webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ตอนที่ 2 คุณหนูที่เปลี่ยนไป

สามวันต่อมา

ในเรือนหยกฟ้ายามดึกสงัดผู้เป็นเจ้าของเรือนกลับไม่อาจข่มตาหลับได้ เพราะเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวสามวันก่อน เมื่อแม่นมฝูและสาวใช้ออกไปไม่นาน พ่อบ้านฝูก็กลับมาพร้อมหมออาวุโสท่านหนึ่ง หลังจากตรวจดูชีพจร หมออาวุโสพลันมีสีหน้าประหลาดใจระคนเหลือเชื่อ

"มีอะไรหรือท่านหมอ"

"เอ่อ...เรียนนายท่านชิง ชีพจรคุณหนูเต้นปกติดี ไม่มีสิ่งบ่งบอกว่าเจ็บป่วยแต่ประการใดขอรับ" ท่านหมอกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจเด่นชัด ด้วยตรวจรักษาคุณหนูชิงผู้นี้มานานหลายปี จึงรู้ดีว่าคุณหนูชิงมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้

"เป็นความจริงหรือ อะไรกัน คราวก่อนๆ ท่านยังบอกว่าโรคของนางหมดทางเยียวยาแล้วมิใช่หรือ" ชิงหยวนถามเสียงห้วน ใบหน้าบึ้งตึง

"เอ่อ...เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ แต่คราวนี้ร่างกายของคุณหนูกลับปกติดีทุกอย่าง จนข้าเองก็ยังประหลาดใจ" ท่านหมอเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย

"เช่นนั้น...ความหมายของท่านคือหลินเอ๋อร์ของข้าหายดีแล้วใช่หรือไม่" ชิงฮูหยินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย

"เป็นเช่นนั้นขอรับ นายหญิงชิง"

คำตอบหนักแน่นของหมออาวุโสเรียกน้ำตาแห่งความดีใจระคนโล่งใจของชิงฮูหยินออกมา นางโผเข้ากอดบุตรีที่นั่งอมยิ้มไม่พูดจาเอาไว้แนบอก พร้อมกับพร่ำขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด

'งานนี้ต้องขอบคุณท่านยมซะแล้ว' ช่อลดาคิดในใจ เพราะอย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องมาทนทรมานกับโรคที่ไม่มีทางรักษาอย่างเจ้าโรคหัวใจนี่ ซึ่งอาจจะทำให้เธอสนุกได้ไม่เต็มที่

"เฮ้อ ต้องอยู่ต่อไปในร่างนี้สินะ" ร่างบางถอนใจพลางเอนหลังพิงหัวเตียง สายตาเหม่อมองต้นเหมยนอกหน้าต่างที่ปกคลุมด้วยดอกสีขาวอมชมพูจนดูคล้ายหมวกใบใหญ่บ่งบอกว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เมื่อตั้งจิตแน่วแน่ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน ราวกับดูภาพยนตร์หกมิติอยู่ก็ไม่ปาน

ชิงหลิน วัยสิบหกปี เกิดในตระกูลคหบดี เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของชิงหยวนและหยางเหม่ยหลิน ตระกูลของชิงหยวนเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งจากการค้าขายสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด มีสัญญาซื้อขายผูกขาดในการจัดหาม้าพันธุ์ดีให้แก่กองทัพแคว้นฉี รวมถึงเสาะหาสัตว์เลี้ยงแปลกๆ หายากให้แก่บรรดาเชื้อพระวงศ์ ชนชั้นสูง และขุนนาง ไม่เว้นแม้กระทั่งเศรษฐีผู้มีอันจะกิน จนชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลด้วยถือคติที่ว่า 'ไม่มีคำว่าผิดหวังถ้าให้เราจัดการ'

ส่วนหยางเหม่ยหลินผู้เป็นมารดาและเป็นฮูหยินเพียงคนเดียวของชิงหยวน เพราะสามีของนางไม่ปรารถนาสตรีอื่นแม้จะไร้บุตรชายสืบสกุลก็ตาม เป็นบุตรีคนโตของหยางเฉินหราง เจ้ากรมพิธีการ ขุนนางตงฉินแห่งแคว้นฉี ตระกูลหยางเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ทำคุณประโยชน์นานัปการจนได้รับจวนพระราชทานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน

ขณะที่บุตรสาวอย่างชิงหลินนั้นหัวใจอ่อนแอมาแต่กำเนิด ทำให้ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ ไม่มีใครกล้าขัดด้วยเกรงว่าอาการของนางจะกำเริบ ทำให้นางกลายเป็นคุณหนูผู้เอาแต่ใจ เย่อหยิ่ง อวดดี แถมยังอารมณ์ร้าย มักจะข่มเหงบ่าวไพร่เป็นประจำ บ่าวไพร่ส่วนใหญ่จึงไม่ชื่นชอบนาง บางคนเกลียดชังถึงขั้นสาปแช่งให้นางตายๆ ไปเสียด้วยซ้ำ

ฤดูใบไม้ผลิที่เจ็ดชิงหลินตกม้าจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้นางเกลียดชังสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด ตรงข้ามกับช่อลดาที่รักสัตว์มาก แม้แต่กิ้งกือหรือไส้เดือนก็เคยจับมาเลี้ยง

ชิงหลินมีพรสวรรค์ด้านดนตรีโดยเฉพาะพิณ กู่เจิง และขลุ่ย แต่ช่อลดาหยิบจับเครื่องดนตรีอะไรเป็นต้องพัง สมัยเรียนปริญญาตรีเคยโดนตะเพิดออกมาจากห้องดนตรี เพราะเผลอไปชนกลองชุดจนล้มระเนระนาด ยังไม่พอ เธอยังเหยียบกลองเสียจนทะลุ!

หากจะกล่าวถึงเสียงเพลง ชิงหลินร้องได้ไพเราะสะกดใจคนฟังยิ่งนัก ผิดกับช่อลดาที่อาจารย์ภาควิชาดนตรีบอกว่าเพี้ยนระดับสิบเต็ม!

ใบหน้าของชิงหลินจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น่ารัก บอบบาง น่าทะนุถนอม แต่ซ่อนรูป โดยเฉพาะหน้าอกที่ใหญ่เกินตัว ทำให้นางดูเย้ายวนน่าหลงใหล ตรงข้ามกับช่อลดาอย่างสิ้นเชิง หน้าตาบ้านๆ หาจุดเด่นไม่เจอ แล้วยังอ้วนกลมเป็นกระปุกตั้งฉ่าย!

ชิงหลินพิถีพิถันเรื่องการแต่งกายทุกขั้นตอน นางโปรดปรานสีชมพู ตรงข้ามกับช่อลดาที่เกลียดสีชมพูเข้าไส้ แต่เธอชอบสีฟ้า สีน้ำเงิน สีขาว และสีดำ เพราะเรียบง่ายทั้งยังไม่เด่นจนสะดุดตา

ชิงหลินเชี่ยวชาญกลอนและบทกวี แต่ช่อลดาไร้พรสวรรค์ด้านนี้อย่างสิ้นเชิง

สรุปว่าชิงหลินมีพรสวรรค์เพียบพร้อมทุกด้าน ยกเว้นเรื่องเดียวคือพรสวรรค์ด้านวาดรูปที่มีเพียงน้อยนิด อาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอเลยไม่ค่อยได้ออกไปไหน ทำให้วิสัยทัศน์คับแคบเหมือนกบอยู่ในกะลาครอบ ผิดกับช่อลดาที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะภาพทิวทัศน์ ภาพสัตว์ต่างๆ และภาพเหมือนจริงจนแทบจะแยกไม่ออก เธอเป็นนักวาดการ์ตูนอิสระที่ส่งผลงานให้แก่สำนักพิมพ์ชื่อดัง และยังเป็นศิลปินอิสระที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว โดยผลงานของเธอเป็นที่ต้องการของนักสะสม

นอกจากนี้ชิงหลินยังมีคู่หมายแล้วคือ มู่หลิ่งเหวิน แม่ทัพไร้พ่ายวัยยี่สิบห้าปี ฉายาเทพสงคราม บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในแคว้นที่สตรีใฝ่ฝันถึงมากที่สุด แม้จะสุขุมเยือกเย็น แต่ก็เจ้าเล่ห์มากด้วยแผนการ ทั้งยังเด็ดขาดและไร้ความปรานียามอยู่ในสนามรบ

บุรุษผู้ไม่เคยเห็นชิงหลินอยู่ในสายตา 'เจ้าคือน้องสาว' เป็นคำตอบที่เขามีให้นางมาตลอดหลายปี เพราะไม่เห็นด้วยกับการจับคู่ครั้งนี้จึงพยายามผลักไสนางให้บุรุษอื่น แต่นางก็ยังดึงดันด้วยการยืนยันหนักแน่นว่าอย่างไรก็ต้องแต่งเข้าสกุลมู่ให้จงได้ ความแน่วแน่ ความมุ่งมั่น และปักใจรักชายเพียงคนเดียวของชิงหลิน ทำให้ช่อลดาชื่นชมยิ่งนัก แต่เมื่อเขาไม่รักจะไปฝืนใจเขาทำไม แต่งไปแล้วคงไม่แคล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า ได้ครอบครองแค่ตัวก็ไม่ต่างอะไรกับได้ครอบครองร่างที่ไร้วิญญาณ แล้วมันจะไปมีความหมายอะไร

"ชิงหลิน ฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เขาเป็นอิสระแล้วละ และต่อไปนี้ฉันคือชิงหลิน ไม่ใช่ช่อลดาอีกต่อไป" ช่อลดาพึมพำเบาๆ พร้อมกับละสายตากลับมา แสงสลัวจากพระจันทร์เสี้ยวทำให้พอมองเห็นร่างสองสาวใช้รางๆ คนหนึ่งฟุบหลับอยู่ที่ขอบเตียงไม้ของชิงหลิน ส่วนอีกคนก็ฟุบหลับบนโต๊ะไม้แปดเหลี่ยมกลางห้อง เมื่อเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันต่อมาก่อนยามเฉิน [1] ราวหนึ่งเค่อ [2]

"ต่อไปนี้เจ้าสองคนไม่ต้องมานอนเฝ้าข้าแล้ว"

สองสาวใช้ที่กำลังสางผมและจัดชุดให้คุณหนูของตนชะงัก พลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะคาดเดาไปต่างๆ นานา ความสับสนและสงสัยเกิดขึ้นในใจของสาวใช้ทั้งสอง ด้วยที่ผ่านมาพวกนางต้องนอนเฝ้าคุณหนู ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันหรืออาการของคุณหนูจะกำเริบ

เสี่ยวอี้ สาวใช้ผู้พี่วัยสิบเจ็ดปีเริ่มสางผมให้คุณหนูของนางต่อ พลางครุ่นคิดเรื่องราวสองสามราตรีที่ผ่านมา คุณหนูอาบน้ำเอง ไม่ให้นางคอยอยู่ปรนนิบัติ ซ้ำยังให้นางรั้งอยู่หลังฉากกั้นไม่ให้เข้าไปวุ่นวาย

น้ำมันใส่ผม เครื่องประทินผิว หรือน้ำหอมกลิ่นดอกชื่อซู่ซิน [3] ก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นดอกโม่ลี่ [4] ซึ่งนางเองก็ชื่นชอบเพราะกลิ่นหอมละมุนของดอกโม่ลี่ชวนให้ผ่อนคลาย สีชมพูที่สุดแสนจะโปรดปราน คุณหนูก็สั่งให้พับเก็บใส่หีบเสียสิ้น หันมาสวมชุดเรียบๆ ไร้ลวดลาย จำพวกสีขาว สีฟ้า สีน้ำเงิน สีเทา หรือแม้แต่สีดำ กระนั้นความงามกลับไม่ได้ด้อยลง แต่คล้ายจะช่วยเสริมส่งให้คุณหนูของนางดูงดงามยิ่งขึ้นหลายส่วน หรือเป็นเพราะใบหน้างดงามไร้ความกราดเกรี้ยว ถ้อยคำแสนหวานฟังแล้วรื่นหู รอยยิ้มแสนอ่อนโยน อบอุ่น และจริงใจ ทำให้คุณหนูของนางงดงามเช่นนี้ แม้ว่ากิริยาท่าทางออกจะ....เอ่อ..แปลกตาไปบ้างก็ตามที

"ข้าหายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมานอนเฝ้าเหมือนที่ผ่านมาหรอก" เสียงของคุณหนูปลุกให้เสี่ยวอี้ตื่นจากภวังค์

"ตะ...แต่ว่าคุณหนู..." เสี่ยวสุ่ยผู้น้องวัยสิบห้าปีทำท่าจะคัดค้าน

ชิงหลินคนใหม่หลุบตามองเด็กสาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า นางเห็นใบหน้าน่ารักนั้นฉายแววกังวล สับสน และหวาดหวั่น ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพียงแค่นั้นเสี่ยวสุ่ยก็สะดุ้งตกใจ ทำเอานางเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก

"คุณหนู จะให้บ่าวยกสำรับอาหารมาที่นี่หรือว่า..." เสียงของแม่นมฝูทำให้ชิงหลินเงยหน้าขึ้นมองพร้อมด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดี "ไม่ต้องจ้ะ ต่อไปนี้ข้าจะไปกินอาหารเช้ากับท่านพ่อท่านแม่ที่เรือนใหญ่"

คำตอบและน้ำเสียงอ่อนหวานของคุณหนูทำเอาแม่นมฝูตะลึงด้วยเตรียมใจมาก่อนแล้ว เมื่อนางเดินเข้ามาเห็นเสี่ยวสุ่ยนั่งก้มหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยว แม้สุดท้ายอาจต้องถูกโบยก็ตาม ทว่าทุกสิ่งกลับไม่เป็นดังคาด

"หือ? ท่านจ้องหน้าข้าทำไมกันแม่นม"

แม่นมฝูสะดุ้งโหยง รีบคุกเข่าเตรียมโขกศีรษะกับพื้น ขณะเดียวกันก็เอ่ย "ขะ...ขออภัยที่บ่าวเสียมารยาทเจ้าค่ะ"

"หยุด! ห้ามท่านทำอย่างนั้นเด็ดขาด"

เสียงห้ามห้วนจัดเป็นเหตุให้แม่นมฝูชะงักค้าง เผลอเงยหน้าขึ้นมอง แววตาสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่น เสี่ยวอี้รีบมานั่งข้างๆ น้องสาวทันทีพลางชำเลืองมองคุณหนูของตน เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักยิ้มแย้มในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ยามนี้กลับบึ้งตึงขึ้นหลายส่วน ก็รีบก้มหน้าต่ำลงไปอีกจนคางแนบติดกับอก ทั้งสองมือยังเย็นเฉียบ

"แม่นม ท่านลุกขึ้นเถิด"

เสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยมองตาค้างเพราะอึ้งกับภาพเบื้องหน้า คุณหนูผู้งดงามแสนเย่อหยิ่งและร้ายกาจผู้นั้นประคองแม่นมฝูอย่างทะนุถนอม ฝ่ายแม่นมฝูเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ด้วยคุณหนูไม่เคยอ่อนโยนกับตนเช่นนี้มาก่อน

"เจ้าสองคนด้วย ลุกขึ้น" นางหันมาบอกสองพี่น้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วยิ้มพอใจเมื่อเห็นทั้งสองรีบทำตามคำสั่ง ก่อนจะหันไปทางแม่นมฝู กุมมืออวบหยาบกร้านพร้อมกับเอ่ย "แม่นม ต่อไปห้ามท่านคุกเข่าคำนับข้าอีกนะเจ้าคะ" เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัยจึงกล่าวต่อ

"ท่านเลี้ยงข้ามา พูดไปแล้วก็เหมือนเป็นแม่ของข้าอีกคน จะให้ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร เดี๋ยวข้าได้อายุสั้นกันพอดี ท่านว่าจริงหรือไม่" ก็คนไทยถือเรื่องนี้จะตาย จะให้ทำเป็นไม่สนใจย่อมเป็นไปไม่ได้

"คุณหนู คุณหนูของบ่าว ฮือๆๆ" ถ้อยคำของคุณหนูที่นางทั้งรักและเทิดทูนยิ่งกว่าลูก ทำเอาแม่นมฝูปล่อยโฮออกมาด้วยความตื้นตันใจ สองมือกุมมือบางมาแนบแก้มของตนที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาพลางพร่ำเรียกคุณหนูๆ ไม่หยุด

"ที่ผ่านมาข้าได้ทำผิดต่อท่านมากมายนัก ท่านจะอภัยให้ข้าได้หรือไม่" น้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้นยามกล่าวประโยคต่อมา มือเรียวข้างที่ว่างยื่นมาเช็ดน้ำตาให้แม่นมของนางอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล

"คุณหนู..." แม่นมฝูกล่าวอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าถี่รัว ดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตา มองภาพใบหน้างดงามไม่ค่อยชัด นางไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณหนูของนางเลย แม้ในอดีตนางจะถูกกระทำมากเพียงใดก็ตาม

"ขอบคุณท่านมาก" สองแขนโอบกอดร่างอวบของแม่นมที่ยังสะอื้นไห้ไม่ยอมหยุด ขณะที่สองมือลูบหลังเบาๆ อย่างปลอบโยน

หญิงสาวหันมาเรียกสองพี่น้องที่ยืนน้ำตาคลอพลางกุมมือตัวเองอยู่ด้านข้าง "เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย"

"จะ...เจ้าค่ะคุณหนู" ทั้งสองขานรับแทบจะพร้อมกัน ขยับเข้ามายืนใกล้ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมือหยาบของตนถูกเกาะกุมด้วยมือนุ่มนิ่มของคุณหนูซึ่งนั่งอยู่

"ข้าขอบใจและขอโทษที่พวกเจ้าต้องมาลำบากเพราะข้า ทั้งยังไม่คิดทอดทิ้งข้า ต่อไปนี้ข้าจะดูแลพวกเจ้าอย่างดี อย่าทิ้งข้าไปไหนจะได้หรือไม่" นางเงยหน้าสบตากับเสี่ยวอี้ก่อนแล้วจึงหันไปสบตากับเสี่ยวสุ่ย เมื่อเห็นว่าทั้งคู่น้ำตาคลอ พร้อมกับพยักหน้าขึ้นลงถี่ๆ คล้ายลูกเจี๊ยบจิกกินอาหาร ก็อดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

"ขอบใจมาก ไปกันเถิด" กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินนำออกไปด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง แหม...ก็นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกจากห้องหลังจากหายป่วยนี่นา

จากคำบอกเล่าของเสี่ยวอี้ คฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตกว่าจวนขุนนางหลายจวน ทรัพย์สมบัติก็มีมาก ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เป็นกำลังสำคัญที่คอยสนับสนุนยามที่แคว้นขาดแคลนกำลังทรัพย์ในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนเสบียงอาหารยามเกิดภัยแล้ง จนได้รับป้ายพระราชทานว่า 'เมตตาธรรม' ซึ่งนับเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสูงสุด

ณ เรือนดาวดึงส์ ซึ่งเป็นเรือนหลักของคฤหาสน์สกุลชิง

"ท่านพ่อ วันนี้ลูกจะขอติดตามไปที่คอกสัตว์ของเราได้หรือไม่เจ้าคะ"

"หือ? ร้อยวันพันปีเจ้าไม่เคยอยากไป" ชิงหยวนแทบสำลักน้ำชาหลังอาหารมื้อเช้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น

"ลูกไม่ไปสถานที่สกปรกเช่นนั้นเด็ดขาดเจ้าค่ะ!" ด้วยอยากให้นางได้เปิดหูเปิดตาและพักผ่อนบ้าง เผื่ออาการป่วยจะดีขึ้น แต่คำตอบของนางคราวนั้นก็ทำให้เขาเสียใจ และถอดใจจนไม่อยากบังคับหรือฝืนใจนางอีก

"นั่นสิ หลินเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งหายดี พักต่ออีกสองสามวันดีหรือไม่" ชิงฮูหยินไม่เห็นด้วย นางเกรงว่าบุตรีของตนจะล้มป่วยไปอีก

"ลูกรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงลูก แต่ลูกไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้วเจ้าค่ะ โปรดเห็นใจลูกด้วยเถอะนะเจ้าคะ"

ชิงหยวนลูบเคราบางๆ ของตนอย่างใช้ความคิด แวบหนึ่งเขามองเห็นความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นในดวงตาของบุตรีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อีกทั้งหมออาวุโสได้ยืนยันหนักแน่นว่านางหายดีแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องห่วง

"แต่ว่า..."

"ได้ พ่ออนุญาต" ชิงหยวนชิงตัดบท ไม่ฟังคำทัดทานของฮูหยิน จึงโดนชิงฮูหยินสะบัดหน้าใส่ ไม่ยอมพูดจาด้วย

คอกสัตว์ของตระกูลชิงที่พ่อลูกพูดถึงอยู่ห่างจากเมืองหลวงฉางอานราวร้อยลี้ [5] เป็นคอกสัตว์ขนาดใหญ่ มีภูเขาล้อมรอบสามด้าน อีกด้านเป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียว มีเวรยามแน่นหนาและรัดกุม ทั้งยังมีหอสังเกตการณ์หลายจุดเพื่อสอดส่องจากระยะไกลที่สูงกว่าระดับสายตาในจุดที่ล่อแหลมและเสี่ยงจะโดนปล้นชิงสินค้า ด้านหน้ามีเรือนหลังใหญ่เป็นที่พักอีกแห่งยามฉุกเฉินหรือยามเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และใช้รับรองลูกค้าจากแดนไกล โดยมีเรือนคนงานหลังเล็กๆ นับร้อยหลังที่สร้างติดขอบรั้วกระจายอยู่รอบๆ คอก เพื่อสะดวกในการดูแลสัตว์และยังเป็นยามรักษาการณ์อีกด้วย

คอกสัตว์ตระกูลชิงมีสัตว์มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงจากต่างแคว้น สัตว์ป่าที่มีทั้งแบบทั่วไปและหายาก รวมทั้งสัตว์ป่าดุร้าย สัตว์เลื้อยคลาน หรือแม้แต่สัตว์ปีก ซึ่งถูกแบ่งแยกชัดเจนและมีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ ซึ่งช่วยลดความเครียดของสัตว์ได้เป็นอย่างดี ลูกค้าในและนอกแคว้นยกให้เป็นคอกสัตว์ที่ใหญ่และดีที่สุดในสามภพ

ชิงหยวนต้องคอยตอบคำถามของบุตรีในคราบบุรุษหน้าหวาน ที่เฝ้าเพียรถามตนไม่หยุดหย่อนตลอดการเดินทางราวหนึ่งชั่วยามด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

"อีกไกลหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ" ใบหน้าจิ้มลิ้มในชุดสีดำเช่นเดียวกับบิดาถามขึ้นเมื่อนั่งรถม้ามาได้ราวครึ่งชั่วยาม

"หือ? เจ้าเบื่อแล้วหรือ" ชิงหยวนย้อนถามบุตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ

"ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าแค่อยากให้ถึงเร็วๆ จะได้มีเวลาสำรวจคอกสัตว์ของเรานานขึ้นอีกหน่อย"

ชิงหยวนอมยิ้ม ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก แต่รู้สึกเปี่ยมสุขที่เห็นบุตรีเพียงคนเดียวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สดใส ร่าเริง และไร้ความเกรี้ยวกราด จนบ่าวไพร่เริ่มชื่นชอบและไม่หวาดกลัวดังก่อน

"เฮ้อ เมื่อยจัง เสี่ยวสุ่ย ขอน้ำหน่อย ไม่เอาน้ำชา"

สี่ยวสุ่ยชะงักมือที่กำลังรินน้ำชาดอกจู๋ร์ฮวา [6] รีบเปลี่ยนเป็นรินน้ำธรรมดาให้คุณหนูที่เพิ่งกลับมาถึงเรือนหยกฟ้าก็ล่วงเข้ายามไฮ่ [7] แล้ว ส่วนเสี่ยวอี้ก็รีบนำผ้าชุบน้ำมาส่งให้คุณหนูเช็ดหน้าเพื่อคลายร้อน และรีบไปเตรียมน้ำอาบให้คุณหนู นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูออกไปข้างนอกโดยไร้สาวใช้ติดตาม

ขณะเดียวกันชิงฮูหยินซึ่งนั่งมองสามีจิบน้ำชาคลายร้อนอยู่ข้างๆ ในเรือนดาวดึงส์ ก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ "ท่านพี่ ข้าอยากคุยกับท่านเรื่องหลินเอ๋อร์"

"เรื่องที่นางเปลี่ยนไปใช่หรือไม่"

ชิงฮูหยินพยักหน้าก่อนจะเอ่ย "ใช่เจ้าค่ะ"

"แล้วไม่ดีหรือ นับแต่นี้คฤหาสน์ของเราคงมีเรื่องชวนตื่นเต้นไม่เว้นวันเป็นแน่"

ชิงฮูหยินมองสามีที่อมยิ้มน้อยๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะสายตาอ่อนโยนแต่เด็ดขาดเป็นนิจบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งช่วงนี้ยังสังเกตว่าสามีอารมณ์ดียิ่ง ไร้ร่องรอยความกังวล

ดูเอาเถิด ใบหน้าที่มักเคร่งเครียดและกังวลใจยามที่กิจการประสบปัญหา มาบัดนี้แม้จะประสบปัญหาแต่กลับไม่มีให้เห็น ช่างแปลกนัก เมื่อหันไปทางพ่อบ้านฝูก็เห็นเขายืนก้มหน้าเงียบไม่ยอมสบตา จึงหันกลับมาจ้องผู้เป็นสามีด้วยสายตาคาดคั้น

"เจ้าไม่ต้องกังวล หลินเอ๋อร์ไม่ได้ก่อเรื่องแต่อย่างใด เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำอาบทีเถิด" ชิงหยวนหัวเราะเมื่อเห็นนางค้อนให้อย่างมีจริต จึงปล่อยให้นางคาดเดาเหตุการณ์เอง

-----------------------------------

[1] ยามเฉิน คือช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 น. - 08.59 น.

[2] เค่อ คือหน่วยนับเวลาของจีนโบราณ โดยที่ 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

[3] ดอกชื่อซู่ซิน คือดอกลีลาวดี

[4] ดอกโม่ลี่ คือดอกมะลิ

[5] ลี้ เป็นหน่วยวัดระยะทางของจีนโบราณ โดยที่ 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร

[6] ดอกจู๋ร์ฮวา คือดอกเบญจมาศ

[7] ยามไฮ่ คือช่วงเวลาตั้งแต่ 21.00 น. - 22.59 น.

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์น้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts