ตอนที่ 156 เหตุผล
ฝูงชนในนิกายหลิงเฉาต่างชี้มือชี้ไม้ไปทางกู่ฉิงซาน ปากกล่าวตะโกนด่าอย่างต่อเนื่อง ราวกับความจริงทั้งหมดได้ถูกพิจารณาออกมาแล้วว่ากู่ฉิงซานนั่นแหละคือฆาตกรที่สังหารผู้คนโดยเจตนา!
หนิงเยว่ฉานสาดสายตาเย็นชาไปยังเหล่าคนนิกายหลิงเฉาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสลับมามองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานส่งสัญญาณเป็นการส่ายหัวเล็กน้อย
หนิงเยว่ฉานเลยจำต้องฝืนใจทน
กู่ฉิงซานมองไปยังคนจากนิกายหลิงเฉา ก่อนเบนสายตามองมองดูหวู่สิงเหวินผู้ที่มิอาจเก็บซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ได้ และถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้นคงต้องให้ท่านกล่าวเลือกช่วงเวลาเสียแล้วล่ะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้หนทาง
หนิงเยว่ฉานมองไปที่เขาและอดทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวออกมาและกล่าว “เรื่องการค้นวิญญาณ ข้าเองก็มีความสามารถไม่เลวเช่นกัน ฉะนั้นโปรดให้ข้าเป็นผู้ลงมือเถอะ”
“เป็นเจ้าไม่ได้หรอก” หวู่สิงเหวินกล่าว “เนื่องเพราะเห็นได้ชัดว่าเจ้าอยู่ข้างเขา”
หนิงเยว่ฉานเหลือบมองอีกฝ่ายวูบหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่ว “นายพลหวู่ ข้าทราบดีว่าท่านมาจากอารามชิงหยุน และทราบเช่นกันว่าท่านเป็นถึงหนึ่งในสามนายพลชั้นติงหยวน ซึ่งสูงกว่าข้าที่อยู่เพียงขั้นแรก ทว่าหากท่านทำเช่นนี้ หลังจากสิ้นสุดสงคราม ข้าจะต้องมาคิดบัญชีกับท่านอย่างแน่นอน”
ด้วยคำกล่าวเหล่านี้ที่หนิงเยว่ฉานเปล่งออกมา บ่งบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธแล้วจริงๆ
“ไม่เอาหน่า ข้าเองก็เห็นด้วยแล้วกับการค้นวิญญาณ” กู่ฉิงซานกล่าว เขารั้งหนิงเยว่ฉานเอาไว้ “แต่ข้าก็ต้องการความยุติธรรมเช่นกัน คนที่ลงมือค้นวิญญาณจะต้องไม่ต้องมิใช่อาวุโสจากนิกายหลิงเฉา”
ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ประโยคนี้มีความหมายแฝงเช่นกัน ว่าเขาก็จะไม่ยอมให้หนิงเยว่ฉานเป็นคนลงมือ และแน่นอนว่าเป็นการปฏิเสธอาวุโสแห่งหลิงเฉาอย่างสิ้นเชิง
“เช่นนั้นคือผู้ใดกัน? ผู้ใดที่เจ้ากำลังมองหา” อาวุโสนิกายหลิงเฉาเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์ที่เคารพของข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
พอได้ฟัง อารมณ์คุกรุ่นของหนิงเยว่ฉานก็มลายหายไปกว่าครึ่ง...เจ้าหมอนี่ก็ร้ายไม่เบาเหมือนกันนี่นา
อาวุโสนิกายหลิงเฉาหัวเราะออกมาทันที “อาจารย์เจ้า? ตั้งแต่ที่เจ้าเอ่ยถึงอาจารย์ ก็พอจะบอกได้แล้วว่าเจ้าคิดจะใช้ให้ผู้อื่นปกป้องเจ้า แล้วเช่นนี้มันจะยุติธรรมกับทุกฝ่ายได้อย่างไร เห็นด้วยหรือไม่ท่านนายพล?”
ระหว่างกล่าว เขาก็หันไปมองเหล่าผู้คนในนิกายหลิงเฉาที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้ช่วยเผยท่าทีเห็นอกเห็นใจ
“ทุกคำกล่าวของอาจารย์ข้า ทั่วทั้งโลกหล้าแห่งผู้ฝึกยุทธมิมีผู้ใดกล้าไม่เชื่อถือ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรเล่านายพลหวู่” กู่ฉิงซานกล่าว
หวู่สิงเหวินเงียบไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ต้องจำใจพยักหน้า
เขารู้ตนเองดี
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพอใจกับตัวเลือกดังกล่าวนี้หรือไม่ หวู่สิงเหวินก็มิกล้าเอ่ยขัดแม้เพียงครึ่งคำ
ทว่าหากกู่ฉิงซานไม่หวั่นเกรง และเชื่อมั่นว่าตนนั้นถูกต้อง และดันให้นางเซียนไป่มาตัดสินด้วยตนเองแล้วล่ะก็ มันคงไม่มีทางเลือกอื่น
นับประสาอะไรกับหวู่สิงเหวิน ต่อให้น้อมสวรรค์ซวนหยวนอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่กล้าแตะต้องแม้กระทั่งเส้นผมของกู่ฉิงซานอยู่ดี
มิฉะนั้นแล้วล่ะก็ ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของนางเซียนไป่ฮั่ว ต่อให้เขาซึ่งเป็นนายพลเอ่ยกล่าวว่ามันเป็นการบังคับวินัยทางทหาร เขาก็คงไม่แคล้วต้องชดใช้การกระทำดังกล่าวด้วยชีวิต
“เหอะ! ได้ฟังมานมนานแล้ว แท้จริงอาจารย์ของเจ้ามันเป็นใครกันแน่” อาวุโสแห่งนิกายหลิงเฉาเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยถามออกไปทันที
หนิงเยว่ฉานเผยยิ้มในทันใด อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “นักปราชญ์ไป่ฮั่ว”
สีหน้าของอาวุโสพลันแปรเปลี่ยนกลับกลาย
เขาหันไปมองเหล่าผู้ฝึกยุทธบังคับกฎในเต็นท์ทหาร และค้นพบว่าทั้งหมดนั้นเป็นคนของอารามชิงหยุน
ผู้คนเหล่านั้นบ้างก้มศีรษะลง บ้างเบนสายตาไปอีกทาง เลี่ยงที่จะสบตากับเขา ขณะที่บางคนแสยะยิ้มใส่เขา
อาวุโสนิกายหลิงเฉา จ้องไปทางหวู่สิงเหวิน และพบว่าสีหน้าของเขาหม่นทะมึนลงโดยสมบูรณ์
“เจ้าเล่นแง่กับข้า” เขาเอ่ยกับหวู่สิงเหวิน
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เจ้าให้ข้าทำทีเป็นอยู่คนละฝ่าย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้ากล่าวว่ามันเป็นศิษย์ของผู้ใดก็มิสำคัญ และไม่ยอมบอกกล่าวเรื่องนี้แก่ข้า”
“ผายลม!” หวู่สิงเหวินตบโต๊ะ ผุดลุกขึ้นยืน ก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นคนบอกเองว่า เจ้าต้องการจะได้รับความเป็นธรรมที่เขาฆ่าสาวกของเจ้า!”
เขาเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ข้าเป็นนายพลชั้นติงหยวน และอยู่ภายใต้นักปราชญ์ กองทัพพันธมิตรผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต้องได้รับคำสั่งจากนักปราชญ์ กล่าวได้ว่าข้ามีเคยคิดคดต่อนักปราชญ์ แล้วเจ้ากล้าที่จะใส่ร้ายข้าเช่นนี้หรือ?”
“แต่ท่านไม่เคยบอกกล่าวข้าว่าอาจารย์ของเขาคือนักปราชญ์ไป่ฮั่ว!” อาวุโสนิกายหลิงเฉาตะโกนด้วยความโกรธ
สีหน้าของหวู่สิงเหมินบอกบุญไม่รับ เขาตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าเป็นถึงอาวุโสแห่งนิกายหลิงเฉา แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังมิล่วงรู้ แล้วยังมีหน้ามาตำหนิข้า ไปให้พ้น! มิเช่นนั้นข้าจะให้คนลากตัวเจ้าออกไป!”
อาวุโสฝืนกล้ำกลืนอย่างอดทน เขาหันไปทางกู่ฉิงซาน หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือและกล่าว “เป็นข้าและเหล่าสาวกที่ตามืดบอด ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเกิดความขุ่นเคือง ขอได้โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ไม่นับว่าเป็นอะไร แท้จริงแล้วมิใช่เขาที่ปกปิดท่าน แต่เป็นข้าเองต่างหากที่ปกปิด”
อาวุโสนิกายหลิงเฉาจ้องมองเขาอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเห็นท่าทีอีกฝ่ายยังคงสงบไม่มีเผยถึงความคิดแค้นใดๆ ต่อตนเองและคนอื่นๆ ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา
อาวุโสพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะนำสาวกนิกายเดินถอยฉากออกไป
แต่ศิษย์น้องของหลี่ชูเฉินดูเหมือนจะยังไม่เต็มใจที่จะจากไปสักเท่าไหร่นัก
“เขายกอาจารย์ขึ้นมาอ้างได้อย่างไร นั่นมันเหมือนกับว่าเขาไม่ยอมรับความผิด...” เขาเอ่ยงึมงำ ทว่าก็ถูกฉุดลากจากไปโดยพละกำลังอันแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
“ช่างน่ารำคาญนัก อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้ผิดอยู่ดี” หวู่สิงเหวินกล่าว และถอนหายใจ
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ข้าขอน้อมรับไว้เพียงความรู้สึกของท่านก็เพียงพอแล้ว”
เขาจ้องไปยังหวู่สิงเหวิน และหวู่สิงเหวินก็จ้องมายังเขา
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างฉับพลัน “นายพลหวู่ ท่านคือศิษย์คนโตแห่งนิกายชิงหยุนอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นข้าเอง” หวู่สิงเหวินกล่าว
การที่ได้เป็นศิษย์คนโตในนิกาย จึงมักจะต้องได้รับผิดชอบในการเป็นหน้าเป็นตาให้แก่นิกาย ให้ความรู้ และเป็นแบบอย่างให้แก่สาวกคนอื่นๆ
กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมหลี่ฉางอันจึงมีความประพฤติเช่นนั้น”
“วาจาเราะร้าย! เจ้าไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากที่ใดกัน คิดจริงๆ หรือว่าข้ามิกล้าที่จะลงทัณฑ์เจ้า! สำหรับคำหมิ่นประมาทเมื่อครู่นี้” หวู่สิงเหวินอดไม่ได้ที่จะกล่าวพลางเกร็งกำปั้นแน่น
“เจ้าสามารถลองทำมันดูก็ได้ แล้วมาดูกันว่าอาจารย์เจ้า จะยังคงปกป้องเจ้าอยู่หรือไม่ตราบเท่าที่ท่านอาจารย์ข้าหมายปองชีวิตเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว
หวู่สิงเหวินหุบปากลง กัดฟันกรอดชนิดหัวชนฝา
ทั้งสองมิได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ทว่าภายในจิตใจต่างก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
กู่ฉิงซานหันหลังและเดินจากไป
หวู่สิงเหวียนมองตามแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนี้
เพราะว่าโดยทั่วไปแล้ว อสูรวิญญาณต่างเป็นที่ยอมรับกันว่าพวกมันจะไม่โกหก
ทว่ากู่ฉิงซานกลับดึงดันให้นักปราชญ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องการค้นวิญญาณกับเขาอีก
แต่นี่มันก็ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า มันมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงจริงๆ ที่กู่ฉิงซานจะลงมือทำร้ายหลี่ชูเฉินด้วยอารมณ์ส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้มาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่มีใครกล้าที่จะเรียกร้องให้บังคับวินัยทางทหารกับกู่ฉิงซานอีก ไม่กล้าที่จะลงมือเกินเหตุดั่งเช่นการเหยียบย่ำศีรษะศิษย์ของนักปราชญ์ร้อยบุปผา
ตั้งแต่ที่เรื่องราวมันกลายเป็นเช่นนั้น ก็นับได้ว่าความผิดของอีกฝ่ายได้ถูกเปิดโปงแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่?” สาวกคนหนึ่งเอ่ยถามออกมา
“อ่า เนื่องจากพวกนิกายหลิงเฉามันเป็นคนยื่นเรื่องมาเอง ดังนั้นแม้ว่าหลังจากนี้นักปราชญ์จะมาเอ่ยถาม พวกเราก็สามารถใช้พวกมันบังหน้าได้ มิจำเป็นต้องวิตกไป”
หวู่สิงเหวินกล่าวและเริ่มขบคิดอีกครั้ง ก่อนจะหันไปกล่าวกระซิบกับสาวกที่อยู่ข้างๆ
สาวกทั้งหลายในแห่งอารามชิงหยุนต่างพยักหน้ารับว่าเข้าใจแล้วว่าสมควรทำเช่นไร
ณ ยามบ่าย
กู่ฉงซานและผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ กำลังเดินทางไปยังที่พำนักนิกายเทียนจี
เมื่อเขาออกมาจากที่พำนักของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง เขาก็พบกับสายตาตำหนิมากมาย จากเหล่าผู้ฝึกยุทธตามรายทาง
“นั่นเขาใช่ไหม?”
“ใช่ นั่นล่ะเขา”
“ช่างหน้าไม่อาย”
“น่ารังเกียจ”
“เข่นฆ่าพวกเดียวกันเพียงเพราะความขุ่นข้องส่วนตน”
ผู้คนกระซิบกระซาบ ทว่ากลับไม่รังเกียจใดๆ หากคำกล่าวพวกนี้มันจะทำให้กู่ฉิงซานได้ยิน
ส่วนหนึ่งก็เพราะเหล่าผู้ฝึกยุทธแห่งอารามชิงหยุน ได้กระจัดกระจายตัวไปทั่วทั้งค่ายทหาร คอยบอกเล่าโน้มน้าวใส่สีตีไข่ ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานนี้
เหลิงเทียนสิงทนต่อไปไม่ไหว เขาก้าวออกไปยังเบื้องหน้าทว่าก็ถูกหยุดไว้โดยกู่ฉิงซาน
“ลืมมันเถอะ ยิ่งเจ้าเอ่ยออกไป เรื่องราวมันก็จะยิ่งใหญ่โตร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ” เขากล่าว
“เหล่าอสูรวิญญาณนั้น แม้ว่ามันจะภักดีต่อเจ้าของ ทว่าก็ไม่ควรจะใส่ร้ายเจ้าเช่นนี้” เหลิงเทียนสิงยังคงไม่ทราบถึงสถานการณ์ เขาเอ่ยกล่าวพลางถอนหายใจ
กู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานเหลือบมองกันวูบหนึ่ง ทว่ามิได้เอ่ยอันใดออกมา
เมื่อถึงยามค่ำ ทั่วทั้งค่ายก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวันนี้
กู่ฉิงซาน ศิษย์แห่งนักปราชญ์ไป่ฮั่ว ได้สร้างความอัปยศให้แก่สาวกนิกายหลิงเฉา และยังใช้นิกายตนบังหน้ามิให้ตนต้องได้รับโทษทัณฑ์จากการฆาตกรรมผู้คน
และเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ติดตามเขาก็คงจะดวงตามืดบอดไม่แตกต่างกัน มีเพียงอสูรวิญญาณเท่านั้นที่เห็นถึงความจริงของเรื่องราวทั้งหมดนี้
........................................