webnovel

ได้กำไรอย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากรอข้อความจากยัยเตี้ยเมริสาอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดเธอก็ตกลงซื้อปลอกแขนจากผม และนัดเจอกันพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าที่บึงใกล้กับป่าหิมพานต์ และแน่นอนว่าเธอไม่น่าจะมาคนเดียว

เพราะการเป็นผู้ถูกเลือกในความดูแลของกองทัพและรัฐบาล ย่อมต้องมีผู้ถูกเลือกอยู่ด้วยอีกหลายคน และผมไม่คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยให้เธอมาพบผมตามลำพัง แล้วถึงจะมาคนเดียว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครแอบดู

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยผมจึงเลือกที่จะปลอมตัวสักเล็กน้อย อย่างการสวมหมวกกับใส่หน้ากากอนามัย เพราะมันจะทำให้พวกนั้นตามหาผมไม่เจอได้ง่ายๆ และหวังว่าเงินที่ได้จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงของผม

"เท่าที่ดู ไม่มีคนซ่อนตัวอยู่ ยัยเตี้ยนี่น่าจะมาคนเดียวจริงๆ"

เมื่อเข้าสู่มิติปิดกั้น ผมก็ออกจากหมู่บ้านของอัปสรสีหะแล้วมุ่งหน้ามาที่จุดนัดพบก่อนเวลาราวครึ่งชั่วโมง เพื่อดักรอดูว่าจะมีคนตามยัยเตี้ยเมริสามารึเปล่า และหลังจากรอดูจนเธอเดินทางมาถึงก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ

แต่เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ถูกจับตาดูจากระยะไกล ผมจึงสวมหมวกกับหน้ากากอนามัยก่อนจะเข้าไปหาเธอ และแน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามก็ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่เห็นผมแต่งตัวซะมิดชิดขนาดนี้

"นายนี่ระวังตัวจังนะ"

"แล้วทางราชการไม่ได้สั่งให้เธอชวนผมไปเข้าร่วมรึไงละ"

"ก็สั่งแหละ แต่นายก็คงปฏิเสธอยู่ดีใช่ไหมละ"

ยัยเตี้ยยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจกับคำสั่งของทางราชการ แต่ในเมื่อไม่คิดจะใช้กำลังบังคับกัน ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะค้าขายด้วย ก่อนจะหยิบปลอกแขนออกมาจากกระเป๋าสะพายเพื่อให้ยัยนี่ลองใส่

"ให้ลองใส่เหรอ แล้วไม่กลัวฉันขโมยรึไง"

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ถือว่าผมโง่เองที่ไว้ใจเธอ"

"แหม นายนี่มันไม่สนุกเลยนะ"

เมริสาทำหน้าเบื่อหน่ายกับการที่ผมไม่รับมุกเธอ แต่สิ่งที่พูดก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ เพราะหากยัยนี่เอาของหนีไปทั้งแบบนี้ ผมก็คงไม่มีปัญญาไปตามหา และได้แต่โทษตัวเองที่โง่เท่านั้น

"อืม เพิ่มพลังป้องกันสามหน่วยจริงๆ แต่ถ้ามีอุปกรณ์ป้องกันอื่นอยู่ มันจะเป็นยังไงเหรอ"

"ก็อาจจะลดพลังป้องกันลงนิดหน่อย แต่ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองใส่ดูนั่นแหละ"

"อานะ ไว้ฉันจะลองแล้วกัน ว่าแต่นายเรียกราคาเท่าไหร่"

"แล้วแต่เธอเลย"

ผมพูดออกไปแบบนั้น แต่ความจริงผมอยากได้สักแสนเป็นอย่างน้อย เพราะจะได้มีทุนเอาไว้ซื้อจักรยานไฟฟ้ากับอุปกรณ์เดินป่า เพื่อจะได้เดินทางไปหมู่บ้านอัปสรสีหะที่เหลือ

"งั้นสักสองแสนเป็นไง"

"ก็ดี"

ผมแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความยินดี เพราะได้มากกว่าที่คาดถึงเท่าตัว แต่การที่ทางราชการให้งบมาเยอะขนาดนี้ อาจจะต้องการซื้อตัวผมก็ได้ หรืออาจจะเป็นการลงทุนสำหรับอนาคต เพื่อให้ผมหาของมาขายอีกก็เป็นได้

และหลังจากผมรับเงินสดจากยัยเตี้ยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันทันที ซึ่งเมริสาก็ดูจะรู้ถึงความคิดของผม ที่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับทางราชการมากนัก จึงไม่ออกปากชักชวนอะไร เพียงแค่บอกว่าถ้ามีของจะขายก็ติดต่อมาได้เลย

"จริงสิ แล้วถ้านายอยากได้คนช่วยฝึก ฉันก็ยินดีช่วยนะ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องกองทัพ เพราะฉันก็ไม่ค่อยชอบพวกนั้นเท่าไหร่ ที่ยอมอยู่ก็เพราะเงินมันดีเท่านั้นแหละ"

"แล้วผมจะคิดดู"

จากนั้นผมก็ออกจากมิติปิดกั้นแล้วลงมือค้นหาข้อมูลจักรยานไฟฟ้าที่สามารถใช้ในป่าได้ ซึ่งราคาของมันถือว่าแพงเอาการ แต่ก็ยังอยู่ในงบประมาณที่พึ่งได้มา และเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผมก็มุ่งหน้ายังสำนักงานทันที

"ต้องการรุ่นที่ทนทานใช้งานได้ทุกสภาพแวดล้อมสินะคะ งั้นลองรุ่นนี้ไหมคะ…"

ผมฟังคำอธิบายของพนักงานขายที่บรรยายสรรพคุณสินค้าอย่างคล่องแล้ว และดูเหมือนผมจะพ่ายแพ้ให้กับเทคนิคการขาย เพราะตกลงซื้อรุ่นที่แพงกว่ารุ่นที่ตั้งใจจะซื้อแต่แรก

แต่ในเมื่อมันสามารถวิ่งลุยน้ำได้ ก็น่าจะเหมาะกับการลุยป่าหิมพานต์ ที่มีแอ่งน้ำและทะเลสาบอยู่เป็นจำนวนมาก และเมื่อซื้อมาแล้วผมก็ลองปั่นกลับบ้าน ซึ่งมันก็สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าแทนการปั่นได้ในเวลาไม่นาน

และนี่เป็นสาเหตุที่ผมเลือกจักรยานไฟฟ้า เพราะสามารถใช้การปั่นเพื่อสะสมพลังงานไฟฟ้าแทนการชาร์จได้ แม้ว่าจะต้องเอากลับมาชาร์จหลังจากใช้งานเป็นเวลานานก็ตาม แต่มันก็ยังประหยัดกว่าน้ำมันละนะ

"เอาละ ที่เหลือก็อุปกรณ์เดินป่า แต่ความจริงก็ไม่ได้จะค้างคืนอยู่แล้ว ดังนั้นมันคงไม่มีอะไรมากหรอก"

ด้วยเงินที่เหลือแสนกว่า ผมจึงเลือกซื้อของได้อย่างเต็มที่ แม้ของที่มีความทนทานสูงจะแพงเอาเรื่อง แต่เพื่อรักษาชีวิตมันก็จำเป็นต้องลงทุนกันหน่อย ทำให้ผมเลือกซื้ออุปกรณ์ป้องกันสำหรับขี่จักรยานวิบากมาด้วย

ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ช่วยเรื่องพลังป้องกันเวลาอยู่ในมิติปิดกั้น แต่เวลาล้มหัวทิ่มมันก็น่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง และการซื้อของในครั้งนี้ก็ทำให้ผมหมดเงินไปเกือบแสน ส่งผลให้เงินเหลืออยู่แค่สามหมื่นกว่าเกือบสี่หมื่นเท่านั้น

"คราวหน้าทำของได้เองแล้ว เอาไปขายให้ยัยเตี้ยน่าจะดี"

ผมวาดฝันถึงเงินที่จะได้หากสามารถปลุกเสกอุปกรณ์ได้เอง แต่การจะจำแบบนั้นได้ผมก็จำเป็นจะต้องใช้เวทมนตร์ให้ได้เสียก่อน และหวังว่ามันจะไม่ใช้เวลานานนัก เพราะผมยังมีแผนการเดินทางไปหมู่บ้านอัปสรสีหะอื่นอยู่อีก

จากนั้นเมื่อเสร็จธุระ ผมก็ขี่จักรยานไฟฟ้ากลับมาที่บ้านในช่วงสาย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เตรียมข้าวเที่ยง จึงเลือกที่จะสั่งพิซซ่ามากินเพื่อเป็นการฉลองและให้รางวัลตัวเอง และพิซซ่าที่ไม่ได้กินมานานมันช่างอร่อยเหลือเกิน

เพราะตั้งแต่โลกเปลี่ยนไป ข้าวของต่างมีราคาแพงขึ้นมาก โดยเฉพาะอาหารที่เริ่มขาดแคลนจนราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่า ทำให้ครอบครัวผมที่มีฐานะปานกลางไม่มีปัญญาจะไปกินฟาสต์ฟู้ดด้วยซ้ำ อย่างดีก็ได้แค่หมูกระทะเท่านั้น

"อร่อยจนน้ำตาแทบไหลเลยแฮะ แบบนี้ยิ่งมีไฟจะหาของไปขายอีกเยอะๆเลย"

เมื่อกินเสร็จผมก็เข้าสู่มิติปิดกั้น เพื่อกลับไปฝึกเวทมนตร์ให้สำเร็จก่อนเดินทาง แต่สถานที่ที่ผมกลับเข้ามามันคือชายป่าที่เป็นจุดเดิมตอนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

และมันทำให้ผมรู้ว่าการจะกลับไปที่ห้องในเรือนของกิรณาได้นั้น ต้องใช้คำสั่งตอนอยู่ในหมู่บ้านเพียงอย่างเดียว แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็ถือโอกาสทดลองขี่จักรยานไฟฟ้าดู และดูเหมือนผมจะคิดถูกเรื่องนี้

"เออ เร็วกว่าเดินเองเยอะเลยวุ้ย ค่อยคุ้มค่าที่ซื้อมาหน่อย"

ด้วยทักษะช่องเก็บของต่างมิติ ทำให้ผมสามารถนำรถจักรยานไฟฟ้าเข้ามาในมิติปิดกั้นได้อย่างง่ายดาย แถมไม่ต้องเหนื่อยแรงแบกไปไหนมาไหนอีกด้วย เสียแค่ว่าถ้าเป็นของสดมันก็ยังเน่าได้อยู่ดี

และเรื่องนี้ทำให้ผมต้องคิดให้ดีว่าเวลาเดินทางจะเตรียมอาหารไปแค่ไหนถึงจะพอดีและไม่เน่าเสียซะก่อน เพราะหมู่บ้านอัปสรสีหะที่ใกล้ที่สุดจะมีอยู่สองหมู่บ้าน คือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กับตะวันตกเฉียงเหนือ

แต่สภาพภูมิประเทศของทั้งสองหมู่บ้านรู้สึกจะต่างกันพอสมควร ดังนั้นก่อนจะเลือกเป้าหมาย การหาข้อมูลจึงจำเป็น ทว่าการถามถึงเรื่องของหมู่บ้านอื่นจากชาวบ้านรู้สึกจะไม่เหมาะเท่าไหร่

เพราะจากที่กิรณาบอกมา ชาวอัปสรสีหะแต่ล่ะหมู่บ้านจะเห็นหมู่บ้านอื่นเป็นเหมือนคู่แข่ง ดังนั้นถ้าไปถามเรื่องหมู่บ้านอื่นละก็ มีหวังโดนโกรธหรือไม่ก็อาจจะถึงขั้นโดนไล่ออกจากหมู่บ้านเลยก็ได้

"ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ"

"กลับมาแล้วครับ"

