า
"ฮึ่ม ช่างโอหังนัก กลับ!!"หานซือเฉิงสบถเสียงดัง สะบัดแขนเสื้ออย่างเดือดดาล เดินไปขึ้นเกี้ยวสี่คนหาม มุ่งหน้ากลับจวนเจ้าเมืองทันทีมีเหล่าขุนนางอีกหลายคนวิ่งตามเกี้ยวไปติดๆ
ทางด้านชิงหลินที่ไม่รู้เรื่องราวเลิกม่านหน้าต่างขึ้นดูทิวทัศน์ด้านนอกที่รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง ตลอดเวลานางนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในรถม้าตามคำขอของสามี แม้จะไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ยอมทำตามโดยดี
"หลินหลิน อีกไกลแค่ไหน?"ฟานฟานน้อยที่นอนอยู่บนตักนุ่มเงยหัวกลมๆเล็กๆถาม มันเริ่มเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งๆนอนๆหลายวันติดต่อกันเวลาวิ่งเล่นก็แสนจะน้อยนิด
"อืม...คงซักพรุ่งนี้เช้า น่าจะถึงอำเภอเฟิ่งกู่ อดทนหน่อยนะ"ยิ้มตอบ
"น้องเล็ก เจ้าเหนื่อยแล้วรึ?"ฟงฟงน้อยเย้าเจ้าน้องชายจอมโอ้อวด
"พี่รองอย่าพูดเหลวไหล ข้ารึจะเหนื่อย"ฟานฟานน้อยยืดตัวแล้วเชิดหัวกลมๆเล็กๆขึ้นอย่างเย่อหยิ่งและอวดดี แต่รถม้ากำลังเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็วทำให้ตัวกลมป้อมของมันโคลงเคลงไปมา ขาทั้งสี่ที่ยืนอยู่บนท่อนขานุ่มนิ่มราวกับเต้าหู้ของหลินหลินสั่นจนชิงหลินรู้สึกได้ นางไม่อยากเห็นฟานฟานน้อยเสียหน้าหล่นลงไปหงายท้อง จึงอุ้มมันวางข้างตัวเองและทันได้เห็นเจ้าตัวดีถอนใจออกมาคล้ายกับโล่งอก ทำเอานางอดยิ้มขบขันกับความอวดเก่งของเจ้าตัวดีไม่ได้
"น้องเล็ก หากเจ้าเหนื่อยก็พักสักนิดเถิด"เป่าเปาน้อยร้องบอกหมั่นโถวน้อย
"ข้าทราบแล้วพี่ใหญ่"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยร้องตอบ แล้วปีนขึ้นไปบนตักนุ่มนิ่มของหลินหลิน ส่งสายตาฉ่ำน้ำเต็มไปด้วยการขอร้องแลออดอ้อนอยู่ในที ให้หัวหน้าที่ยืนมองตาขุ่นอยู่ใกล้ๆ
เจ้าพยัคฆ์น้อยแม้จะขุ่นเคืองใจที่ถูกแย่งที่ประจำ แต่พอเห็นสายตาออดอ้อนน่าสงสารของเจ้าจิ้งจอกน้อยจอมขี้แย มันจึงต้องจำใจยอมทำตัวให้เป็นพยัคฆ์ใจกว้างอย่างไม่ใคร่เต็มใจ
ฟงฟงน้อยหันมาสบตาเป่าเปาน้อยพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจระคนอิจฉาเล็กๆ ความจริงพวกมันเองก็อยากจะนอนบนตักอบอุ่น นุ่มนิ่มและยังหอมกรุ่นของหลินหลินเหมือนกันแต่ก็ต้องหักห้ามใจเพราะกลัวผิดใจกับเจ้าของตักอบอุ่นนั่น
"หลินหลินจะอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนขอรับ?"ฟงฟงน้อยร้องถามนาง
"อืม...เรื่องนั้น...ยังบอกไม่ได้ ต้องดูสถานการณ์ก่อน"มือเรียวลูบตัวเจ้าหมั่นโถวน้อยจนมันหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มในรสสัมผัสแสนอบอุ่น เท่าที่ใช้ปราณพลังจิตดูนางคิดว่าคงราวๆหนึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ เพราะภัยแล้งที่เห็นค่อนข้างรุนแรงมาก นางคิดว่าจะอยู่ช่วยจนกว่าพวกเขาจะลืมตาอ้าปากได้แล้วค่อยกลับเมืองหลวง
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น นับแต่ผ่านประตูเมืองชานตงเข้ามา ตลอดสองฝั่งถนนมีชาวบ้านพากันออกมาดูมากมาย จนกระทั่ง
"มีอะไรหรือสอง?"ชิงหลินเลิกม่านถามหมายเลขสองเมื่อรถม้าหยุดอีกครั้ง หลังจากออกเดินทางมาได้ราวครึ่งชั่วยามเท่านั้น
"เรียนฮูหยินน้อย ดูเหมือนจะมีชาวบ้านมาร้องเรียนกับท่านแม่ทัพขอรับ"หมายเลขสองก้มศีรษะลงรายงานฮูหยินน้อย
"ร้องเรียน?"
"ขอรับ ฮูหยินน้อยจะทำอันใดขอรับ?"หมายเลขสองรีบกระโดดลงจากม้าขวางนาง
"อย่าคิดห้ามเสียให้ยาก เป็นห่วงนักก็ตามมาแล้วกัน"ชิงหลินรีบโบกมือห้ามทำให้หมายเลขสองถอยหลบทางให้นางอย่างจำใจ
หมายเลขหนึ่งเห็นเข้าจึงกระโดดลงจากม้าเดินมาตบบ่าหมายเลขสอง แล้วก้าวยาวๆตามฮูหยินน้อยไปด้านหน้าขบวน
ที่ด้านหน้าขบวนมู่หลิ่งเหวินยืนสองมือไขว้กันอยู่ข้างหลัง ที่นั่งคุกเข่ากับพื้นอยู่เบื้องหน้าคือกลุ่มชาวบ้านที่มารวมตัวกัน กะด้วยสายตาน่าจะมากกว่าห้าร้อยคนและกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
"พี่เหวิน คนพวกนี้....."เดินมายืนข้างสามีกวาดสายตามองชาวบ้านที่อยู่ข้างหน้าด้วยความสนใจใคร่รู้ ใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นดูอมทุกข์และเศร้าหมอง คล้ายคนที่กำลังทุกข์ใจอย่างหนัก แล้วยังมีความอัดอั้นตันใจออกมาทางแววตาอีกด้วย
"หลินเอ๋อร์ พี่สั่งให้เจ้าอยู่ในรถม้ามิใช่หรือ?"แม่ทัพหนุ่มทำเสียงดุใส่ร่างเล็กบอบบาง แต่กลับส่งสายตาคาดโทษไปให้สองผู้คุ้มกันของนาง
"ขออภัยขอรับ"หมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองกล่าวขออภัยพร้อมกับโค้งคำนับ
"อย่าไปโทษพวกเขาเลยเจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์อยากลงมาเอง"นางรีบออกตัวปกป้องสองผู้คุ้มกันส่วนตัว
"เจ้านี่นะ"แม่ทัพหนุ่มยิ้มบางเบาวางมือบนศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ที่จ้องมองอย่างประหลาดใจปนอึ้ง เพราะบรรยากาศกดดันผู้คนหายไปทันทีที่สตรีผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามปรากฏกายขึ้น
"จิ๋นอี้"เรียกองครักษ์คนสนิท
"ขอรับ ท่านแม่ทัพ"จิ๋นอี้ก้าวออกมารอรับคำสั่ง
"แจกจ่ายเสบียง"
"อา...ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณท่านแม่ทัพๆๆ"เสียงโห่ร้องตะโกนขอบคุณจากชาวบ้านดังกึกก้องไปทั่วใบหน้าอมทุกข์เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มยินดี
ชาวบ้านที่มาต่อแถวรับเสบียง แปดในสิบคือชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองชานตง อีกสองส่วนมาจากอำเภอรอบๆ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงอำเภอเฟิ่งกู่และอำเภอชิงไห่
ในขณะที่ทหารกำลังแจกจ่ายเสบียง ชิงหลินที่ถูกไล่ออกมาไม่รู้จะทำอะไร จึงเดินสำรวจบริเวณโดยรอบพร้อมสี่สหายน้อยและกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบ
จากคำบอกเล่าของหมายเลขเจ็ด จุดนี้ถือเป็นจุดที่เจริญที่สุดของเมืองชานตง มีผู้คนอาศัยอยู่ค่อนข้างหนาแน่น แต่พอเกิดภัยแล้งสามปีติดต่อกัน เมืองที่เคยคึกคักมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่สิ่งที่นางเห็นมันตรงข้ามกับคำบอกเล่าของหมายเลขเจ็ดอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นเรื่องจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นจนแออัดยัดเยียดเต็มไปด้วยผู้อพยพและขอทาน
บางกลุ่มได้ตัดสินใจเดินทางไปเมืองหลวงหางานทำ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางและสามีมาอยู่ที่นี่
การแจกจ่ายเสบียงเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากต้องการเห็นชาวบ้านลืมตาอ้าปากมีชีวิตที่ดีขึ้นได้นั้นจำต้องแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งชิงหลินคิดว่าต้องเริ่มจากการหาแหล่งน้ำใต้ดินเช่นที่ทำที่อำเภอเฟิ่งกู่
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางรีบกลับเข้าไปในรถม้าแล้วใช้ปราณพลังจิตหาตาน้ำใต้ดินแถวนี้ก่อน โดยได้เหล่ามด ปลวก ไส้เดือน ช่วยค้นหาเช่นเดิม
ผ่านไปราวสองเค่อมู่หลิ่งเหวินเห็นผิดสังเกตจึงเดินมาดูด้วยความห่วงใย เป็นจังหวะเดียวกับที่นางลืมตาขึ้นมาพอดี
"พี่เหวิน หลินเอ๋อร์พบตาน้ำขนาดใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เจ้าค่ะ"บอกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตากลมโตเป็นประกายยินดี
"หือ?..ตาน้ำ?"คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย ก้าวขึ้นมานั่งเคียงข้างนางในรถม้า โอบศีรษะเล็กมาซบไหล่ตน
"เอ๊ะ...ไม่รู้จักตาน้ำหรือเจ้าคะ?"เงยหน้าถามดวงตากลมโตมีประกายล้อเลียน
"...พี่รอฟังอยู่"แม่ทัพหนุ่มบีบจมูกเล็กของนางด้วยความมันเขี้ยว นี่นางถึงขนาดกล้าล้อเลียนสามี? หึๆ สมกับเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพ
"...ตาน้ำ ก็คือ ทางน้ำใต้ดินที่มีน้ำไหลไม่ขาดสายเจ้าค่ะ"ปัดมือสามีออกอย่างแง่งอน แล้วจึงอธิบายความหมายให้ฟัง
"....แหล่งน้ำใต้ดินสินะ"
"จะเรียกอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ"
"หากมีแหล่งน้ำที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี คงช่วยชาวบ้านได้มาก เพราะยามนี้ เริ่มจะมีปัญหาการขาดแคลนน้ำแล้ว"
"ตาน้ำใต้ดินนี้ อยู่ลึกลงไปราวห้าเมตร อยู่ทางทิศประจิม(ตะวันตก) ขอยืมทหารกล้าของพี่เหวินสักสิบคนได้ไหมเจ้าคะ?"
"...คิดจะใช้ทหารกล้าของพี่ไปขุดดินหรือ? หือ?"แม่ทัพหนุ่มจุมพิตที่หน้าผากกลมมน รู้สึกพึงพอใจกับความใจดีของนางยิ่งนัก
"ฉวยโอกาสตลอดเลยนะเจ้าคะ หลินเอ๋อร์ไปทำงานดีกว่า"
"หึๆเช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด"