"ที่เรือนพสุธาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จึงกลับมาไม่ได้" ชิงหลินถามเขา
"เรื่องนี้...คุณหนูรอถามนายท่านด้วยตนเองดีกว่าขอรับ" เฟิ่งอิงบ่ายเบี่ยง เนื่องจากเป็นคำสั่งเด็ดของนายท่าน
"อืม ข้ารู้แล้ว แล้วนั่นเจ้านำอะไรมาด้วยหรือ" นางเปลี่ยนเรื่องเมื่อหันไปเห็นหีบไม้สีดำใบใหญ่ไร้ลวดลายที่ตั้งอยู่ข้างหลังเฟิ่งอิง
"เครื่องมือสำหรับใช้เขียนรูปของคุณหนูขอรับ ข้าเกรงว่าท่านอยู่เฉยๆ อาจจะเหงา จึงนำมาให้" เฟิ่งอิงตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบลงมองพื้นตามเดิม
"อืม ดียิ่ง ขอบคุณมาก" ชิงหลินเดินไปที่หีบไม้ และเป็นเฟิ่งอิงที่รีบเข้ามาเปิดหีบให้ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในร่างเล็กก็นั่งคุกเข่าลง มือทั้งสองจับขอบหีบไว้พร้อมกับยิ้มพอใจ เพราะนอกจากพวกอุปกรณ์ในการเขียนรูปแล้ว ยังมีอาภรณ์สีขาวสีฟ้าน้ำทะเลและสีดำ ซึ่งเป็นสีที่นางชอบนับสิบชุดรวมอยู่ด้วย
ทางด้านเฟิ่งอิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามหีบไม้หลุบตามองคุณหนูด้วยสายตาอ่อนโยนและยินดี เมื่อเห็นใบหน้างดงามชื่นชอบสิ่งที่ตนนำมาจนเผลอมองนางอย่างลืมตัว ใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งถ้าลูกน้องคนสนิทอย่างปาเฉียน รองหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำได้เห็นคงคิดว่าตาฝาด หรือไม่ก็กำลังฝันอยู่เป็นแน่
"หลินหลิน ง่วงแล้ว ง่วงแล้ว...นอนนอน" เจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้ามา ปากเล็กๆ อ้าออกจนเห็นเขี้ยวแหลมคม ดวงตาสีเทากลมเล็กหรี่ปรืออย่างง่วงงุน
"เวลาใดแล้วหรือ" ชิงหลินเงยหน้าถามเฟิ่งอิง จึงสบเข้ากับดวงตาคมเรียวดุที่มองอยู่ก่อนแล้ว ทำเอาเฟิ่งอิงที่กำลังมองเพลินชะงักวูบ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติพลางตอบ
"เอ่อ...ยามซวีแล้วขอรับ"
มือเรียวปิดหีบที่เปิดค้างไว้แล้วลุกขึ้นกล่าวกับเฟิ่งอิง "เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถิด"
"เช่นนั้นข้าขอตัว" เฟิ่งอิงค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
"ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้ ถูกใจข้ามาก" ชิงหลินบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
"ด้วยความยินดีขอรับ" เฟิ่งอิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะหมุนกายสูงใหญ่ออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังออกมาจากห้องของคุณหนู ประตูก็พลันปิดลงแทบจะทันทีด้วยมือของสาวใช้นางหนึ่ง เฟิ่งอิงยืนพิงกำแพงใกล้กับประตู ลูบหน้าตนเองพลางถอนใจยาว เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าใบหน้าคมเข้มซับสีแดงจางๆ ด้วยความเก้อเขิน
ยามซื่อวันต่อมา ณ เรือนแสงจันทร์
อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆบดบัง เหล่ามวลพฤกษาที่เบ่งบานสวยสดงดงามในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะสิ้นสุดลงไม่ช้า
มู่หลิ่งฟู่และชิงฮูหยินกำลังรับรององค์รัชทายาท ที่เสด็จมาเยือนจวนเสนาบดีมู่โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทำเอาวุ่นวายไปทั้งจวน
"อาเหวินเล่า ไม่อยู่หรือ" ฉีเฟยหลงยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะถามเสียงเรียบ
"อาเหวินติดภารกิจ ค่ำๆ จึงจะกลับพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่ตอบ ดวงตาคมเหลือบมองสี่องครักษ์ร่างสูงใหญ่ในชุดองครักษ์สีดำเต็มยศ ที่ยืนอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทอย่างสนใจ
"อา...เช่นนั้นหรือ น่าเสียดาย" แม้จะเนิบนาบแต่ยังคงไว้ซึ่งน้ำเสียงตามแบบผู้สูงศักดิ์
มู่หลิ่งฟู่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ภายในใจเต็มไปด้วยคำถาม
"แล้ว...พยัคฆ์น้อยของเราอยู่ที่ใด" ฉีเฟยหลงเปลี่ยนคำถาม
"อยู่ที่เรือนจันทรากับคู่หมายของบุตรชายกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่เริ่มเข้าใจเจตนาของผู้มาเยือน จึงแสร้งเอ่ยคำว่า 'คู่หมายของบุตรชาย' ออกมา
"เช่นนั้นขอเราไปดูมันหน่อยได้หรือไม่" ฉีเฟยหลงทำเป็นไม่ใส่ใจกับถ้อยคำที่คล้ายเตือนให้รู้ว่านางสำคัญกับจวนแห่งนี้เพียงใด
"ย่อมได้แน่นอน กระหม่อมขออาสานำทางเอง ทูลเชิญพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่ตอบอย่างจำใจ
ฝ่ายชิงหลินหลังจากกินอาหารเช้ากับคู่หมายเรียบร้อยแล้ว ก็เลือกมานั่งเขียนรูปที่เก๋งริมสระบัวซึ่งอยู่ระหว่างเรือนเมฆาของแม่ทัพหนุ่มกับเรือนจันทรา โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากเฟิ่งอิงและสาวใช้ทั้งสองที่พยายามพูดโน้มน้าวให้นางพักผ่อนอยู่นิ่งๆ ไม่ให้ขยับตัวหรือทำอะไร เพราะกลัวว่าแผลจะอักเสบและหายช้า
ขณะเดียวกันเมื่อขบวนขององค์รัชทายาทซึ่งนำโดยฉีเฟยหลง เสนาบดีฝ่ายบู๊มู่หลิ่งฟู่ สี่องครักษ์ พ่อบ้านใหญ่ซือฝู และบ่าวหญิงอีกสี่นาง มาถึงทางแยกของเก๋งริมสระบัว ตาคมดุจพญาเหยี่ยวก็หยุดมองอย่างสนใจ เมื่อเห็นเป้าหมายที่หมายมาดไว้ จึงย่องเข้าไปอย่างแผ่วเบา ทั้งยังส่งสัญญาณไม่ให้ข้ารับใช้ที่ตามมาส่งเสียงดัง
มู่หลิ่งฟู่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนกังวลใจ เมื่อเห็นสายพระเนตรขององค์รัชทายาทที่มีต่อคู่หมายของบุตรชาย และภาวนาขออย่าให้เป็นเช่นที่สังหรณ์ใจ
เมื่อเฟิ่งอิงเห็นผู้สูงศักดิ์เดินเข้ามาในเก๋ง จึงรีบเข้าไปจะถวายความเคารพ แต่ถูกสั่งห้ามไว้เสียก่อน เลยเลี่ยงไปยืนข้างทางเพื่อให้องค์รัชทายาททรงพระดำเนินได้สะดวก
"อุ๊ย! องค์รัชทายาท" สองสาวใช้อุทานด้วยความตกใจ ลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ หน้าซีดตัวสั่น ด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้เข้าเฝ้าผู้สูงศักดิ์ใกล้ๆ เช่นนี้
ฉีเฟยหลงไม่สนใจพวกนาง เดินเข้ามาภายในเก๋งริมสระบัวโดยที่สายตาจับจ้องนางผู้ที่ตนเฝ้าคะนึงหาในช่วงนี้
มู่หลิ่งฟู่เห็นดังนั้นจึงตั้งใจจะเตือนนางให้รู้ตัว แต่ถูกองค์รัชทายาทยกพระหัตถ์ห้ามไว้ จึงค้อมศีรษะลงแล้วไปยืนอยู่ด้านข้างของเก๋ง
ฝ่ายชิงหลินเมื่อเริ่มลงมือเขียนรูปก็ลืมทุกสิ่งรอบตัวไปจนหมด แม้แต่เจ้าพยัคฆ์น้อยที่เห็นผู้คนมากมายก็เริ่มส่งเสียงเรียกและสะกิดนางหลายต่อหลายครั้ง หรือแม้แต่ใช้อุ้งเท้าป้อมสั้นทุบบริเวณต้นขาของนางแรงๆ นางก็หาได้สนใจมันไม่ จนเจ้าพยัคฆ์น้อยยอมแพ้ ขึ้นไปนอนบนตักนุ่มแล้วหลับตาลง
ฉีเฟยหลงนั่งนิ่งรอนางอยู่พักใหญ่โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรูปที่นางเขียนด้วยซ้ำ เหตุเพราะเคยพบเห็นภาพที่งดงามจากจิตรกรมีชื่อเสียงมากฝีมือมามากมายนับมิถ้วนแล้ว แม้รูปของสตรีจะเป็นที่น่าสน แต่สมาธิของนางจะดีเกินไปหน่อยหรือไม่ จึงไม่รู้ว่าถึงการมาของผู้คน
"เอ่อ...ทูลองค์รัชทายาท เวลาที่นางลงมือเขียนรูป นางจะหลงลืมสิ่งที่อยู่รอบตัว กระหม่อมเกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเสียเวลา เชิญกลับไปประทับที่เรือนแสงจันทร์ก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่ออกความเห็นเมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเมื่อครู่นี้
"ไม่เป็นไร เราจะรอที่นี่" ฉีเฟยหลงกล่าว ไม่หันกลับไปมองผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ร่างสูงศักดิ์ย้ายมานั่งด้านหลังหญิงสาว ตาคมดุจพญาเหยี่ยวกระตุกอย่างตื่นตะลึง จับจ้องรูปที่ร่างเป็นดอกบัวสลับกับเครื่องมือที่นางใช้เขียนลวดลายแทบไม่วางตา เหตุเพราะนางไม่ได้ใช้พู่กันเฉกเช่นจิตรกรทั่วไป แต่กลับใช้แท่งไม้สีดำหุ้มผ้าปลายแหลมแทน ซ้ำยังไม่มีน้ำหมึกหกเลอะเทอะซึมเปื้อนกระดาษให้ต้องรำคาญใจ ช่างเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจยิ่งนัก นางไปหาซื้อเครื่องมือที่วิเศษเช่นนี้จากที่ใดกัน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามรูปผีเสื้อแสนสวยที่ดูดกลืนน้ำหวานจากเกสรสีเหลืองของดอกบัวสีชมพูอมม่วงดอกใหญ่ก็เสร็จสิ้น
"เฮ้อ เสร็จเสียที" นางยกแขนบิดตัวคลายความเมื่อยขบ แต่เมื่อบิดมาทางซ้ายก็สบเข้ากับดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวที่นั่งขัดสมาธิเยื้องอยู่ข้างหลังเข้าอย่างจัง
"องค์...รัชทายาท ฮะ! ตายแล้ว ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ" ชิงหลินรีบขยับถอยออกไปสามครั้ง ก่อนจะโขกศีรษะกับพื้น
"หึๆ ฮ่าๆๆ ตามสบายเถิด" ฉีเฟยหลงขบขันกับท่าทางของนางจนหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะเย้านางอย่างอารมณ์ดี "อ้อ อีกอย่าง เราไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก"
"โปรดประทานอภัยด้วยเพคะ" ชิงหลินเงยหน้าขออภัย แล้วรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว
"เราแค่หยอกเจ้าเล่น นี่เจ้าเป็นเช่นนี้บ่อยหรือ" ฉีเฟยหลงถาม รู้สึกประหลาดใจที่เพียงได้เห็นและสนทนากับนาง ก็รู้สึกคล้ายความเครียดที่สะสมในใจบรรเทาเบาบางลงอย่างไม่น่าเชื่อ
"เอ๊ะ!. ทรงหมายถึงอะไรเพคะ"
"เรื่องนี้อย่างไรเล่า" ฉีเฟยหลงชี้ไปที่รูปเขียน
"อ๋อ เอ่อ...เป็นทุกครั้งเพคะ"
"เช่นนั้น...หากเป็นภาพที่ต้องใช้เวลานานๆ จะเป็นเช่นใดหรือ" ฉีเฟยหลงถามต่อ
"ก็...ต้องมีใครสักคนมาดึงดินสอออกจากมือหม่อมฉัน เช่นนั้นก็โอเค...เอ๊ย!...ใช้ได้แล้วเพคะ" ชิงหลินรีบเปลี่ยนคำพูด
"ทูลองค์รัชทายาท อาจารย์หูเอ้าเทียนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่รีบกราบทูล
"หืม หูเอ้าเทียน เจ้าสำนักศิลปะหลิ่งจือผู้นั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท" มู่หลิ่งฟู่ตอบ
"ให้รอไปก่อน" ฉีเฟยหลงหาได้ใส่ใจไม่
"เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่หันไปพยักหน้าให้บ่าวรับใช้นำข่าวนี้ไปแจ้งแก่หูเอ้าเทียน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวครึ่งลี้
"อืม ข้ารู้แล้ว"
น้ำเสียงเนิบนาบ ใบหน้าเรียบนิ่ง ทิ้งมาดของคุณชายเจ้าสำอางเสียสิ้น ดวงตาหวานฉ่ำมองไปทางเก๋งริมสระบัวครู่หนึ่ง แล้วจึงหมุนกายสูงกลับไปยังเรือนแสงจันทร์ที่มู่หลิ่งเฟิงรออยู่
ณ เก๋งริมสระบัว
"เหตุใดจึงไม่ใช่พู่กันวาดเล่า" ฉีเฟยหลงถามสตรีที่อยู่เบื้องหน้า
"ทูลองค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่ถนัดใช้พู่กัน จึงเลือกใช้ดินสอถ่านไม้แทนเพคะ" ชิงหลินก้มหน้าตอบ
ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ถูกเทกระจาดจนตกลงมาจากตักของหลินหลิน บัดนี้นอนราบกับพื้น วางหัวไว้บนเท้าทั้งสอง ดวงตากลมเล็กสีเทามององค์รัชทายาทนิ่ง ดูสงบเสงี่ยมกว่าทุกครั้งจนนางแปลกใจ
"เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า...ดินสอถ่านไม้?" ฉีเฟยหลงหยิบแท่งไม้กลมขนาดเท่านิ้วเด็ก ยาวราวห้าชุ่นขึ้นมาก่อนจะพลิกไปพลิกมา
"เพคะ" นางตอบห้วนๆ เพราะขาเริ่มชา อีกทั้งยังรู้สึกตึงและคันแผลที่หลัง นางจึงเริ่มอยู่ไม่สุข ขยุกขยิกขยับไปมา อยากจะเกาหลังให้หายคันแต่ก็ทำไม่ได้
"เจ้าเป็นอันใด เจ็บแผลหรือ" ฉีเฟยหลงถาม
"ทูลองค์รัชทายาท นี่ก็ได้เวลาที่นางต้องกินยาพอดีพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่เห็นโอกาสจึงรีบกราบทูลทันที
"อา...เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปพักเถิด" ฉีเฟยหลงกล่าวอย่างเสียดาย ด้วยปรารถนาจะสนทนากับนางให้นานกว่านี้
"เพคะ" ชิงหลินดีใจ อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยขึ้นมาแนบอก กำลังจะคลานเข่าออกไป
"หยุดก่อน เจ้าได้ใช้ยาที่เรามอบให้หรือไม่" ฉีเฟยหลงถามเสียงนุ่ม
"เอ่อ...ใช้เพคะ" ชิงหลินตอบตามจริง
"ดี ยาตลับนั้นรักษาบาดแผลต่างๆ ได้ผลดียิ่ง สิบวันแผลของเจ้าจะหายเป็นปกติ โดยไม่เหลือร่องรอยแผลเป็นใดๆ"
"ขอบพระทัยเพคะ"
"ไปเถิด เราไม่อยากถูกเสนาบดีมู่ตำหนิว่าเราทำให้เจ้ากินยาไม่ตรงเวลา" ฉีเฟยหลงหันไปเย้ามู่หลิ่งฟู่
"องค์รัชทายาท กระหม่อมจะกล้าตำหนิพระองค์ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่ดูร้อนรนเล็กน้อยยามที่กล่าว
"หึๆ เราเพียงหยอกท่านเล่น อย่าได้กังวลไปเลย" ฉีเฟยหลงยิ้มบาง
"เช่นนั้น...หม่อมฉันทูลลาเพคะ" ชิงหลินรีบขอตัวกลับเรือนจันทราทันที
"อา...รูปเขียนนั่นเราขอได้หรือไม่" ฉีเฟยหลงขอดื้อๆ เมื่อเห็นนางทำท่าจะนำรูปกลับไปด้วย
"ได้เพคะ" แม้จะสงสัยแต่ก็ยอมถวายรูปเขียนให้โดยดี
"ขอบใจ" ฉีเฟยหลงยิ้มพอใจที่ได้รูปของนางเป็นที่ระลึก โดยลืมจุดประสงค์ที่แจ้งแก่มู่หลิ่งฟู่ไปเสียสนิท
มู่หลิ่งฟู่เห็นแล้วก็ถอนใจอย่างโล่งอก มองดูคู่หมายของบุตรชายถูกสองสาวใช้วัยไล่เลี่ยกันประคองกลับเรือนจันทรา โดยมีเฟิ่งอิงอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยตามไปห่างๆ อย่างเป็นห่วงและกังวลในคราวเดียวกัน ถึงขนาดมอบยาล้ำค่าให้เช่นนี้ ดูจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้วกระมัง
ฉีเฟยหลงอยู่สนทนากับมู่หลิ่งฟู่และผู้เข้ามาใหม่อย่างหูเอ้าเทียนที่เก๋งริมสระบัวอย่างออกรสหัว ข้อสนทนามิใช่เรื่องการเมืองหรือเรื่องที่บุรุษควรสนทนากันแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเรื่องราวของคุณหนูหลินแห่งคฤหาสน์สกุลชิง
"นี่คือ?" ฉีเฟยหลงถามหูเอ้าเทียน เมื่อเห็นม้วนกระดาษสีขาววางอยู่เบื้องหน้า
"ทูลองค์รัชทายาท นี่ก็คือรูปเขียนของคุณหนูชิงพ่ะย่ะค่ะ" หูเอ้าเทียนตอบก่อนจะปลดเชือกเพื่อกางรูปที่กว้างยี่สิบชุ่นยาวสามสิบชุ่นให้องค์รัชทายาทและเสนาบดีมู่ได้ชม
พอได้เห็นภาพฉีเฟยหลงกับมู่หลิ่งฟู่ก็ถึงกับตะลึง ดวงตาเบิกกว้างอย่างมิเชื่อสายตาตนเอง ด้วยไม่เคยพบเห็นรูปบ้านเรือนลักษณะแปลกประหลาดทว่างดงามเช่นนี้มาก่อน
ความจริงรูปที่ชิงหลินเขียนไม่ได้ตรงกับหัวข้อรูปทิวทัศน์ในจินตนาการ เพราะรูปที่เขียนเป็นเรือนไทยสมัยโบราณหลังใหญ่ ใส่ลายกนกเพิ่มเติมตามจุดต่างๆ ที่ตัวเองชอบ ทั้งยังใช้นิ้วแต้มผงสีที่ได้จากเครื่องประทินโฉมมาทาในส่วนที่ต้องการ ด้านหน้ามีโอ่งลายมังกรใบใหญ่ มีแผ่นไม้วางเรียงกันสี่แผ่นอยู่ใกล้ๆ ก้นโอ่ง มีบันไดเชื่อมต่อจากพื้นถึงตัวประตูเรือนรวมเก้าขั้น นางเลือกเขียนรูปนี้เพราะคิดถึงบ้าน
"เราไม่เคยเห็นเรือนหรือจวนเช่นนี้มาก่อน นางบอกหรือไม่ว่าเป็นสถานที่ใด" ฉีเฟยหลงถามหูเอ้าเทียน
"กระหม่อมเองก็ใคร่รู้เช่นกัน แต่น่าเสียดาย..." หูเอ้าเทียนถอนใจยาวอย่างเสียดาย
"กระหม่อมคิดว่ารอให้นางหายดีแล้วค่อยสอบถามเรื่องนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งฟู่รีบกราบทูล ด้วยเกรงว่านางจะถูกรบกวนมิรู้จักจบสิ้น
"อืม เราก็คิดเช่นนั้น แล้วภาพนี้นางมอบให้ท่านหรือ" ฉีเฟยหลงถาม
"มิได้ เป็นของที่นางมอบให้คุณชายน้อยสกุลมู่พ่ะย่ะค่ะ" หูเอ้าเทียนตอบ
"ท่านเสนาบดี เราขอยืมรูปนี้สักสองสามวันได้หรือไม่" ฉีเฟยหลงหันมาถามมู่หลิ่งฟู่
"พ่ะย่ะค่ะ" ถึงจะอยากปฏิเสธ แต่องค์รัชทายาทก็คงหาทางเอาไปอยู่ดี มู่หลิ่งฟู่บ่นในใจ
"ขอบใจ" ฉีเฟยหลงยิ้ม ไม่ใส่ใจกับท่าทีคล้ายจนใจของอีกฝ่าย แล้วกลับวังด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขพร้อมกับแผนการในใจ
ยามซวี ณ เรือนจันทรา
สองสาวใช้กำลังทำแผลใส่ยาให้คุณหนูชิงที่นอนคว่ำหน้าแนบกับหมอนขนเป็ด ผมยาวเงางามถูกรวบเก็บไว้เหนือไหล่ข้างหนึ่ง
"คุณหนู แผลของท่านสมานตัวเร็วนัก ยาขององค์รัชทายาทใช้ได้ผลดียิ่งเจ้าค่ะ" หนึ่งในสองสาวใช้กล่าวขึ้น เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
"อย่างนั้นหรือ" ชิงหลินงึมงำเบาๆ ด้วยความเคลิ้ม ทำท่าจะหลับเพราะยาตัวนี้มีฤทธิ์เย็น ไม่แสบร้อนเหมือนยาบางตัว
"คุณหนู อย่าเพิ่งหลับนะเจ้าคะ" สาวใช้อีกนางรีบร้องบอกคุณหนู เพราะรู้ดีว่าหากคุณหนูผู้นี้หลับ พวกนางจะต้องเหนื่อยหนักกว่าเดิมหลายเท่านัก
เจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนอยู่ใกล้ๆ เงยหัวขึ้นมองหลินหลิน มันเปิดปากหาวจนเห็นเขี้ยวขาวอันแหลมคมและทรงพลัง แล้วจึงก้มลงนอนต่อ
หลังจากทำแผลใส่ยาเรียบร้อยแล้ว ชิงหลินก็ไล่ให้ทั้งสองคนไปนอน ไม่ต้องมานอนเฝ้า ซึ่งทั้งคู่ก็ทำตามโดยดี
เฟิ่งอิงที่ซ่อนตัวพิงกายอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าเรือนจันทรา มองสองสาวใช้เดินกลับเรือนสาวใช้จนลับสายตา แล้วเบนสายตาคมเรียวดุกลับมายังเรือนจันทราที่มืดสนิท บอกให้รู้ว่าเจ้าของเรือนเข้านอนแล้ว เฟิ่งอิงจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมายก่อนจะงีบหลับไป
ราวยามจื่อทุกชีวิตต่างหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา แต่ที่หน้าต่างเรือนเมฆากลับปรากฏเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งพลางเอามือไพล่หลัง โดยหันหน้ามาทางเรือนจันทรา
มู่หลิ่งเหวินผู้เป็นเจ้าของเรือนนั่นเอง ด้วยความเป็นห่วงและเกรงว่านางจะขุ่นเคืองที่ตนผิดสัญญากลับมาล่าช้า เมื่อกลับมาถึงจึงตั้งใจจะไปดูนาง แต่ถูกหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำขัดขวาง แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่เหตุผลที่กล่าวอ้างก็ทำให้แม่ทัพหนุ่มยอมกลับเรือนแต่โดยดี
ยามเฉิน ณ เรือนจันทรา
มู่หลิ่งเหวินสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปักลายพยัคฆ์สีเงิน คาดเข็มขัดหนังสีดำเส้นโตหัวพยัคฆ์ดูน่าเกรงขาม ผมรวบสูงเก็บเรียบร้อย สองมือไพล่หลัง ยืนหันหลังให้ประตูทางเข้าที่ยังปิดสนิท ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนตึงขึ้นสองส่วน เพราะถูกกีดกันมิให้เข้าไปรอด้านใน
"เรียนคุณชาย คุณหนูเชิญที่โต๊ะอาหารเจ้าค่ะ" สาวใช้เปิดประตู เดินมาแจ้งแม่ทัพหนุ่ม
"พี่ใหญ่ ท่านมานานแล้วหรือ" มู่หลิ่งเฟิงเอ่ยทักพี่ชาย
"น้องเล็ก? เจ้ามาทำอันใด" ร่างสูงชะงักเท้า หมุนกายสูงกลับมาถามน้องชาย
"ข้ามากินอาหารเช้ากับพี่หลินเอ๋อร์ขอรับ" เด็กน้อยตอบเสียงใส ใบหน้าแย้มยิ้มเต็มที่ ดูน่ารักน่าเอ็นดู
"เช่นนั้นหรือ" ผู้เป็นพี่ชายกล่าวเสียงต่ำ ใบหน้าหล่อเหลาตึงขึ้นอีกสองส่วนยามที่ปรายตามองน้องชายด้วยความหงุดหงิด
"ข้าเข้าไปก่อนนะพี่ใหญ่" น้องชายรีบเข้าไปด้านในทันที โดยปล่อยให้พี่ชายยืนหน้าตึงอยู่ตรงทางเข้านั่นเอง
"เจ้าก็ด้วยหรือ" มู่หลิ่งเหวินถามหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำที่ขยับกายจะเดินเข้าไปด้านใน
"ขอรับ" เฟิ่งอิงประสานมือคำนับแล้วเดินเข้าไปด้านใน
'นางเล่นตลกอันใด กำลังทดสอบความอดทนอดกลั้นของข้าอยู่เช่นนั้นหรือ คอยดูเถิดว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร' ร่างสูงจึงสาวเท้าเข้าไปพร้อมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ที่โต๊ะอาหารกลางห้อง
"เชิญนั่งเจ้าค่ะ" ชิงหลินเชิญให้คู่หมายนั่งลงข้างตัวเอง เพราะเฟิ่งอิงเลือกที่จะนั่งถัดไปจากมู่หลิ่งเฟิง
ร่างสูงนั่งลงข้างคู่หมายด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น ทั้งหงุดหงิดและขุ่นเคืองใจด้วยหวังไว้ว่าจะได้ใช้ช่วงเวลาอาหารเช้าร่วมกันเพียงลำพัง แล้วเหตุใดนางจึงชวนเจ้าสองคนนี้มากัน!? ย่าเจ้าเถิด!
เจ้าพยัคฆ์น้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของหลินหลินเงยหัวกลมๆ เล็กๆ มองเจ้าร่างยักษ์ที่กำลังหงุดหงิดอารมณ์เสีย แล้วละสายตาไปทางเจ้าเด็กน้อยที่นั่งยิ้มหน้าแดงมองหลินหลินของมันอยู่ ก่อนจะเบนดวงตาสีเทาไปทางเจ้าร่างยักษ์อีกคนที่นั่งนิ่งไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงดวงตาคมที่เหลือบมองหลินหลินเป็นระยะๆ
"หลินหลิน หิวแล้ว ฟานฟาน...หิวแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยเลิกสนใจทั้งสามคน ละสายตากลับมาอ้อนนางแทน
"อืม" ชิงหลินหันไปทางสาวใช้ เพียงครู่เดียวบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารร้อนๆ สดใหม่สี่ห้าอย่าง ส่งกลิ่นหอมฉุยชวนน้ำลายสอ
"นี่หิวจนน้ำลายไหลเลยหรือ" หญิงสาวเย้าเจ้าพยัคฆ์น้อยที่น้ำลายไหลจนหยดลงบนหลังมือ นางวางมันลงบนพื้นหน้าชามนมแพะและไก่สด ทันทีที่เท้าทั้งสี่แตะพื้น มันก็รีบก้มเลียนมแพะตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่งกิน
"เช่นนั้นก็กินกันเถิด" มู่หลิ่งเหวินกล่าว พลางหยิบตะเกียบและถ้วยข้าวขึ้นมาถือไว้ คีบผัดผักสามอย่างใส่ในถ้วยข้าวของคู่หมาย
"เอ่อ...ขอบคุณเจ้าค่ะ" นางก้มหน้าเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
"พี่หลินเอ๋อร์ ลองชิมนี่ดูสิขอรับ รสชาติดียิ่งนัก" มู่หลิ่งเฟิงคีบเนื้อไก่ตุ๋นยาจีนใส่ในถ้วยข้าวของว่าที่พี่สะใภ้บ้าง โดยมีสายตาไม่พอใจของพี่ชายมองมา แต่เด็กน้อยก็หาได้หวาดกลัวไม่
"อืม รสชาติดี เฟิ่งอิงก็ลองชิมดูสิ" ชิงหลินหันไปบอกบุรุษที่นั่งกินเงียบๆ อยู่ข้างเด็กน้อย
เฟิ่งอิงชะงักตะเกียบ เหลือบมองแม่ทัพหนุ่มที่คีบอาหารเข้าปากอย่างต่อเนื่อง แม้จะดูเหมือนไร้ความรู้สึกใดๆ แต่บรรยากาศแปลกๆ ชวนอึดอัดก็ทำให้เฟิ่งอิงรีบพุ้ยข้าวเข้าปาก ตามด้วยกระดกชาไปหนึ่งถ้วยแล้วลุกขึ้น
"อิ่มแล้วหรือ" ชิงหลินถาม
"ขอรับ ข้าขอตัว" เฟิ่งอิงตอบพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ค้อมศีรษะให้แม่ทัพหนุ่มและคุณหนูแล้วเดินออกจากเรือนจันทราไปทันที
"ข้าก็อิ่มแล้ว เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ พี่หลินเอ๋อร์ พี่ใหญ่" มู่หลิ่งเฟิงก็รีบลุกขึ้น แล้วจากไปอย่างรวดเร็วไม่ทันให้นางได้ทักท้วง
"โกรธที่ข้าผิดสัญญาหรือ" กล่าวพร้อมคีบผัดผักสามอย่างใส่ลงในถ้วยข้าวของนางด้วยใบหน้าแย้มยิ้มพอใจ ที่ไม่มีมารอยู่คอยขัดขวางตนและคู่หมายอีก
"โกรธ? เหตุใดข้าต้องโกรธท่าน" มือเรียววางถ้วยข้าวและตะเกียบลงข้างชาม ก่อนจะยกชาขึ้นจิบช้าๆ พลางเหลือบมองเขาด้วยหางตา
"แล้วที่สองคนนั้นมากินอาหารเช้าด้วย เจ้าจะอธิบายอย่างไร" มือหนาวางตะเกียบและถ้วยข้าวลงบ้างแล้วหันมาทางคู่หมาย ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่มองอย่างรู้ทัน
"ข้าแค่ไม่อยากกินคนเดียว" ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำเล็กน้อยยามตอบ นางไม่ได้โกรธ ก็แค่น้อยใจที่เขาผิดสัญญาบอกว่าจะกลับมากินอาหารเย็นด้วยกัน แต่เขากลับไม่มา
"หลินเอ๋อร์" มือหนาจับไหล่บางให้หันมาแล้วเอ่ยเรียกนางเสียงหวาน แต่นางกลับหันหน้าหนีไม่มองหน้าเขา "หลินเอ๋อร์" มู่หลิ่งเหวินประคองใบหน้าจิ้มลิ้ม "มองตาพี่ หลินเอ๋อร์" เขาขอร้องแกมบังคับ นิ้วโป้งทั้งสองไล้แก้มนวลเนียนนุ่มนิ่มเบาๆ ก่อนจะกล่าว "พี่ขอโทษ"
นางแสร้งหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว "ก็ได้เจ้าค่ะ"
"เด็กดี" มู่หลิ่งเหวินยิ้มโล่งอก "พี่ต้องไปแล้ว เย็นนี้รอพี่นะ อย่าด่วนชิงหลับไปเสียก่อนเล่า"
"ไม่รับปากเจ้าค่ะ เพราะข้าต้องกินข้าวและยาให้ตรงเวลาตามที่หมอสั่งไว้" นางกล่าวจบก็หันหน้าไปทางอื่น
"ฮึ วาจาเจ้าช่างเชือดเฉือนใจพี่นัก" มู่หลิ่งเหวินตัดพ้อด้วยสีหน้าเศร้า
"โอ๊ย! เจ็บนะเจ้าคะ มาหยิกแก้มข้าทำไม" ชิงหลินร้องเสียงดัง ลูบแก้มพร้อมถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง
"เจ็บมากหรือ" แม่ทัพหนุ่มจับมือของนางออก ลูบแก้มทั้งสองข้าง จากนั้นก็กดริมฝีปากลงที่แก้มนวลนุ่มนิ่มอย่างรวดเร็วก่อนผละออกมาส่งยิ้มหวานแล้วจากไป ปล่อยให้คนถูกหลอกกินเต้าหู้แข็งเป็นหินอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งเค่อ โดยมีสองสาวใช้ยืนก้มหน้าแดงก่ำอยู่ข้างประตูทางเข้า
เจ้าพยัคฆ์น้อยเห็นหลินหลินของมันยืนนิ่งไม่ไหวติง จึงส่งเสียงเรียกนาง "หลินหลิน...กินยา ยาเย็น...ขมขม"
"อะ...อืม" ร่างเล็กที่ได้สติเดินกลับมานั่งที่เดิมด้วยใบหน้าแดงก่ำ มองถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด