webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ตอนที่ 4 เฟิสต์คิสที่แสนอุกอาจ

ยามไฮ่ ณ จวนแม่ทัพไร้พ่าย

"ท่านแม่ทัพ" จางมู่หลงเดินเข้ามาในห้องหนังสือ

มู่หลิ่งเหวินละสายตาจากแผนที่ เงยหน้ามององครักษ์ของตนพร้อมกับพิงพนักเก้าอี้ "ได้ความว่าอย่างไร"

"หลังจากออกมาจากสกุลชิง ท่านชิงและคุณหนูชิงพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกห้าคนก็มุ่งหน้าไปคอกสัตว์ของสกุลชิงทันที เพียงแต่ครานี้คุณหนูชิงขี่ม้าไปเอง ไม่ได้นั่งรถม้าเช่นเคยขอรับ" ด้วยมีงานด่วนจึงทำให้เขาต้องยกเลิกการไปเยือนคอกสัตว์ของสกุลชิง ช่างน่าเสียดายนัก เพราะจางมู่หลงเองก็ชื่นชอบม้าเช่นเดียวกัน

"หือ? เช่นนั้นหรือ" น่าสงสัยจริงๆ เท่าที่รู้มานางขี่ม้าไม่เป็นและเกลียดกลัวสัตว์ยิ่งนัก "ข้ารู้แล้ว เจ้าไปพักเถิด" เอ่ยจบก็โบกมือไล่อีกฝ่าย

"ขอรับ"

เมื่อจางมู่หลงจากไป ร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่างเอาสองมือไพล่หลัง ดวงตาคมทรงเสน่ห์เหม่อมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มบางๆ อย่างเจ้าเล่ห์

จางมู่หลงหันไปมองเรือนที่จากมาพลางถอนใจแรงด้วยความเห็นใจ แม่ทัพหนุ่มซึ่งมีฉายาว่า 'แม่ทัพไร้พ่าย' มีคามสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ สตรีน้อยใหญ่ทั่วแคว้นต่างหลงใหลหมายปอง กลับถูกคู่หมายที่ตนชิงชังหมางเมินและเย็นชาใส่ อีกทั้งยังแสดงอาการไม่อยากอยู่ใกล้ต่อหน้าบุรุษอื่น ท่านแม่ทัพคงโมโหจนแทบคลั่งกระมังที่ถูกนางหักหน้า

'อา...ดูเหมือนนางจะเปลี่ยนไปแล้ว'

ล่วงเข้ายามจื่อ[1] หลังเสร็จงานต่างๆ แล้ว เฟิ่งอิงก็ล้มตัวลงนอนแต่กลับนอนไม่หลับ จึงเดินออกมารับลมภายในคฤหาสน์สกุลชิง จนมาถึงศาลาริมสระบัว ร่างสูงชะงักเมื่อเห็นสตรีร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดตายืนเอามือไพล่หลังอยู่บนแผ่นไม้ที่ยื่นออกไปในสระบัว ผมยาวถูกปล่อย ทั้งยังไร้เครื่องประดับตกแต่ง ดวงหน้าน้อยๆ เหม่อมองจันทร์เต็มดวง ร่างสูงมองนางด้วยสายตาอ่านยากก่อนจะรีบสลัดอารมณ์บางอย่างออกไป

"คุณหนู ดึกแล้วไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่นาน"

ร่างเล็กที่อยู่ในภวังค์สะดุ้งตกใจ รีบร้อนหันมาจนเท้าสะดุดกับแผ่นไม้ทำท่าจะหงายหลังตกสระบัว "วะ...ว้าย...แม่!" นางเผลออุทานออกมาเสียงดัง

"คุณหนู เป็นอันใดหรือไม่ขอรับ"

เสียงแหบพร่าของเฟิ่งอิงทำให้ชิงหลินได้สติ จึงเงยหน้าจิ้มลิ้มขึ้นมองแล้วต้องชะงักหน้าแดง เมื่อเห็นว่าตนตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของร่างใหญ่ "เอ่อ...ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านมาก" มือน้อยผลักอกเขาเบาๆ พลางก้มหน้าต่ำ

"ล่วงเกินคุณหนูแล้ว ขออภัยขอรับ" เฟิ่งอิงรีบปล่อยร่างบางด้วยเกรงว่านางจะเสื่อมเสียชื่อเสียง หากบ่าวไพร่มาเห็น

"ล่วงเกินอะไรกัน อย่าคิดมากเลย ท่านช่วยข้าไว้ต่างหาก ฮะ...ฮัดเช่ย" อากาศที่เย็นลงทำให้ชิงหลินจามออกมา เฟิ่งอิงจึงปลดผ้าคลุมของตนยื่นให้นาง

"ขอบคุณสำหรับผ้าคลุม ราตรีสวัสดิ์" กล่าวจบก็วิ่งกลับเรือนทันที ปล่อยให้เฟิ่งอิงยืนมองส่งจนร่างบางที่สวมผ้าคลุมตัวใหญ่หายไปจากคลองจักษุ จึงหันกลับมามองพระจันทร์ด้วยสายตาล้ำลึก

หลายวันต่อมา

"คุณหนู บ่าวเตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เชิญคุณหนูตรวจดูก่อนเจ้าค่ะ" เสี่ยวอี้รายงานเสียงใส

ชิงหลินผละจากตำรารวมสารพัดสัตว์อย่างเกียจคร้านด้วยไม่อยากไปจวนสกุลมู่ นางรู้จากเสี่ยวอี้ว่าทุกๆ เดือนชิงหลินจะต้องไปเยือนจวนเสนาบดีมู่เพื่อเตรียมความพร้อม เมื่อแต่งเข้าสกุลมู่แล้วจะได้ไม่ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ นั่นคือเหตุผลของผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูล แต่ความจริงเพื่อให้ชิงหลินได้มีโอกาสใกล้ชิดมู่หลิ่งเหวินที่เอาแต่บ่ายเบี่ยงนางมาตลอดหลายปี

"ยกเลิกได้หรือไม่" หญิงสาวเอ่ยถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ

"ทำเช่นนั้นไม่ได้" ชิงฮูหยินตอบพลางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตามด้วยบ่าวรับใช้หญิงอีกสองคน

"ท่านแม่" ร่างเล็กลุกขึ้นโอบกอดเอวของมารดา ซบหน้าน้อยๆ กับอก ออดอ้อนราวเด็กน้อย "ลูกไม่อยากไป ไปแต่ละครั้งก็กินเวลาตั้งเจ็ดวัน ลูกคิดถึงท่านแม่เจ้าค่ะ"

"เจ้านี่...ทุกทีเห็นรีบร้อนอยากไป เหตุใดคราวนี้จึงอ้างว่าคิดถึงแม่กันเล่า" ชิงฮูหยินอมยิ้ม ลูบผมบุตรีด้วยความรักใคร่

"ก็ลูกเบื่อ ไม่อยากไปแล้วนี่เจ้าคะ" นางเผลอทำแก้มป่องใส่มารดา จนชิงฮูหยินหยิกแก้มใสนั้นอย่างมันเขี้ยว

"โอ๊ย! ท่านแม่ ลูกเจ็บนะเจ้าคะ" แกล้งร้องเสียงดังทั้งที่ไม่ได้เจ็บมากอย่างที่แสดงออก ชิงฮูหยินที่รู้เท่าทันได้แต่ส่ายหน้าระอากับความเจ้าเล่ห์ของบุตรี

"เตรียมการพร้อมแล้วหรือ" ชิงหยวนผู้เป็นบิดาเดินอมยิ้มเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ตามติดด้วยเฟิ่งอิง คนสนิท ผู้ได้รับฉายาจากชิงหลินซึ่งแอบตั้งให้ว่าบุรุษหน้าเดียว เพราะไม่ว่าจะโกรธ โมโห ดีใจ หรือตื่นเต้น นางก็เห็นเขาทำหน้านิ่งคล้ายหุ่นยนต์ ผู้คุ้มกันหนุ่มยืนคุ้มกันอยู่ที่ด้านหน้าประตู แต่ก็เหลือบมองเข้ามาครั้งหนึ่งแล้วไม่สนใจอีก

"เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ว่าครั้งนี้ลูกไม่อยากไปเลย ยกเลิกได้หรือไม่เจ้าคะ" นางหันมาอ้อนบิดาแทน ทั้งยังส่งสายตาวิงวอนดั่งกวางน้อยร้องขอชีวิต เห็นท่าทีจริงจังของบุตรีแล้วชิงหยวนก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ พอหันไปทางฮูหยินของตนก็เห็นนางเพียงส่งยิ้ม พร้อมกับส่ายหน้าไม่ขอออกความเห็น

เขาหันมาถามบุตรี "เหตุผลคือ?"

"เอ่อ...ลูกเพิ่งตระหนักว่าแม่ทัพมู่ไม่ปรารถนาในตัวลูก แต่เป็นลูกเองที่ดึงดันดื้อรั้น ไม่เคยใส่ใจในความหวังดีของท่านพ่อกับท่านแม่ที่พร่ำเตือนมาตลอด ลูกขออภัยนะเจ้าคะ" ชิงหลินกล่าวขอโทษทั้งสองคน "ลูกอยากยกเลิกสัญญาการเป็นคู่หมายของลูกกับแม่ทัพมู่เจ้าค่ะ"

ทุกคนล้วนตกใจกับถ้อยคำเด็ดขาดและไร้เยื่อใยของชิงหลิน มีเพียงเฟิ่งอิงที่ยกมุมปากยิ้มอย่างนึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของนาง

"เจ้าคิดดีแล้วหรือหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แม้จะตกใจในคราแรก ทว่าต่อมากลับพอใจและภูมิใจในความเด็ดเดี่ยวและจริงจังของบุตรี

"นั่นสิหลินเอ๋อร์ เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังหรือ" ชิงฮูหยินถามย้ำอีกครั้ง

"ลูกตัดสินใจแน่แล้ว ไม่คิดเปลี่ยนใจแน่นอนเจ้าค่ะ"

"เอาเถิด พ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง แต่กระนั้นยามรุ่งเจ้าต้องไปเยือนจวนเสนาบดีมู่ ตกลงตามนี้" ชิงหยวนสรุปพร้อมกับตบเข่าตัวเองฉาดหนึ่ง

"เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ" ร่างเล็กทำหน้ามุ่ย

ชิงหยวนกับชิงฮูหยินมองหน้ากัน ใบหน้าทั้งสองปรากฏร่องรอยความกังวลระคนยินดีโดยที่บุตรีมิได้ล่วงรู้

ยามเฉิน

"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู"

ชิงหลินวางถ้วยน้ำชาลงพลางถาม "มีอะไรหรือแม่นม"

"จวนเสนาบดีมู่ส่งรถม้ามารับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้รออยู่หน้าคฤหาสน์เจ้าค่ะ" นางบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น คิ้วเรียวของคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

"เช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องพาคนไปเยอะ ไปเถิด ให้รอนานคงไม่ดี" ชิงหลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องที่แม่นมฝูเอ่ยแต่ประการใด ทำเอาคนมาแจ้งข่าวแปลกใจไม่น้อย

"มาแล้วหรือหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนกวักมือเรียกบุตรีที่เดินเข้ามายังโถงรับแขก

"หลินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ รองแม่ทัพจางเจ้าค่ะ" ท้ายประโยคนางยอบกายทักทายจางมู่หลง

รองแม่ทัพหนุ่มรีบลุกขึ้นประสานมือพร้อมเอ่ยอย่างสุภาพ เพราะนางเคยเรียกตนว่า 'มู่หลง' มาก่อนที่จะได้เป็นรองแม่ทัพ "มิกล้า คุณหนูให้เกียรติเกินไปแล้ว โปรดเรียกมู่หลงเช่นเดิมเถิด"

"...เช่นนั้นข้าขอเรียกท่านว่าพี่มู่หลงนะเจ้าคะ" จางมู่หลงยืนอึ้งกับถ้อยคำเอาแต่ใจนั้น แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา พลางกล่าวเสียงเรียบดุจเดิม "ขอบคุณคุณหนูที่ให้เกียรติ"

ชิงหลินยิ้มตอบตามมารยาท ก่อนจะหันมากล่าวลาบิดา มารดา และแม่นมฝูที่ไม่ได้ติดตามไปด้วย แล้วจึงหันมากล่าวกับจางมู่หลง "เช่นนั้นก็ออกเดินทางเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะสาย" กล่าวจบก็ออกเดินนำขบวน โดยมีเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย และเฟิ่งอิงที่บิดาให้คอยคุ้มกันไปส่งที่จวนเสนาบดีมู่

คฤหาสน์สกุลชิงตั้งอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดียวกับจวนเสนาบดีมู่ ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วยาม โดยต้องผ่านตลาดซึ่งอยู่ใกล้กับจวนเสนาบดีมู่ราวห้าลี้ การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นจนเข้าเขตตลาด

ชิงหลินตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ นางเปิดม่านมองร้านค้าและบ้านเรือน ใบหน้าจิ้มลิ้มฉีกยิ้มเต็มที่ ไม่สำรวมอย่างที่สตรีพึงกระทำ

"คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ" เสี่ยวอี้เอ่ยเตือนก่อนจะถอนใจ คุณหนูของนางช่างซุกซนเหลือเกิน แล้วหันไปส่งสายตาปรามเสี่ยวสุ่ยที่เห็นดีเห็นงามไปกับคุณหนูด้วย

จางมู่หลงละจากหน้าขบวน ขี่ม้าเข้ามาเทียบด้านข้างรถม้าแล้วถามอย่างสุภาพ "คราวนี้คุณหนูจะแวะชมตลาดก่อนหรือไม่ขอรับ"

"ท่านลุงท่านป้ารออยู่ จะมัวชักช้าได้อย่างไร รีบไปเถิด"

จางมู่หลงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้แล้วออกเดินทางต่อ

จวนเสนาบดีมู่

"หลินเอ๋อร์คาราวะท่านลุงมู่ ท่านป้ามู่เจ้าค่ะ" ชิงหลินยอบกายทักทายมู่หลิ่งฟู่ อดีตแม่ทัพใหญ่ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊ กับหยาฮุ่ยจื่อหรือมู่ฮูหยิน

"ตามสบายเถิด" มู่หลิ่งฟู่กล่าวยิ้มๆ มองดูฮูหยินของตนประคองเด็กสาวในชุดสีขาว ชายกระโปรงปักลายดอกเหมยสีแดงโดยรอบ ให้นั่งลงข้างๆ นางด้วยสายตาอ่านยาก

ชิงหลินพอได้เห็นบิดามารดาของคู่หมายก็ให้นึกถึงสำนวนที่ว่า 'ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น' ขึ้นมา พ่อแม่หล่อสวยอย่างนี้นี่เอง ท่านแม่ทัพนั่นถึงได้หล่อขนาดนั้น ดูแล้วอายุท่านลุงน่าจะพอๆ กับท่านพ่อ และท่านป้าเองก็น่าจะอายุเท่าๆ ท่านแม่ของชิงหลิน ซ้ำทั้งสองยังเป็นเพื่อนรักกัน นั่นสิ...เรือล่มในหนอง เงินทองจะไปไหนเสีย

"เป็นเช่นไรบ้าง หายดีแล้วหรือ" มู่ฮูหยินถามพลางลูบไล้ใบหน้าเนียนขาวที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะมองตน

ยิ้มหวานก่อนจะเอ่ย "หลินเอ๋อร์หายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้าที่ห่วงใย"

ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายและเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านนอกจวน

พ่อบ้านประจำตระกูลมู่ก้าวเร็วๆ เข้ามารายงานด้วยท่าทางตื่นตระหนกสุดขีด "นะ...นายท่าน แย่แล้วขอรับ คุณชายน้อย...คุณชายน้อย"

"เฟิงเอ๋อร์เป็นอันใด!?" มู่หลิ่งฟู่ผุดลุกพรวดขึ้นพร้อมกับถามเสียงดัง

"คะ...คุณชายน้อยตกลงไปในสระบัวขอรับ"

"เฟิงเอ๋อร์!" มู่ฮูหยินพอได้ยินก็ถึงกับอุทานด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะรีบรุดตามสามีไป โดยมีชิงหลินประคองพร้อมเอ่ยปลอบไปตลอดทาง เมื่อมาถึงเก๋งที่อยู่ริมสระบัวก็เห็นร่างเด็กน้อยนอนแน่นิ่ง ชุดสีขาวเปียกชุ่ม ใบหน้าที่คล้ายผู้เป็นพี่ชายหลายส่วนขาวซีด รอบๆ ร่างนั้นมีบ่าวชายหญิงหลายคนนั่งร้องไห้อยู่ มู่ฮูหยินแทบล้มทั้งยืนทันทีที่ได้เห็นสภาพบุตรชายคนเล็กอันเป็นที่รักยิ่ง

"ไปตามหมอมา! ถ้าลูกข้าเป็นอะไร พวกเจ้าอย่าหมายว่าจะมีชีวิตรอด!" เสียงตวาดดังลั่นไปทั่วบริเวณ

"นายท่าน ลมหายใจของคุณชายน้อย..." หนึ่งในสององครักษ์ของมู่หลิ่งฟู่รายงานผู้เป็นนายทันทีที่ละมือออกมาจากใบหน้าของคุณชายน้อย

มู่ฮูหยินถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นและปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร

"ยังเจ้าค่ะ คุณชายน้อยยังไม่ตาย หัวใจยังเต้นอยู่ แม้จะเต้นแผ่วๆ ก็เถิด" ชิงหลินกล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง นางรีบเข้ามานั่งด้านข้าง กดศีรษะแล้วเชยคางเด็กน้อยขึ้น สังเกตดูจึงรู้ว่าเด็กหยุดหายใจเสียแล้ว ไม่รอช้าก็รีบจับเด็กน้อยให้อ้าปากแล้วกดคางเบาๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในลำคอหรือไม่ จากนั้นจึงช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยการเป่าปากสองครั้ง สลับกับการนวดหัวใจสามสิบครั้ง

เพียงไม่นานเด็กน้อยก็เริ่มรู้สึกตัว เมื่อเห็นเด็กน้อยเริ่มหายใจเองได้ ชิงหลินจึงจัดให้เด็กน้อยนอนตะแคงเพื่อเปิดทางเดินหายใจ เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว นางมีอาการหอบเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้หาผ้าหนาๆ มาห่มให้เด็กน้อย ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองนางอย่างโง่งม

"เฟิงเอ๋อร์ลูกแม่" มู่ฮูหยินกอดบุตรชายซึ่งถูกห่อด้วยผ้าผืนหนาไว้ทั้งที่น้ำตานองหน้า

เด็กน้อยกอดมารดาตอบพลางร้องไห้ "ท่านแม่ ข้ากลัวจังเลย ฮือๆๆ"

"พาคุณชายน้อยไปที่เรือนใหญ่เร็วเข้า อย่าชักช้า!" มู่หลิ่งฟู่รีบออกคำสั่งเมื่อเห็นอาการของบุตรชายคนเล็ก

หลังเหตุการณ์ลุ้นระทึกผ่านไป คุณชายน้อยมู่หลิ่งเฟิงก็ได้รับการรักษาอย่างดีจากหมอประจำตระกูล เนื่องจากเป็นเด็กสุขภาพดีจึงมิมีสิ่งใดน่าเป็นห่วง ส่วนชิงหลินก็ได้รับคำขอบคุณและความชื่นชมมากมายจากมู่หลิ่งฟู่และมู่ฮูหยิน รวมถึงบ่าวรับใช้ภายในจวน นางเดินไปทางไหนก็พานพบแต่สายตาแห่งความชื่นชมและนับถือ ลืมการกระทำอันมิควรเสียสิ้นจนนางทำตัวไม่ถูก

ล่วงเข้ายามจื่อ ชิงหลินผวาตื่นเช่นทุกครั้ง ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งปรับสายตาในความมืด ยามนี้นางพักอยู่ในเรือนจันทราอันเป็นเรือนรับรองแขก อยู่ห่างจากเรือนเมฆาของมู่หลิ่งเหวิน แม่ทัพหนุ่มราวครึ่งลี้ ตั้งแต่เช้าจนบัดนี้นางยังไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย

"คุณชายติดภารกิจสำคัญ มิอาจอยู่ต้อนรับได้ขอรับ" นี่คือคำบอกกล่าวจากจางมู่หลงเมื่อเช้านี้

นางไม่ได้สนใจหรือน้อยใจแต่อย่างใด 'ฮึ! ใครแคร์กัน ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องมานั่งปั้นหน้าเล่นละครตบตาคนอื่น'

เวลาที่นอนไม่หลับชิงหลินชอบออกมาเดินเล่น คืนนี้ก็เช่นกัน ร่างเล็กเดินมาจนถึงเก๋งที่อยู่ริมสระในสวน ดวงตากลมโตเหม่อมองท้องฟ้าที่ค่อนข้างมืดด้วยความหงอยเหงา ก่อนจะพึมพำด้วยความคิดถึง"แม่จ๋า ดาคิดถึงแม่เหลือเกิน..."

"ดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดจึงยังไม่นอน" เสียงทุ้มติดห้วนของบุรุษดังขึ้นใกล้ๆ เป็นเหตุให้คนที่กำลังใจลอยสะดุ้งตกใจ จนหมุนตัวกลับมาปะทะกับร่างสูงในชุดขาวที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้เข้าอย่างจัง

"อุ๊ย! ทะ...ท่านแม่ทัพ" ชิงหลินใช้สองมือเรียวขาวยันแผ่นอกของเขาไว้เพื่อให้มีช่องว่าง ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงเรื่อด้วยความขัดเขิน

"พี่เหวิน" ร่างสูงสั่งเสียงพร่า สองแขนแข็งแรงโอบกอดเอวบางไว้ไม่ยอมปล่อย ก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งสูงเพียงอกที่กำลังมองตน

คิ้วเรียวของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตฉายแววตื่นตระหนกแล้วแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ขณะที่มุมปากพลันยกขึ้นอย่างลืมตัว

"เจ้าเคยเรียกข้าว่าพี่เหวิน เหตุใดจึงเปลี่ยนเสียเล่า" ร่างสูงพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ภายหลังจากคลายมือออกจากเอวบางแล้ว

ชิงหลินยังไม่ทันหายขนลุกก็ต้องตะลึงจนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกเมื่อเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้

"...ท่านคงไม่ได้มาหาข้าเพราะเรื่องนี้?" นางพยายามไม่ให้เสียงสั่น ก่อนจะเดินผ่านร่างสูงเข้ามาในเก๋งสีขาว อา...อันตรายจริงๆ แม้จะยี่สิบเจ็ดแล้วแต่นางไม่เคยโดนจีบหรืออยู่ใกล้ชายหนุ่มเช่นนี้บ่อยนัก จึงอดใจสั่นไม่ได้

"ข้าต้องขอบใจเจ้าเรื่องเฟิงเอ๋อร์" เขากดเสียงต่ำเจือความไม่พอใจตอบกลับไป เหตุเพราะนางเมินคำพูดของเขา

"ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้ อีกอย่าง ข้าได้รับคำขอบคุณจากท่านลุงมู่และท่านป้ามู่แล้ว ท่านไม่ต้องมาขอบคุณข้าอีกก็ได้เจ้าค่ะ" นางโต้กลับอย่างมีอารมณ์นิดๆ ด้วยคิดว่าเขาถูกบังคับมา

มู่หลิ่งเหวินขบกรามแน่น พยายามสะกดกลั้นโทสะที่สตรีคนเดิมเป็นผู้ก่อขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างยิ่งยวด ก้าวฉับๆ เข้ามานั่งตรงข้ามนาง ดวงตาทรงเสน่ห์จับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มนิ่งนาน จนชิงหลินอึดอัด ต้องเสมองไปทางอื่นแทน

"เรื่องในอดีตหักล้างกันแล้ว เช่นนั้น..." 'ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ตัวเอง' ถ้อยคำนั้นติดอยู่ในความคิด ไม่ได้พูดออกมาแต่อย่างใด

ชิงหลินค้อมศีรษะเล็กน้อย เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะบอก นั่นคือเรื่องที่ชิงหลินเคยวางยาปลุกกำหนัดแต่ไม่สำเร็จ หักล้างกับเรื่องที่นางช่วยน้องชายของเขาเอาไว้นั่นเอง "เอ่อ...ท่านแม่ทัพ"

"พี่เหวิน" มู่หลิ่งเหวินกัดฟันกล่าวพร้อมทั้งส่งสายตากดดัน จนนางต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น

"เจ้าค่ะ พี่เหวิน" หญิงสาวฝืนใจเรียกตามที่เขาต้องการเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย

"มีอะไรหรือ...หลินเอ๋อร์" คำเรียกที่สนิทสนมทำให้นางรู้สึกขนลุกระคนหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก รวบรวมความกล้าสบตากับดวงตาทรงเสน่ห์ที่มองอยู่ก่อนแล้ว

"ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายกับท่าน ท่านว่าดีหรือไม่"

ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง

น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว สิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก

'มารดาเจ้าเถิด!' แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

"ท่านพ่อท่านแม่ของข้าทราบเรื่องนี้แล้ว" แม้จะกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก แต่ก็ยังคงกล่าวต่อโดยไม่มองหน้าเขา ยอมรับว่ากลัวเขาในตอนนี้มาก แต่ก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว

'ขอโทษเถิดนะชิงหลิน ฉันคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว'

"อ้อ แล้ว?" มู่หลิ่งเหวินแค่นเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างยากเย็น น่าตาย! น่าตายยิ่งนัก!

"ข้า...อยากรู้ว่าท่านจะบอกท่านลุงท่านป้าเอง หรือจะให้ข้าเป็นคนบอก"

"เมื่อถึงเวลาข้าจะพูดเอง ไม่ต้องลำบากเจ้า" แม้คิดว่าสิ่งที่นางทำนั้นถูกต้องแล้วแต่ก็อดใจหายไม่ได้ เมื่อได้เห็นสายตาของเขา ถึงจะแค่แวบเดียว แต่มันก็ช่างคล้ายสายตาของนางยามที่ได้รู้ว่าของสำคัญบางอย่างหายไป

'เฮอะ...จะเป็นไปได้อย่างไร เขาเกลียดชิงหลินจะตาย' คิดแล้วก็ลุกขึ้นยืน

"ข้าทราบแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัว อ๊ะ...อื้อ" ตากลมโตเบิกกว้างเมื่อถูกกระชากอย่างแรง ริมฝีปากอวบอิ่มถูกบดขยี้อย่างอุกอาจเอาแต่ใจ สองมือเล็กทั้งผลักทั้งทุบแผ่นอกกว้าง ทั้งดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง แต่ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะร่างแกร่งยังยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านสักนิด

ชิงหลินพยายามเบี่ยงหน้าหลบกลับถูกตรึงท้ายทอยด้วยมือใหญ่แข็งแรงจนไม่อาจขยับได้ดังใจ ลิ้นอุ่นร้อนหยอกเย้ายั่วยวน ชักนำจนนางเคลิบเคลิ้มและตอบสนองเขาอย่างไร้เดียงสา ยิ่งพาให้ใจแม่ทัพหนุ่มเตลิดจนแทบยั้งไม่อยู่ ร่างใหญ่บดเบียดแนบแน่นจนร่างเล็กแทบจะจมหายไปในร่างใหญ่แข็งแรงที่อัดแน่นด้วยมัดกล้าม เนิ่นนานจนนางร้องประท้วงและทุบอกเขาแรงๆ ร่างใหญ่จึงยอมปล่อยด้วยความเสียดาย นางรีบโกยอากาศเข้าปอด แขนขาอ่อนแรงจนต้องพิงร่างใหญ่ไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้

ยามนี้ในหัวของนางขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า 'เฟิสต์คิสของชั้น! เฟิร์สคิสของชั้น!' ซ้ำไปซ้ำมา

ผิดกับแม่ทัพหนุ่มที่ยังคงโอบกอดร่างบางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คล้ายกลัวว่าหากปล่อยมือนางจะหายไป คิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่น ด้วยไม่เคยสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ยามศึกสงคราม แล้วเพราะเหตุใดเพียงนางเอ่ยปาก เขาก็ทนไม่ได้เสียแล้ว ข้าควรดีใจ? แล้วความรู้สึกหงุดหงิดหน่วงๆ และไม่พอใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก มันเป็นเพราะเหตุใดกัน

"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ" เสียงของจางมู่หลงทำให้แม่ทัพหนุ่มรีบผละออกจากร่างบางอย่างเสียดายระคนหงุดหงิดใจที่โดนขัดคอ

"มีเรื่องอันใด?!"

จางมู่หลงสะดุ้งใจหายวาบจนต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยรู้ว่าท่านแม่ทัพกำลังมีโทสะ

"...ข้าขอตัว" เสียงสั่นๆ ของสตรีที่อยู่ด้านหลังทำให้มู่หลิ่งเหวินหมุนกายกลับมาจะพูดบางสิ่งกับนาง แต่นางวิ่งออกไปโดยไม่ยอมมองหน้าเขา แม่ทัพหนุ่มได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิดใจ

"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ" จางมู่หลงลองเสี่ยงส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

"ไปคุยกันที่ห้องทำงาน" แม้จะไม่พอใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง จึงทำให้จางมู่หลงกล้าเสี่ยงมากวนใจตนอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ นัยน์ตาทรงเสน่ห์มองตามทิศทางที่นางเพิ่งจากไป ก่อนจะสาวเท้ามุ่งหน้าไปเรือนพักของตนทันที

[1] ยามจื่อ คือช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 น. - 00.59 น.

หากมีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟังจ้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts