ตอนที่ 69 มารนักปราชญ์
ร่างอวตารของนางเซียนไป่ คว้าจับทั้งสองมาไว้ในอ้อมแขน ผันตัวกลับเตรียมจะบินจากไป
“เจ้าเป็นใครกัน บังอาจมาขัดขวางข้า!”
ลึกเข้าไปในชั้นฟ้า ปรากฏเสียงหนักทึบคำรามก้อง
ร่างอวตารหยุดกึกและหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว
ในวังร้อยบุปผา นางเซียนไป่หันไปกล่าวกับกู่ฉิงซาน “ศิษย์ข้า นักปราชญ์นั้นหาได้เกรงกลัวพวกมารไม่ แต่ข้าเกรงว่าเพลิงมารที่กำลังแพร่กระจายบนตัวของกงซุนซีต่างหาก เพียงแค่มอง ก็พอจะบอกได้ว่าในไม่ช้าเขาจะต้องตกตาย ข้าจะนำเขากลับมา เพื่อช่วยชีวิตเขาเป็นอย่างแรก”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง “ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านอาจารย์”
ขณะที่ทั้งสองกล่าวกำลังหารือกัน ทันใดนั้นก็พลันบังเกิดเสียงที่สั่นสะเทือนไปทั่วชั้นฟ้า
ในแนวหน้า ปรากฏห้ากรงเล็บสีเงินของมังกรกวาดผ่านลงมาจากชั้นเมฆ กระแทกเข้าใส่ร่างอวตารของนางเซียนไป่ และส่งเธอลอยกระเด็นออกไป
ทว่าร่างของนางเซียนไป่ก็พลิกตัวกลับกลางอากาศและร่อนลงบนพื้นดินอย่างงดงาม
มังกรห้ากรงเล็บแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมนุษย์ มันเอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดจึงกล้าช่วยผู้อื่นต่อหน้านักปราชญ์เช่นนี้?”
“เอ๋? เจ้าเผ่ามารตนนี้น่าสนใจดีนี่” ร่างอวตารนางเซียนไป่กล่าวอย่างสงบ
แม้จะกล่าวว่ามังกรห้ากรงเล็บกลายร่างเป็นมนุษย์ แต่หัวของมันก็ยังคงเป็นมังกรอยู่ แขนขาเป็นมัดกล้ามดูเต็มไปด้วยพละกำลังขณะที่เล็บตรงปลายนิ้วของมันก็ยังแหลมคม ส่วนเบื้องหลังก็มีหางมังกรลากยาวอยู่บนพื้น
เกล็ดสีเทาปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของมัน
คู่ดวงตาเรียวแลคล้ายกับดวงตางู ท่วมท้นไปด้วยความอาฆาตพยาบาทอันไม่มีที่สิ้นสุด
นี่คือการจำแลงร่างของมารนักปราชญ์
ในโลกใบนี้ ไม่เคยมีใครได้พบเห็นมังกรที่แท้จริงมานานแล้ว มังกรเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่บนจุดสูงสุดของมารอสูร เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารที่สามารถต่อกรกับนักปราชญ์!
เมื่อได้ฟังเสียงของมัน ก็สามารถบอกได้ทันทีว่า มันนี่แหละคือตัวตนที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกบนชั้นฟ้าอันไกลโพ้นและคอยออกคำสั่งแก่มวลมาร
กู่ฉิงซานจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจที่ไม่อาจเอ่ยอธิบายได้
ในชีวิตก่อนหน้า เขาไม่เคยพบเห็นมารนักปราชญ์ลงมือด้วยตัวเองมาก่อนเลย
เขาเคยได้ยินได้ฟังมาว่า ครั้งหนึ่งมารนักปราชญ์เคยปรากฏตัวขึ้นที่ใดที่หนึ่งบนโลก และมันก็ได้ทำการระเบิดแรงดันวิญญาณอันผันผวนของตนออกมา ทว่าเพียงเท่านั้นกลับส่งผลให้ผู้ฝึกยุทธที่เก่งกาจจากทั่วทุกมุมโลกสามารถสัมผัสได้ถึงมัน!
คราวนี้ เมื่อเห็นว่าทั้งสองได้รับการช่วยเหลือ จากนักปราชญ์ก็ทนต่อไปไม่ไหวในที่สุด
“มารมังกร? น่าสนใจดีนี่ ว่าแต่เจ้ารู้หรือเปล่าว่าคำว่านักปราชญ์นั้นมีน้ำหนักมากมายขนาดไหน?”
ระหว่างกล่าว ร่างอวตารของนางเซียนไป่ก็ยื่นมือเรียวขาวขึ้นมา พร้อมกับผนึกมนตราที่ถูกกำไว้ “ธาตุทองจากธาตุทั้งห้า ฝานหลง!” มังกรขด
บนท้องฟ้า จู่ๆ ก็บังเกิดภาพลวงตาขนาดยักษ์ที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนนภา บดบังแม้กระทั่งแสงตะวัน ขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ภาพลวงตาที่แท้คือฝานหลงที่มีเก้ากรงเล็บ ร่างกายของมันนับจากหัวถึงหางลากยาวออกไปหลายลี้!
เมื่อเห็นฉากนี้เผ่ามารโดยรอบก็แตกฮือ วิ่งหนีกระจัดกระจายกันไปจนหมดสิ้น
ฝานหลงอ้าปากใหญ่ยักษ์ของมัน ก่อนจะกลืนกินมวลมารที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าใกล้เคียงจนหมดสิ้น ขณะเดียวกัน ปากของมันก็พุ่งงับตรงลงมายังจุดที่มารนักปราชญ์ยืนอยู่
มันงับลงตรงจุดนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า งับจนพื้นดินบริเวณดังกล่าวถูกขุดลงไปจนกลายเป็นหลุมลึก
เมื่องับจนพอใจ ฝานหลงก็เชิดหัวขึ้นและแหวกว่ายไปมาในอากาศ
ร่างอวตารของนางเซียนไป่ฮั่วสลับผนึกมนตราในมือและกล่าว “จงแผดเผา!”
ฝานหลงได้ยินคำสั่ง มันก็หันกลับมา พร้อมกับส่ายหางและหวีดร้องเสียงยาว
จากนั้นเปลวเพลิงสีทองก็ลุกท่วมปกคลุมร่างของมันก่อนจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ภายในร่างกาย
วินาทีต่อมา
ก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปากของมันอ้ากว้างและหวีดร้อง เปลวเพลิงที่สมควรจะแผดเผาไปในตัวของมันกลับถูกสำรอกออกมา
ฝานหลงดิ้นพล่านไปมาด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีทองก็ยังทะลักล้นออกมาเรื่อยๆ
เปลวเพลิงสีทองร่วงหล่นลงมาแลดูคล้ายกับดาวตก ก่อนจะกระแทกกับพื้นตรงบริเวณที่เผ่ามารกำลังหลบหนีและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นขี้เถ้า
ผ่านไปสักพักฝานหลงชะงักงันแน่นิ่งไม่ไหวติง
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ มันก็กรีดร้องเฮือกสุดท้ายด้วยความเจ็บปวด
คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นถูกเปล่งออกมาจากปากของมันสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า
ร่างจริงของนางเซียนไป่ที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา เลิกคิ้วสูงขึ้น ก่อนจะเอ่ยอย่างมีความสุข “เห…ข้าละอดใจไม่ไหวจริงๆ ที่จะปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้หลุดลอยไป”
บรัช! และร่างของนางเซียนไป่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ราวกับจักรพรรดินีก็หายวับไป
เกือบจะในพริบตาเดียวเธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“เคร้ง...เคร้ง…” ตามมาด้วยเสียงของอาวุธสองชิ้นที่ถูกโยนลงบนพื้นกระเบื้อง
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเหลือบขึ้นไปดู
แท้จริงแล้วเจ้าของเสียงดังกล่าว ชิ้นหนึ่งเป็นกระดูกกรงเล็บยาว อีกชิ้นหนึ่ง เป็นดาบกระดูกขนาดใหญ่
นี่มันดูเหมือนว่าเป็นอาวุธระดับสูงของเผ่ามาร
แต่ในขณะนี้ เผ่ามารระดับสูงซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของอาวุธกลับยังคงติดอยู่ในร่างของฝานหลง?
อย่าบอกนะว่านางเซียนไป่ฉวยโอกาสนี้ ‘ขโมย’ เอาอาวุธของมารนักปราชญ์มาอย่างงั้นหรือ?
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพขั้นสูงสุด จะทำการลักเล็กขโมยน้อยแบบนี้ราวกับเป็นเรื่องเล่นๆ
เหตุการณ์นี้มันแปลกประหลาดจนแทบไม่อยากจะเชื่อ อารมณ์ความรู้สึกของกู่ฉิงซานยุ่งเหยิงไปหมด
อย่างไรก็ตาม เขากลับเห็นแค่เพียงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของนางเซียนไป่ ก่อนที่เธอจะกระโจนหายไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง
ฝานหลงดิ้นพล่านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ลำตัวช่วงกระเพาะของมันโป่งพองขึ้นเป็นครั้งคราวซึ่งดูก็รู้ว่าน่าจะเกิดจากการกระทุ้งโจมตีจากภายในราวกับมีบางสิ่งพยายามจะหลบหนีออกมา
หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจฝานหลงก็เปลี่ยนเป็นลำแสงขนาดยักษ์ ก่อนจะค่อยๆ สลายกลับคืนสู่สวรรค์และโลกอย่างช้าๆ
และสิ่งที่ปรากฏแทนที่ฝานหลง ก็คือมังกรมารที่บัดนี้มีสภาพที่ดูไม่ได้
มังกรมารที่ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองคำรามลั่น “เป็นเทคนิคมนตราที่ทรงพลังนัก เจ้าเป็นใครกัน!”
เมื่อฝานหลงหายตัวไป ร่างของนางเซียนไป่ก็ปรากฏตัวขึ้นบนบัลลังก์หมื่นบุปผาอีกครั้ง
เธอกะน้ำหนักของถุงที่อยู่ในมือ ก่อนจะโยนมันลงบนพื้น
ทำให้ในตอนนี้ มีไอเท็มวางอยู่บนพื้นแล้วถึงสามชิ้น
“ไม่มีธุรกิจใดที่ข้าออกหน้าด้วยตัวเองแล้วจะไร้ซึ่งกำไรตอบแทน” นางเซียนไป่นั่งลงบนบัลลังก์และพึมพำด้วยความพึงพอใจ
กู่ฉิงซานเงียบ แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน
ณ เวลานี้ร่างอวตารของนางเซียนไป่ก็จีบมือใช้ออกด้วยเทคนิคลับ
“อวตารแยกร่าง!”
ร่างอวตารอีกร่างหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากร่างอวตารเดิม ก่อนจะลอยขึ้นไปเผชิญหน้ากับมารมังกรที่อยู่กลางอากาศ
“หนีไปซะ!”
เธอขึ้นเสียงเล็กน้อย ก่อนอวตารอีกร่างหนึ่งจะนำกงซุนซี และหนิงเยว่ฉานหายลับไปสุดสายตา
มารนักปราชญ์จ้องมองร่างอวตารอีกฝ่ายบินหนีไป ก่อนจะคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “เมื่อครู่นี้เป็นวิชาร่างแยกที่ดูจะทรงพลังมากเกินไปหน่อยนะ กล่าวได้ว่าเจ้าคงจะเป็นเซี่ยเต๋าหลิงจากเผ่ามนุษย์ใช่หรือไม่?”
เซี่ยเต๋าหลิงคือชื่อจริงของนางเซียนไป่ฮั่ว ซึ่งเป็นนามที่คนทั่วไปไม่กล้าเรียกขานมันออกมาโดยตรง
“เป็นข้าเอง”
ร่างแยกที่ลอยอยู่กลางอากาศเอ่ยตอบ
มารนักปราชญ์ฉีกยิ้มกว้างจนยาวไปถึงใบหู เผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม และเอ่ยกล่าว
“เซี่ยเต๋าหลิง เจ้าบังอาจมาทำลายแผนการในกองทัพมารของข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย จากนั้นก็จะขังวิญญาณของเจ้าไว้ในกายเนื้อ และให้ทำหน้าที่เป็นนางบำเรอข้าทั้งวันคืน”
ร่างอวตารมองมารนักปราชญ์ด้วยสายตาเย็นชา “ในเมื่อเจ้ารู้จักข้า แล้วเหตุใดจึงยังกล้าหยิ่งยโสเช่นนี้อยู่อีก?”
มังกรมารกลั้วน้ำลายและถุยมันออกไป ก่อนจะมองร่างอวตารของนางเซียนไป่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่เผยถึงแรงปรารถนาอันชั่วร้าย
มันกล่าว “ได้ยินได้ฟังมาว่านางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิงทุ่มเททั้งกายใจฝึกฝนวรยุทธ จนกระทั่งทะลวงถึงขอบเขตประทับเทพ ก็ยังคงครองตนเป็นโสด ช่างน่าลิ้มลองเสียจริงๆ”
ระหว่างกล่าว น้ำลายมากมายก็หยดย้อยออกจากปากมหึมาของมัน
ร่างอวตารนางเซียนไป่ยังคงมีสีหน้าสงบ และเอ่ยถามอย่างใจเย็น “เจ้ากล้าทำตัวอาจหาญเช่นนี้ คงจะมีผู้อื่นคอยหนุนหลังอยู่ใช่หรือไม่”
มารมังกรเอ่ยกล่าวอย่างอารมณ์ดี “พวกเขายังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด เฝ้ารอให้การลงมือครั้งสุดท้ายมาถึง”
แม้สีหน้าของร่างอวตารจะดูสงบ แต่ในยามที่ได้ยินคำดูหมิ่นจากมารมังกร เซี่ยเต๋าหลิงบนบัลลังก์หมื่นบุปผาก็สบถอย่างหัวเสีย
หลังจากที่เธอได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพ ไม่มีใครกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับเธออีกเลย
นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง ในเวลานี้โกรธจัดจริงๆ แล้ว
เธอใช้เท้าเปล่ายืนขึ้นบนบัลลังก์หมื่นบุปผา ก่อนสองมือจะจีบออกด้วยความโกรธ และใช้ออกด้วยผนึกมนตรา!
สามสิบหกผนึกมนตราได้ถูกใช้ออกในไม่กี่ลมหายใจ เส้นสายพลังวิญญาณอันน่าทึ่งต่างมาบรรจบกันที่ปลายนิ้ว
อย่างไรก็ตาม มือของเธอกลับยังคงพรมออกอย่างไม่หยุดหย่อน และผนึกมนตรานับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ
ผมยาวสลวยของเซี่ยเต๋าหลิงโบกสะบัดไปมาทั้งๆ ที่บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งกระแสลม แขนเสื้อคลุมของเธอวูบไหวราวกับร่ายรำอยู่ท่ามกลางความผันผวนของพลังวิญญาณที่ทะลักล้น ฉากอันน่าทึ่งนี้ดูราวกับนางสวรรค์กำลังจุติลงมาบนโลก
สองมือของนางจีบไว้ด้วยผนึกมนตรา ขณะที่แสงประกายในมือค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นกับดวงตะวันที่กำลังสาดแสง
สาดแสงสว่างจ้าออกไปทั่วทั้งวังร้อยบุปผา…
………………………………….