ยามอิ่ว ณ เรือนจันทรา
มู่หลิ่งเหวินกับคู่หมายกำลังดื่มชาหลังมื้ออาหาร ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยออกไปเดินเล่นโดยมีเฟิ่งอิงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ไม่ได้ตามติดให้มันรำคาญใจ ด้วยรู้ดีว่าเจ้าพยัคฆ์น้อยไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าใกล้หรือจับต้องมันนอกจากคุณหนู
"แผลนางเป็นอย่างไรบ้าง" แม่ทัพหนุ่มถามสาวใช้เสียงเข้มจนคนถูกถามสะดุ้งจึงรีบตอบ
"เรียนท่านแม่ทัพ เริ่มตกสะเก็ดแล้วเจ้าค่ะ"
"เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ" เขาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
"น่าจะเป็นเพราะยาตลับนี้เจ้าค่ะ" ชิงหลินยื่นตลับยาให้เขา
"จากองค์รัชทายาท?" มู่หลิ่งเหวินถามต่อด้วยน้ำเสียงติดกระด้างไม่สบอารมณ์
"เจ้าค่ะ พระองค์ประทานตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บเมื่อครั้งที่ไปตามหาอาชาสวรรค์" นางตอบตามจริง
"เฮอะ! ก็แค่ยาตลับเดียว" แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงไม่พอใจ
"เอ๊ะ!? ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ" หญิงสาวถามเพราะได้ยินไม่ถนัด
"ช่างเถิด ต่อไปห้ามรับสิ่งของจากคนแปลกหน้าอีกเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่" เขาออกคำสั่งกับคู่หมาย
"ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ ข้าไม่เห็นว่ามันจะเสียหาย อีกอย่าง คนที่ท่านเรียกว่าคนแปลกหน้าก็คือองค์รัชทายาทที่ท่านก็รู้จักดี แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนแปลกหน้าได้อย่างไรกันเจ้าคะ" นางเถียงกลับ ใบหน้าจิ้มลิ้มตึงขึ้นและเริ่มจะหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของเขา
"เจ้ากล้าขัดคำสั่งพี่หรือ"
เสียงถามที่เต็มไปด้วยความกดดันและกรุ่นโกรธทำให้สาวใช้สะท้านไปทั้งร่าง ทั้งสองค่อยๆ เดินถอยหลังออกไปจากห้องช้าๆ ก่อนจะปิดประตูอย่างเบามือโดยที่ชิงหลินไม่รู้ตัว
"ก็คำสั่งของท่านมันไร้เหตุผลสิ้นดี ข้ารับไม่ได้!"
"ไร้เหตุผล? รับไม่ได้ เช่นนั้นหรือ" มู่หลิ่งเหวินพยายามข่มกลั้นโทสะที่จวนเจียนจะระเบิดสุดกำลัง
"ใช่เจ้าค่ะ" แม้จะกลัวแต่นางก็ยังทำใจดีสู้เสือ
"ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า เพราะความอวดดีเลินเล่อ คิดตื้นๆ ไร้การไตร่ตรองให้ดีของเจ้า กำลังพาเจ้าและครอบครัวไปสู่หายนะและความตาย รู้บ้างหรือไม่" คำเรียกแทนตัวที่เปลี่ยนไปของเขาทำเอาชิงหลินเสียวสันหลังวาบ เหงื่อผุดเต็มใบหน้า
"ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ"
"ถูกลักพาตัวที่ตลาด เจ้าคิดว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือ"
"เรื่องนั้น...ข้ารู้ดี เป็นเพราะข้าทำให้คุณหนูหานหนิงอันไม่พอใจ"
"คิดว่าเพียงเท่านั้น?" เมื่อเห็นนางพยักหน้าจึงถามต่อ "แล้วเรื่องลอบสังหารระหว่างทางไปเรือนพสุธาเล่า"
"เรื่องนั้น...ข้าไม่รู้" ชิงหลินตอบเสียงอ่อยเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นฝีมือใคร ท่านพ่อเองก็ไม่ยอมบอกอะไรแก่นาง
"แล้วเรื่องลูกธนูลึกลับในป่ากับลูกธนูที่ทำเจ้าบาดเจ็บเล่า" เขารุกถามต่อ
"ข้า...ไม่รู้" เสียงอ่อยลงกว่าเดิม ใบหน้าจิ้มลิ้มจ๋อยสนิท
"เฮ้อ ทุกคำถามที่ข้าถามเจ้า ล้วนเกิดขึ้นก็เพราะเจ้าเป็นต้นเหตุสำคัญทั้งสิ้น" ร่างหนาทอดถอนใจด้วยความหนักใจ ก่อนจะเฉลยตำตอบให้คู่หมายรับรู้
"แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเจ้าคะ" เพราะคำถามที่เขาถามนางนั้นเป็นคนละเรื่องกับที่เถียงกันอยู่
"เกี่ยวสิ เพราะความเลินเล่อ อวดความสามารถที่โดดเด่นเกินผู้ใดของเจ้า กำลังเป็นที่จับตามองจากผู้ที่อยากได้เจ้าไว้ในครอบครอง และจากผู้มิหวังดีที่เห็นเจ้าและสกุลชิงเป็นเสี้ยนหนาม ต้องกำจัดทิ้งสถานเดียว" แม่ทัพหนุ่มอธิบายยืดยาว โดยเน้นคำว่า 'อยากได้เจ้าไว้ในครอบครอง' เพื่อสื่อถึงองค์รัชทายาท แต่ดูเหมือนนางจะโง่งมไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการจะสื่อเลย
"ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ" ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดเผือดเมื่อได้รู้ความจริง
"กลัวหรือ" เขาเหยียดยิ้มมุมปาก หรี่ตามองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ซีดราวกับกระดาษของคู่หมาย ฮึ! ต้องสอนให้รู้จักกลัวเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่านางจะไปเที่ยวก่อเรื่องชวนให้ปวดหัวมากมายสักเท่าใดกัน
"ข้าเปล่ากลัวเสียหน่อย" หญิงสาวค้อนขวับ ไม่ยอมรับง่ายๆ
"หึๆ เอาเถิด ต่อไปจงระวังตัวให้มาก เข้าใจหรือไม่" เขากำชับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่จริงจัง
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" คราวนี้นางยอมรับปากแต่โดยดี ด้วยรู้ถึงความหวังดีของเขาที่มีต่อนาง
"ดี" มู่หลิ่งเหวินยกยิ้มพอใจที่นางยอมรับปาก ความกลุ้มใจและความหนักใจคลายไปหลายส่วน ยกเว้นเรื่องที่องค์รัชทายาทสนใจในตัวนางอย่างออกนอกหน้า ตามคำบอกเล่าของบิดาและจิ้นอี้ผู้ติดตามฝีมือดีของเขา
ช่วงที่ชิงหลินพักรักษาตัวที่จวนเสนาบดีมู่ นางได้รับการดูแลอย่างดีราวกับไข่ในหินจากคู่หมายที่มักจะมาหาและกินอาหารกับนางทุกวันเช้า-เย็นไม่ขาด โดยมีมู่หลิ่งฟู่ มู่ฮูหยิน และมู่หลิ่งเฟิง ผลัดกันมาดูแลนางแทบทุกวัน จนนางอดเกรงใจไม่ได้ ส่วนเฟิ่งอิงก็ไปๆ มาๆ ระหว่างจวนสกุลมู่กับคฤหาสน์สกุลชิง และยังไปเรือนพสุธาเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของศัตรูให้ผู้เป็นนายทราบ แต่ยังคงปิดเรื่องที่คุณหนูบาดเจ็บไว้เป็นความลับ
ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยน่ะหรือไม่ต้องพูดถึง มันตัวติดกับหลินหลินแทบจะตลอดเวลา ไปไหนไปกันและยังกินจุกว่าเดิม จนตอนนี้มันกลายเป็นพยัคฆ์อ้วนไปแล้วในสายตาของหลินหลิน ด้วยน้ำหนักเกือบสิบกิโลกรัม เวลาเดินจึงดูอุ้ยอ้ายน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของทุกคน ยกเว้นหลินหลินที่ต่อว่ามันและยังเรียกมันว่าเจ้าเสืออ้วนแทนชื่อของมัน ซึ่งทำให้มันต้องตัดใจกินน้อยลงเพราะกลัวหลินหลินไม่รัก
ก่อนยามเฉินราวหนึ่งเค่อของวันที่สิบเอ็ดในจวนเสนาบดีมู่
"คุณหนู แผลของท่านหายดีแล้วเจ้าค่ะ แม้แต่รอยแผลเป็นก็ไม่เหลือให้เห็น ยาขององค์รัชทายาทช่างวิเศษนัก" หนึ่งในสาวใช้กล่าวกับคู่หมายของท่านแม่ทัพ
"อย่างนั้นหรือ" ร่างเล็กที่นอนคว่ำหน้าแนบหมอนตอบกลับเบาๆ
"เจ้าค่ะ เอ่อ...คุณหนู รูปที่อยู่กลางหลังนี่..." สาวใช้คนเดิมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เพราะความอยากรู้ที่มีมากกว่าจึงตัดสินใจถาม
"อ่อ ไม่มีอะไรหรอก" ได้ฟังแล้วสาวใช้คนเดิมจึงไม่คิดสอดรู้ แล้วทายาให้นางต่อ
"หลินหลิน หิวแล้ว...หิวแล้ว กินข้าว...กินข้าว" เจ้าพยัคฆ์น้อยพาร่างอ้วนกลมเดินเข้ามาหานางที่เตียง
"มาแล้วหรือเจ้าเสืออ้วน" หญิงสาวเย้าเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ยืนอยู่หน้าเตียงเพราะกระโดดขึ้นมาเองไม่ไหว
"หลินหลิน นิสัย...ไม่ดี...ว่าฟานฟาน โกรธแล้ว...โกรธแล้ว" พูดจบเจ้าพยัคฆ์น้อยก็สะบัดก้นให้หลินหลิน แต่ไม่ได้จากไปไหน รอให้หลินหลินงอนง้อมันเช่นทุกครั้ง
ชิงหลินส่ายหน้าระอา นับวันเจ้าพยัคฆ์น้อยจะขี้น้อยใจและเอาแต่ใจมากขึ้นทุกวันเหมือนเขาไม่มีผิด พูดจบใบหน้าหล่อเหลาของคู่หมายก็ผุดขึ้นในหัว ชัดเจนราวกับเขายืนอยู่ตรงหน้า
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ชิงหลินก็นึกแปลกใจเล็กใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของคู่หมายที่มักจะมายืนคอยเต๊ะท่าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าเช่นทุกวัน
"ไปไหนของเขานะ เฟิงอิงก็ไม่อยู่" นางพึมพำออกมาเบาๆ สองแขนอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไว้แนบอก เดินออกมาหน้าเรือนชะเง้อชะแง้มองหาด้วยความคุ้นชิน วันนี้นางสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ชายกระโปรงปักดอกโม่ลี่สีขาว ที่เอวคาดด้วยแถบผ้าสีฟ้าเข้มดูสดใส ผมเกล้าขึ้นสูงเพียงครึ่งเดียว ปักตรึงด้วยปิ่นหยกรูปดอกโม่ลี่เพียงอันเดียว ช่างเรียบง่ายแต่ดูงดงามและสดใสยิ่งนักในสายตาของสองสาวใช้
"พี่หลินเอ๋อร์ ข้ามารับท่านแล้ว" มู่หลิ่งเฟิงเดินเข้ามาหาว่าที่พี่สะใภ้ อาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเลที่เข้มกว่าสองเท่าปลิวไสวไปตามแรงลมของฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้างดงามคล้ายผู้เป็นพี่ชายแย้มยิ้มน่าเอ็นดูราวกับเทพเซียนตัวน้อย
"มารับ? มีเรื่องอะไรหรือ" ชิงหลินถามเด็กน้อยที่ยื่นมือมาเกาคางของเจ้าพยัคฆ์น้อย ดูเหมือนมันจะชื่นชอบมากเพราะมันหลับตาพริ้มพลางยื่นคอให้เด็กน้อยลูบและเกาได้ถนัดขึ้น
"ไปถึงท่านก็จะรู้เองขอรับ"
คำตอบของเด็กน้อยทำเอานางมันเขี้ยว อยากจะดึงแก้มขาวๆ ยุ้ยๆ นั่นเล่นเสียให้ได้แล้วจึงเอ่ย "เช่นนั้นก็ไปกันเถิด"
ณ ห้องอาหารเรือนแสงจันทร์
มู่หลิ่งฟู่สนทนาอยู่กับชิงหยวนและแม่ทัพหนุ่ม ส่วนมู่ฮูหยินก็กำลังสนทนากับชิงฮูหยินอย่างออกรส โดยมีเฟิ่งอิงยืนอยู่นอกห้องอาหารตรงประตูทางเข้า พลางมองเข้ามาด้านในเป็นระยะๆ
"อา...ท่านพ่อ ท่านแม่" ชิงหลินเอ่ยเรียกด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดีใจในชั่วพริบตา นางสาวเท้าเข้าไปหามารดาที่ลุกขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น "ทราบได้อย่างไรเจ้าคะว่าลูกอยู่ที่นี่" ถามมารดาพลางยื่นมือไปกุมมือนุ่มนิ่มของมารดา อีกมือก็อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไว้มั่น
"อาเหวินให้คนส่งข่าวไปบอกเมื่อเย็นวาน ท่านพ่อของเจ้าจึงรีบสะสางงานเพื่อมารับเจ้ากลับคฤหาสน์สกุลชิงของเรา" ชิงฮูหยินว่าพลางลูบผมของบุตรสาวอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม
"เอาละๆ มากินข้าวกันก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากัน" มู่หลิ่งฟู่กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังอย่างอารมณ์ดี
"อืม...ก็ดีเหมือนกัน" ชิงหยวนพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นทุกคนก็พร้อมอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยมู่หลิ่งฟู่นั่งตรงกลาง ถัดมาเป็นชิงหยวนและมู่หลิ่งเหวิน อีกฝั่งมู่ฮูหยินนั่งใกล้สามี ถัดมาเป็นชิงฮูหยินและชิงหลิน ส่วนเฟิ่งอิงอ้างว่ากินเรียบร้อยแล้ว จึงมิมีใครคะยั้นคะยอให้มาร่วมโต๊ะด้วย
หลังมื้ออาหารผ่านไป
"ท่านลุง ท่านป้า ข้ามีเรื่องจะเรียนให้ทราบขอรับ" มู่หลิ่งเหวินกล่าวจริงจังดูเป็นทางการ ทุกคนจึงนั่งตัวตรงตั้งใจฟัง
"มีเรื่องอันใดหรือหลานชาย" ชิงหยวนชิงถามก่อนใคร โดยมีสายตาสงสัยใคร่รู้ของชิงฮูหยินและชิงหลินมองไปที่แม่ทัพหนุ่มด้วย
มู่หลิ่งเหวินยืดหลังตรง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว "ข้าอยากจะขอหมั้นน้องหลินเอ๋อร์ หลังเสร็จสิ้นภารกิจนี้ขอรับ"
"เอ๋?" ชิงหลินร้องออกมาด้วยความตกใจระคนแปลกใจเพราะคาดไม่ถึง
เฟิ่งอิงหันขวับมาทางต้นเสียงทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำที่หนักแน่นชัดเจนจากแม่ทัพหนุ่ม สองมือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนสั่นเล็กน้อย ใบหน้าคมเข้มดูเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเร็วเกินไป นี่คือสิ่งที่เฟิ่งอิงคิด
มู่หลิ่งฟู่ทำเพียงยกชาขึ้นจิบ ไม่ตกใจหรือประหลาดใจด้วยทราบอยู่ก่อนแล้ว พลางชำเลืองมองปฏิกิริยาของสหายรักที่นั่งอยู่ข้างๆ
"เหตุใดจึงรีบร้อนนักเล่า" ชิงหยวนถามกลับเสียงเรียบ ดวงตาคมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคมทรงเสน่ห์อย่างค้นหาความจริง
"เรื่องนั้น..." ยังไม่ทันได้อธิบาย พ่อบ้านใหญ่ซือฝูก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน พร้อมกับส่งเสียงเรียกมู่หลิ่งฟู่
"นายท่าน นายท่าน"
"เสียมารยาทจริงอาฝู มีเรื่องอันใด" มู่หลิ่งฟู่ตำหนิพ่อบ้านใหญ่ด้วยวาจาและสายตา
"ขออภัยนายท่าน เอ่อ...ขันทีจากในวังมาขอพบคุณหนูหลินขอรับ" พ่อบ้านใหญ่รีบรายงานเสียงรัวจนลิ้นแทบจะพันกัน
"ขันทีจากตำหนักใดกัน" มู่หลิ่งฟู่ถามด้วยน้ำเสียงปกติ ท่าทางสุขุมนุ่มลึกของผู้เป็นนายทำให้พ่อบ้านใหญ่ที่ตื่นตระหนกผ่อนคลายลง
"ขันทีจากตำหนักฟ้าทรงธรรมขอรับ" พ่อบ้านใหญ่รายงาน
"หา? เจ้าว่าจากตำหนักใดนะ!?" มู่หลิ่งฟู่ลุกพรวดขึ้นถามย้ำเสียงดัง
"เอ่อ...เรียนนายท่าน จากตำหนักฟ้าทรงธรรมขอรับ" พ่อบ้านใหญ่รายงานย้ำอีกครั้งด้วยความมั่นใจว่าตนฟังมาไม่ผิดแน่นอน
"นั่นมัน....ที่ประทับขององค์ฮ่องเต้" มู่หลิ่งเหวินพึมพำเบาๆ
"ฮ่องเต้?" พอได้ยินชิงหลินก็รู้สึกสับสนและมึนงงไปหมด
'นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมฮ่องเต้ต้องส่งคนมาหานางด้วย' คิดพลางส่งสายตาขอความกระจ่างจากคู่หมายที่คิดว่าน่าจะรู้ดีกว่าทุกคน ก็เห็นเขาพยักหน้าคล้ายต้องการจะสื่อว่ารอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ก็ทำให้นางรู้สึกวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง
"รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า!" มู่หลิ่งฟู่ยกมือสั่งพ่อบ้านใหญ่
ครู่ต่อมาขันทีร่างผอมบางวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกลางๆ ในชุดสีเขียวเข้มเต็มยศ คล้ายของขันทีในวังขององค์รัชทายาทแต่เข้มกว่าหนึ่งส่วน บอกได้เป็นอย่างดีถึงตำแหน่งที่สูงกว่า ในมือถือพู่สีขาวเดินนำขันทีน้อยสองคนเข้ามาในเรือนแสงจันทร์ ในมือของหนึ่งในขันทีน้อยมีถาดใส่ม้วนราชโองการสีเหลืองทอง
"ท่านเสนาบดีมู่ ท่านแม่ทัพมู่" อู่เต๋อจงหรืออู่กงกงขันทีประจำองค์ฮ่องเต้ประสานมือทักทายบุรุษทั้งสอง
"คารวะอู่กงกง" ชิงหยวนประสานมือเคารพ ส่วนมู่ฮูหยิน ชิงฮูหยิน และบุตรสาว ยอบกายลง
"อู่กงกง เชิญตามสบายเถิด" มู่หลิ่งฟู่กล่าวอย่างเป็นกันเอง "มีเรื่องอันใดเชิญว่ามาได้" เสนาบดีมู่ผายมือให้ อู่เต๋อจงผงกศีรษะ จากนั้นจึงหยิบม้วนราชโองการสีเหลืองทองออกมากาง ทำให้ทั้งหกคนรีบคุกเข่ารอฟังราชโองการอย่างพร้อมเพรียง
"ฮ่องเต้มีราชโองการให้ชิงหยวนและบุตรีชิงหลิน เข้าเฝ้าที่ตำหนักฟ้าทรงธรรมเป็นการส่วนพระองค์ ในวันที่สิบห้า เดือนห้า ยามอุ้ย จบราชโองการ" อู่เต๋อจงประกาศด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แม้แต่เฟิ่งอิงและบ่าวไพร่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกยังได้ยินชัดเจน
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ / เพคะ" ทั้งหกคนค้อมศีรษะลงแนบกับพื้นอย่างพร้อมเพรียง
"ท่านชิง เชิญรับราชโองการ"
ชิงหยวนคลานเข่ามารับราชโองการด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับถูกทับด้วยก้อนหินใหญ่จนขยับตัวแทบไม่ได้
"อู่กงกง เชิญนั่ง"
หลังเสร็จสิ้นการประกาศ มู่หลิ่งฟู่ก็ลุกขึ้นก่อนเป็นคนแรก จากนั้นที่เหลือจึงลุกขึ้นแล้วมานั่งประจำที่เดิม ยกเว้นทางฝั่งของมู่ฮูหยินที่มีการเปลี่ยนลำดับที่นั่งเป็นอู่เต๋อจง มู่ฮูหยิน ชิงฮูหยิน และชิงหลินที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะคิดไม่ตก
"ท่านเสนาบดีมู่ เชิญ" อู่เต๋อจงผายมือเชิญตามมารยาทที่พึงปฏิบัติ
"อู่กงกงพอจะทราบเรื่องนี้บ้างหรือไม่" มู่หลิ่งฟู่ถามแทนสหายรักที่ไม่อาจเสียมารยาทถามด้วยตนเองได้
"เรียนตามตรง ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่..." อู่เต๋อจงทำท่าคล้ายนึกสิ่งใดออก
"แต่อันใดหรือ" มู่หลิ่งฟู่รุกถาม
มู่หลิ่งเหวินขยับตัวด้วยความกระหายใคร่รู้เช่นเดียวกับฮูหยินทั้งสองและชิงหลิน
"เมื่อสามวันก่อน องค์รัชทายาทขอเฝ้าเข้าฝ่าบาท ไม่ทราบว่าปรึกษาหารือราชกิจอันใดนานราวหนึ่งชั่วยาม ข้าเห็นองค์รัชทายาทเสด็จออกมาด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม จากนั้นราชโองการฉบับนี้ก็ถูกร่างขึ้น" อู่เต๋อจงเล่าอย่างละเอียด ด้วยคุ้นเคยกับเสนาบดีมู่และแม่ทัพหนุ่มมากความสามารถเป็นอย่างดี
"เช่นนั้นหรือ" มู่หลิ่งฟู่มองหน้าบุตรคนโตที่บัดนี้ดำมืดราวกับก้นหม้อ คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงหว่างคิ้วทั้งสอง ดวงตาคมทรงเสน่ห์มีความกังวลอยู่เต็มเปี่ยม เห็นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
หลังจากขบวนของขันทีนามอู่เต๋อจงกลับไปแล้ว ก็เหลือเพียงบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง
"มีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น เราจะทำเช่นไรดี" ชิงฮูหยินมีสีหน้าเป็นกังวล
"เจ้าใจเย็นๆ ก่อนเถิด กังวลไปก็ไม่ช่วยให้อันใดดีขึ้น" มู่ฮูหยินกล่าวปลอบพลางบีบมือให้กำลัง
"อาเหวิน เจ้าพอจะรู้เรื่องอันใดบ้างหรือไม่" ชิงหยวนเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่ม
"ท่านลุง ข้าคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับความลับของหลินเอ๋อร์อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ฝ่าบาทจะสนพระทัย" มู่หลิ่งเหวินออกความเห็น เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วยังจะมีเรื่องใดอีกเล่า ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่มองคู่หมายที่นั่งตรงข้ามนิ่ง
ชิงหลินเห็นแล้วก็รีบหลบ ไม่กล้าสู้สายตาที่เต็มไปด้วยความกดดันคู่นั้น เพราะเริ่มตระหนักถึงเรื่องที่เขาพูดเตือนก่อนหน้านี้ และไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
"อืม มีเหตุผล ลุงเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับหลานชาย" ชิงหยวนพยักหน้าช้าๆ เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของแม่ทัพหนุ่ม
"ความลับ? ความลับอันใดกัน" มู่หลิ่งฟู่เลิกคิ้วถามสหายรัก
"นั่นสิ ลึกลับมากเลยหรือ" มู่ฮูหยินถามเสริม
"พี่หลินเอ๋อร์ ข้าพาพยัคฆ์น้อยกลับมาแล้ว" เสียงแหลมเล็กสดใสของมู่หลิ่งเฟิงทำให้การสนทนาหยุดชะงัก
"หลินหลิน กลับมาแล้ว...กลับมาแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยพาร่างอ้วนกลมจนดูเหมือนแมวตัวใหญ่มากกว่าจะเป็นลูกพยัคฆ์ เดินนำหน้าเด็กน้อยเข้ามาหาหลินหลินของมัน เพราะถูกหลินหลินบอกว่าอ้วน หลังจากกินอิ่มมันจึงไปเดินออกกำลังกายโดยมีเจ้าเด็กน้อยน่ารำคาญตามไปด้วย
คนถูกเรียกก้มตัวลงอุ้มมันขึ้นมาไว้บนตักแล้วถาม "กลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไร สนุกไหม"
"โอ๊ะ อา...หรือความลับที่ว่า...คือเรื่องนี้" มู่หลิ่งฟู่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเด็กสาวส่งเสียงร้องโต้ตอบกับลูกพยัคฆ์ ดูแล้วไม่ใช่การส่งเสียงร้องส่งเดชอย่างแน่นอน นางกำลังพูดคุยกับสัตว์จริงๆ ช่างเป็นเรื่องที่ชวนตื่นตะลึงยิ่งนัก
"หลินเอ๋อร์ เจ้าพูดคุยกับ...เจ้าพยัคฆ์น้อยได้จริงหรือ" มู่ฮูหยินยิงคำถามตรงประเด็น
"เจ้าค่ะ" เมื่อไม่สามารถปิดเป็นความลับได้อีก ชิงหลินจึงยอมรับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อนและเป็นกังวล
"อัศจรรย์! อัศจรรย์ยิ่งนัก! ตั้งแต่เมื่อใดกัน" มู่หลิ่งฟู่อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
"เมื่อไม่นานมานี้เจ้าค่ะ หลังจากที่..." ชิงหลินชะงัก อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้าคู่หมาย เมื่อเห็นเขาขยับตัวร้อนรน สีหน้าแลดูเจ็บปวดและเศร้าสลดอย่างคนสำนึกผิด แน่ละ ก็เป็นเพราะเขาที่ทำให้ชิงหลินเสียใจจนตรอมใจตาย จนนางต้องมาติดแหง็กอยู่ในร่างนี้ "...หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาได้สี่สิบห้าวันเจ้าค่ะ" นางรวบรัดไม่ได้เล่าทั้งหมด
"แล้วองค์รัชทายาททรงทราบเรื่องนี้?" มู่หลิ่งฟู่ถามเข้าประเด็น
"ใช่ ก็ตอนที่เสด็จไปเรือนพสุธานั่นละ" ชิงหยวนเฉลย
"แล้วเหตุใดองค์รัชทายาทถึงกราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบกันล่ะ หรือว่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังนอกเหนือจากเรื่องนี้" มู่หลิ่งฟู่ตั้งข้อสังเกตอย่างมีหลักการ ดูน่าเชื่อถือจนชิงหยวนกับมู่หลิ่งเหวินเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
"นั่นเจ้าจะไปที่ใด อาเหวิน" มู่ฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายคนโต
ฝ่ายชิงหลินมองคู่หมายที่ลุกขึ้นพรวดพราดด้วยสีหน้าเครียดขรึม ไม่เหลือเค้าความขี้เล่นเจ้าเล่ห์ให้เห็นเช่นยามที่อยู่กับนางก็ให้แปลกใจไม่น้อย
"ข้าจะไปวังองค์รัชทายาทขอรับ" คนถูกถามตอบหนักแน่น
"ดี! ข้าเห็นด้วย องค์รัชทายาทย่อมไขข้อข้องใจเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน" มู่หลิ่งฟู่ตบเข่าตัวเองดังฉาด
"อืม ข้าเองก็เห็นด้วยกับความคิดของหลานชาย" ชิงหยวนยิ้มน้อยๆ พอใจกับท่าทีกระตือรือร้นของแม่ทัพหนุ่มที่มีต่อสกุลชิง ไม่ใช่สิ...ที่มีต่อหลินเอ๋อร์น่าจะถูกกว่ากระมัง
"ระวังตัวด้วย อาเหวิน" ชิงฮูหยินเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
"ข้าทราบแล้วขอรับ" มู่หลิ่งเหวินประสานมือขอบคุณ ก่อนจะเลิกคิ้วมองคู่หมาย ทำเอาคนถูกมองสะดุ้งโหยง กะพริบตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
'มองทำไม จะพูดอะไรก็พูดสิ เอาแต่จ้องอยู่ได้'
"หลินเอ๋อร์ ไปส่งพี่เขาหน่อยสิลูก" มู่ฮูหยินหันมากล่าวกับว่าที่ลูกสะใภ้ ด้วยเข้าใจความต้องการของบุตรชาย
"เอ่อ...เจ้าค่ะท่านป้า" หญิงสาวจึงลุกขึ้น อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยเดินตามเขาออกไป
"ข้าไปด้วยขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงทำท่าจะเดินตาม แต่ถูกมู่ฮูหยินส่งสายตาห้ามไว้ จึงได้แต่นั่งลงที่เดิม ใบหน้างดงามจ๋อยสนิท
ขณะเดียวกันใบหน้าเคร่งเครียดเจ็บปวดยามนี้ถูกแทนที่ด้วยความโล่งอก เมื่อการขอหมั้นหมายถูกระงับไว้ก่อน ต้องขอบคุณขันทีผู้นั้นที่มาได้ถูกจังหวะเสียจริง เฟิ่งอิงคิดในใจ
"เจ้า...รออยู่นี่ ไม่ต้องตามมา" เสียงเข้มสั่งหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำที่ทำท่าจะเดินตามไปส่ง คนถูกสั่งจึงหันไปขอความเห็นจากชิงหลิน เมื่อเห็นนางพยักหน้าจึงถอยกลับไปยืนที่เดิม
ระหว่างทางชิงหลินมัวแต่ก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องราชโองการ จนชนเข้ากับแผ่นหลังหนาดั่งกำแพงเมืองจีนอย่างจัง จึงถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวแล้วถามอย่างหงุดหงิด "อุ๊บ! หยุดทำไมเจ้าคะ"
"มาเดินตรงนี้" แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งโดยไม่หันกลับมา เอียงหน้ามาทางไหล่ขวาจนนางเห็นซีกหน้าหล่อเหลาชัดเจน
"ให้ไปเดินข้างท่านหรือเจ้าคะ" หญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจ
"อืม" เขาตอบคู่หมาย ใบหน้ายังคงมองตรงเช่นเดิม แต่ที่นางไม่รู้คือใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนมีริ้วแดงจางๆ ปรากฏอยู่ ยิ่งเห็นนางทำตามคำสั่งแต่โดยดีก็ยิ้มอย่างพอใจ
"ท่านยิ้มทำไม" ชิงหลินเงยหน้าถาม ขณะที่เท้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้า
"พี่ยิ้มหรือ" มู่หลิงเหวินเลิกคิ้วข้างหนึ่งย้อนถามด้วยท่าทางกวนๆ
"ยิ้มสิเจ้าคะ ก็ข้าเห็นกับตา" หญิงสาวโต้กลับเสียงแหลม
"เหตุใดพี่จึงไม่รู้ตัวว่ายิ้ม เจ้ามีพยานหรือไม่เล่า" แม่ทัพหนุ่มทำหน้ายียวนใส่ สายตาเจ้าเล่ห์กวาดหาพยาน
"ท่าน...ฮึ่ย! ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว" เมื่อเถียงไม่ออก นางจึงสะบัดหน้ากลับกระแทกเท้าเดินนำหน้าไป ปล่อยคนที่ยั่วโทสะมองตามด้วยสายตาขบขันระคนเอ็นดู
ยามเซิน ณ วังตะวันออกขององค์รัชทายาท
เสี่ยวเกาจื่อหรือเกากงกงสืบเท้าเข้ามาในห้องทรงอักษร ก่อนจะกราบทูลองค์รัชทายาทที่อ่านฎีกาอยู่ "ทูลองค์รัชทายาท แม่ทัพมู่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
"หึๆ มาเร็วทันใจดี" ฉีเฟยหลงยิ้มแล้วกล่าว "ให้เขาเข้ามา"
"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท" มู่หลิงเหวินประสานมือทำความเคารพองค์รัชทายาทที่ประทับบนเก้าอี้หลังโต๊ะทรงงาน บนโต๊ะเต็มไปด้วยตำรากองฎีกาต่างๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย
"ตามสบาย มาหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ" ฉีเฟยหลงถามอย่างสนิทสนม
"กระหม่อมคิดว่าพระองค์ทรงทราบดีอยู่แล้ว...ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" อีกฝ่ายย้อนถาม ดวงตาคมทรงเสน่ห์สบกับพระเนตรคมดุจพญาเหยี่ยวอย่างรู้เท่าทัน
"เรื่องราชโองการ?" ฉีเฟยหลงแสร้งถามทั้งๆ ที่ทราบเรื่องเป็นอย่างดี เพราะเป็นคนเสนอเรื่องนี้แก่ฝ่าบาทด้วยตัวเอง
"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม...ทรงทำเช่นนี้เพราะเหตุใด" แม่ทัพมู่ถามเสียงเข้มด้วยความจริงจัง
"ข้าเสียดายพรสวรรค์ในการเขียนรูปของนาง จึงนำรูปของนางให้ฝ่าบาททอดพระเนตรก็เท่านั้น" ฉีเฟยหลงกล่าวเหมือนเป็นเรื่องปกติ
"เอ๊ะ รูปเขียนหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ" ร่างหนามีสีหน้าประหลาดใจ
"ใช่ ข้าชื่นชอบรูปของนาง อยากได้เรือนเช่นนั้นบ้าง เลยอยากให้นางมาช่วยก็เท่านั้น ทำไม เจ้าคิดว่าข้าจะกราบทูลเรื่องใดหรือ" ฉีเฟยหลงย้อนถามยิ้มๆ
'อา...อาเหวิน ในที่สุดข้าก็ได้เห็นหน้าตาชวนขบขันของเจ้า คุณหนูชิงผู้นั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทำให้เจ้าร้อนรนกระวนกระวายใจได้ถึงเพียงนี้'
"โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่า..." แม่ทัพหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนซับสีแดงจางๆ ดัวยความอับอายระคนขัดเขิน นึกโมโหตนเองที่บุ่มบ่ามใจร้อนเกินไปจนเกือบเสียเรื่อง
"หึๆ ช่างเถิด ข้าเข้าใจดี เจ้าคงกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับของนางใช่หรือไม่" ฉีเฟยหลงถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริงเจือขบขัน
"โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินยิ่งก้มหน้าต่ำด้วยความละอายใจที่มองเจตนาขององค์รัชทายาทผิดไป
"เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้หรอก หากข้าเป็นเจ้าก็คงทำเช่นเดียวกัน" ฉีเฟยหลงกล่าวอย่างใจกว้าง
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มจึงประสานมือขอบคุณจากใจจริง และสนทนาต่อราวสองเค่อก็ทูลลา ก่อนจะควบเจ้าทาเสว่กลับจวนด้วยใบหน้าแช่มชื่น จิตใจปลอดโปร่ง และเป็นสุขดั่งยกภูเขาออกจากอก ซึ่งผิดกับขามาลิบลับ