เมื่อมาถึงหมู่บ้านทิศอุดร ละไมก็ออกมาต้อนรับผมแทบจะทันที ราวกับว่ากำลังรอผมอยู่ ซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกดีที่รู้ว่ามีคนรออยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม มันก็ทำให้ผมรู้สึกลำบากใจมากขึ้นหากถึงเวลาที่จะต้องไป

และสิ่งนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวตนของอัปสรสีหะนั้นถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งของพระเจ้า ที่จะคอยฉุดรั้งไว้ไม่ให้ผ่านการทดสอบของพระเจ้า ดังนั้นเพื่อไม่ให้รู้สึกผูกพันธ์ไปมากกว่านี้ ผมก็ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อฝึกเวทมนตร์สำเร็จ

"ยินดีต้อนรับกลับนะเจ้าคะ แล้วธุระเสร็จแล้วเหรอเจ้าคะ"

ภัสสรถามขึ้นหลังจากผมกลับมาที่เรือนของเธอ และแน่นอนว่าผมไม่ได้บอกเรื่องเอาปลอกแขนไปขาย เพียงบอกแค่ออกไปทำธุระเท่านั้น ที่แม้วัตถุดิบจะเป็นของผมทั้งหมด แต่การเอาของที่รายาทำให้ไปขาย มันก็ทำให้ไม่กล้าบอกอยู่ดี

"ครับ แล้ววันนี้ก็ขอรบกวนสอนเวทมนตร์ให้อีกนะครับ"

ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ภัสสรถามอีก และเธอก็ตอบรับคำขอของผมอย่างว่าง่าย และจากความพยายามหลายชั่วโมง ผมก็เริ่มรับรู้ถึงพลังเวทที่ผนึกลงในวัตถุได้สำเร็จ

และเมื่อสามารถกักเก็บพลังเวทไว้ในอุปกรณ์ได้ การปลุกเสกก็สัมฤทธิ์ผล และเพียงเท่านี้ผมก็สามารถสร้างอุปกรณ์เองได้แล้ว แต่มันก็ยังเป็นเพียงขั้นต้น ที่ยังไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเพิ่มคุณสมบัติอะไร หรือค่าสถานะไหน

ดังนั้นการปลุกเสกอุปกรณ์ของผมมันจึงไม่ต่างจากการเสี่ยงดวงกาชา ที่หากดวงดีก็จะได้ของที่ต้องการ แต่ถ้าดวงซวยก็อาจจะได้ขยะมาแทนที่ และแน่นอนว่าต่อให้เป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นภายในมิติปิดกั้น ขยะก็คงไม่มีใครคิดจะซื้อ

อุปกรณ์ประเภทเครื่องป้องกันแขน

ชื่อ ปลอกแขนหนัง

พลังป้องกัน 2

และหลังจากภัสสรใช้ทักษะวิเคราะห์ตรวจสอบให้ ปลอกแขนที่ผมปลุกเสกก็มีพลังป้องกันเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง ที่แม้จะเล้กน้อย แต่มันเป็นการปลุกเสกครั้งแรกของผม ทำให้รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย

"ยินดีด้วยที่ปลุกเสกสำเร็จนะเจ้าคะ แล้วไหนๆท่านวีก็น่าจะเหนื่อยแล้ว เรามาพักกันดีกว่า"

ว่าแล้วภัสสรก็ดึงมือผมเข้าห้องนอน และแน่นอนว่าละไมไม่ยอมปล่อยผมไปคนเดียวอยู่แล้ว ทำให้ผมได้เล่นเซ็กส์หมู่แบบสามคนอีกครั้ง และในครั้งนี้เหมือนละไมจะอยากให้ผมเปรียบเทียบเธอกับภัสสร ลีลาเลยออกจะดุเดือดรุนแรง

แต่ผมก็ไม่คิดจะย้อมแพ้สาวๆอยู่แล้ว จนในที่สุดเราสามคนก็ออกกำลังกายบนเตียงกันจนเหงื่อโทรมกาย แล้วผมก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับสองสาวในอ้อมแขนอย่างสุขสม