3 วันหลังจากการหายตัวไปของเซเลน่า... ทางราชวัง นครหลวงเรนาเลีย...
ทางราชาที่ได้รับจดหมายใบหนึ่งก็ที่ถูกส่งมาจากเมืองแพริออท เมื่อเปิดอ่านดูก็ทำท่าครุ่นคิดหนัก สีหน้าเคร่งเครียด คนสนิทที่อยู่ข้างก็เริ่มเอ๊ะใจที่เห็นท่าทีของท่านราชาเป็นแบบนั้นเลยเอ่ยถามไป...
"ไม่ทราบว่าในนั้นเขียนว่าอะไรหรือพะยะค่ะ? ทำไมพอท่านได้อ่านแล้วถึงกับทำหน้าแบบนั้น"
"เรื่องของยายแก่ยาดาที่เกษียณไปนะ เขียนมาว่าพบเบาะแสการหายไปของเซเลน่าแล้ว! จากเสื้อผ้าที่ถูกนำไปขายที่เมืองแพริออทน่ะ..."
"เมืองแพริออท...ค่อนข้างระยะทางไกลจากที่นี่เลยนะครับ ในเวลาแค่ไม่กี่วันทำไม่ไปโผล่นั่นได้? ...ถ้าเช่นนั้นทางเราจะรีบเตรียมการจัดทหารออกไปที่นั่นอย่างทันที"
"ไม่จำเป็น! ตอนนี้ยังไม่จำเป็น..." ราชาเอ่ยปากออกมาเสียงดังลั่นทั่วทั้งห้อง
"ตะ...แต่ว่านะครับ! องค์หญิงเซเลน่าหายไปทั้งคน ทะ...ทำไมถึงยังไม่รีบตามหาล่ะครับ? ตอนนี้พวกเราก็มีเบาะแสจากเสื้อผ้าขององค์หญิงแล้วแท้ๆ" เลขาคนสนิทพยายามโน้มน้าวทางของราชา น้ำเสียงเขาดูลนลานอย่างบอกไม่ถูกพูดตะกุกตะกักเหมือนว่าจะเกรงกลัวหลังจากที่ราชาตะคอกเสียงดังออกมา...อีกทั้งเขายังพูดด้วยอีกว่า
"บะ..บางที ตอนนี้ระ...เราอาจะช่วยองค์หญิงทันก็ได้นะครับ!"
"ลูกสาวของฉันยังมีชีวิตอยู่ เธอยังไม่ตาย...และไม่มีทางที่จะตายได้" ราชาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นย้ำว่าการกระทำของเขานั้นถูกแล้วในตอนนี้
"ตะ...แต่ว่า..."
"มาคัส! หรือว่านาย...จะขัดคำสั่งของฉันอย่างนั้นหรอ?" ราชามองด้วยตาขวางพุ่งตรงมาที่เลขาคนสนิท
"มิบังอาจครับ!" เขาก้มหัวน้อมรับคำสั่งถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจมากนัก
"ส่วนอีกเรื่อง ช่วยทำใบประกาศแผ่นนี้ให้ออกไปข้างนอกของประเทศนี้ที เอาให้ข้ามไปยังทวีปได้ยิ่งดี" ราชายื่นใบประกาศที่มีรูปของเซเลน่าบนนั้นให้กับทางมาคัส "แล้วก็ตั้งรางวัลไว้ให้สัก 10,000 เหรียญทองจักรพรรดิ พร้อมกับจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนางระดับมาร์ควิสหากนำตัวของเซเลน่ามาส่งให้กับทางนี้ได้"
"ท่านราชา....ว่าแต่จะทำแบบนี้..." ทันใดที่มาคัสกำลังจะเอ่ยถาม ราชาก็มองมาด้วยตาที่ดูขวางเหมือนพยายามบอกนัยๆว่าอย่าถามไปมากกว่านี้ เขาเลยก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมา...
"รับทราบแล้วครับ" แล้วก็กำลังจะเดินออกจากห้องไป...
ในขณะนั้นทางราชาก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า "ทางของเรเวนเป็นอย่างไงบ้าง? อีกนานไหมกว่าเขาจะกลับมา..."
"ท่านวีรบุรุษเรเวนหรอครับ? ข้าเองก็ไม่ได้ข่าวมาสักพักแล้ว เห็นว่าตอนนี้กำลังเดินทางไปกำจัดคราเคนที่คอยดักทำลายเรือขนส่งแถวทวีปกลางอยู่นะครับ ออกเดินทางไปตั้งแต่ 3 เดือนก่อนแล้ว ครั้งล่าสุดที่ติดต่อผ่านทางจดหมายมาเขาบอกว่าน่าจะใช้เวลากว่า 1 ปีเลยในการจัดการให้เรียบร้อย เห็นว่าตัวสัตว์อสูรเองไม่ได้รับมือยากอะไร แต่เสียเปรียบเรื่องพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลเลยจำเป็นต้องขี่กริฟฟอนในการต่อสู้ อีกทั้งเวลาที่ต่อสู้กันได้ระยะหนึ่งแล้วมันเกิดเสียเปรียบ ทางคราเคนนั้นก็จะถอยหนีหายไปในทะเลเพื่อรักษาบาดแผล"
"ขนาดมีอาวุธเทพที่สามารถผ่าภูเขาเป็นครึ่งซีกด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวไว้ในครอบครองยังรับมือได้ยากขนาดนั้นเชียว..." ราชาเหมือนทำท่าทางจะคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะพูดกับทางมาคัสให้ออกไปจากห้อง...
"ถ้างั้นก็ออกไปได้แล้ว และก็อย่าได้ปริปากบอกเรื่องเบาะแสของเซเลน่ากับใครเด็ดขาด! เข้าใจไหม?"
"ตามบัญชา..." แล้วมาคัสก็เดินออกจากห้องไป...
...
...
ในขณะที่มาคัสกำลังเดินอยู่บนโถงทางเดินนั้นเองก็มีหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางสูงศักดิ์ แต่งกายด้วยชุดที่หรูหราสวยงาม ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ รูปร่างเรียวผอมบาง ผมสีทองยาวเป็นประกาย ดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลแต่แววตาคู่นั้นกลับซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้ เธอเดินเข้ามาทักทายทางมาคัสด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
"อรุณสวัสดิ์ท่านมาคัส"
"เช่นกันองค์หญิงราเลน่า"
...เธอเป็นองค์หญิงผู้มีศักดิ์เป็นน้องขององค์หญิงเซเลน่า มีท่าทีที่ดูสุภาพเรียบร้อย มารยาทดูงามสมกับเป็นกุลสตรี แต่ภายในใจของฉันก็คิดว่านั่นมันเป็นเพียงแค่ภายนอกที่รับรู้ได้เท่านั้น...
"ดูท่านท่าทางยุ่งๆ ยังไม่พบอะไรเกี่ยวกับท่านพี่เซเลน่าอีกอย่างนั้นหรอ?" ราเลน่าเอ่ยถามกับมาคัส
"ช่างน่าอับอายจริงๆ ที่ท่านมองออกเช่นนี้ ข้าชักจะเริ่มสงสัยในตัวเองว่าจะมีความสามารถพอจะรับใช้ฝ่าบาทหรือเปล่า?"
"อย่าได้ริอาจพูดเช่นนั้นเลย สำหรับข้าแล้วท่านมาคัสนั้นมีความสามารถมากพอเลยล่ะ ไม่เช่นนั้นท่านพ่อคงไม่ให้ท่านเป็นคนสนิทของท่านหรอกจริงไหม?"
"ขอบพระทัยท่านจริงๆที่ช่วยปลอบประโลมใจคนแก่ๆอย่างข้า"
"ข้าแค่พูดความจริงก็เท่านั้น! แล้วท่านกำลังจะไปไหนอย่างนั้นหรือ เห็นถือใบประกาศของท่านพี่อยู่ในมือ"
"พอดีฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ข้านำกระดาษพวกนี้ไปพิมพ์เพิ่มและประกาศออกให้ทั่วทั้งในและนอกประเทศ เพื่อตามหาท่านเซเลน่า" มาคัสไม่ได้บอกเรื่องที่เจอเบาะแสของเซเลน่ากับทางราเลน่าเลยแม้แต่นิด ตามคำสั่งที่ได้รับมาจากราชา
"อย่างนั้นตอนนี้ท่านเองก็คงกำลังรีบล่ะเลยสิ? ข้าขอโทษด้วยที่รั้งท่านเอาไว้เสียนาน..ขอตัว" แล้วราเลน่าก็ก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป...
ทางมาคัสก็ทำเช่นเดียวกัน...
ทางด้านฝั่งของเซเลน่า....
หลังจากที่เดินมาได้สักพักใหญ่พวกเขาก็เริ่มเห็นเส้นทางที่ทางรถม้าใช้เดินทางไปยังเมืองค็อกคาเทล เพียงแค่ข้ามภูเขาลูกนั้นไปพวกเขาทั้งสองก็จะถึงที่หมายแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะนั่งพักกันตรงนี้สักเดี๋ยว เพราะเห็นว่าตรงข้างทางนั้นมีลำธารไหลผ่าน อย่างน้อยน่าจะพักดื่มน้ำที่นี่ได้
"นายท่าน! ข้าว่าพวกเรานั่งพักกันตรงนี้กันดีกว่า..." แมม่อนเสนอกับทางเซเลน่าที่เดินตามมาอย่างใกล้ชิด
"อย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน" เซเลน่านั่งลงพักผ่อน แต่ไม่ทันไรทางแมม่อนก็เข้ามาถอดรองเท้าเธอให้อย่างทันที "อะ...ขอบใจนะ" ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ชินที่แมม่อนทำแบบนี้ให้เลยมีท่าทีเขินอายออกมาเล็กน้อย
"ข้าเกรงว่าเท้าท่านจะเจ็บ และอีกอย่างนี่ก็เป็นหน้าที่ของข้า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก"
"ดูจากที่แถวนี้มีลำธารแสดงว่าใกล้จะถึงเมืองค็อกคาเทลแล้วสินะ?"
"ถ้าเดินวันนี้ทั้งวันช่วงกลางคืนก็น่าจะถึงพอดี แต่เป็นไปได้ข้าไม่อยากจะให้ท่านฝืนร่างกายเสียสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าพอค่ำลงพวกเราก็น่าจะพักตรงแถวๆ ตีนเขาได้พอดี"
"แล้วเรื่องอาหารล่ะ พวกเราไม่มีเหลือเลยไม่ใช่หรือไง?"
"ถ้าจับปลาในลำธารนี้ก็น่าจะพอประทังชีวิตได้อยู่..."
"ปลาจืดๆ แบบวันนั้นอะนะ...?" เซเลน่าแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"ช่วยไม่ได้นี่น่าก็พวกเราไม่มีเครื่องปรุง หรือว่าเกลือเลย" แมม่อนพยายามอธิบายให้ทางเซเลน่าเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังยอมรับไม่ได้ที่ต้องมากินอาหารที่ไร้รสชาติและมีกลิ่นคาวแบบนี้
"....แต่ว่านะ....แต่" เซเลน่าพยายามหาเหตุผลในการเลี่ยง แต่ทางแมม่อนก็พูดขึ้นมาอย่างทันที...
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือก มันมีอีกอย่างที่เราสามารถหากินได้แถวๆนี้ อีกทั้งยังมีเยอะด้วยนะ!"
"จริงดิ!? แล้วมันคืออะไรหรอ?" สีหน้าของเซเลน่าดูมีความหวังอีกครั้ง แววตาที่ดูเป็นประกายจนต่างจากท่าทางก่อนหน้านี้ลิบลับ
"แมลง..."
เซเลเน่าแสดงสีหน้าสะอิดสะเอียนออกมาอย่างชัดเจน "แมลง...อย่างนั้นหรอ? ใช่ไอ้ตัวที่กระโดดเด้งดึ๋งๆ อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?" เธอชี้นิ้วไปที่ตั๊กแตนตัวหนึ่งที่กระโดดอยู่ข้างหลังของแมม่อน
"ใช่แล้วล่ะ! ถึงแม้จะเห็นแบบนี้แต่คุณค่าสารอาหารพวกมันค่อนข้างเยอะเลยนะ... อีกทั้ง.." ยังไม่ทันที่ทางแมม่อนจะได้บรรยายสรรพคุณของแมลงเลย เซเลน่าก็พูดออกมาอย่างทันที
"ถ้าอย่างนั้น...เอาปลาแบบเดิมดีกว่า"
ในตอนที่สายลมพัดแรง ตอนนั้นมันได้พัดเอากลีบดอกไม้ลอยผ่านหน้าพวกเขาทั้งสอง เซเลน่าที่เห็นดังนั้นเลยรีบเดินตามทางที่กลีบดอกไม้นั้นลอยมา ผ่านเนินเขาลูกเล็กๆลูกหนึ่งก็พบกับทุ่งดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ระหว่างเนินเขาทั้งสอง
เซเลน่ารีบเดินลงไปที่ทุ่งดอกไม้นั่นอย่างทันที "ไม่คิดเลยนะ...ว่าที่ตรงนี้จะมีอะไรแบบนี้ด้วย..." รอยยิ้มอันเอิบอิ่มบนใบหน้าของเธอเดินวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานราวกับเด็กบนทุ่งนั้น
"ข้าเองก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่เห็นทุ่งดอกไม้ในที่แบบนี้"
"นี่...! ที่อีเดนมันจะสวยกว่านี้อีกใช่ไหม?" เซเลน่าก้มตัวลงดูดอกไม้ที่บานสะพรั่งเต็มพื้นที่พลางยิ้มอย่างดีใจ
"... เท่าที่ข้ารู้มาว่าที่นั่นเป็นสวนดอกไม้ที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตา พื้นที่ภูเขาทั้งลูกทั้งหมดเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่"
"ใหญ่ขนาดนั้นเชียว!" เซเลน่ามองไปที่ทุ่งดอกไม้ตรงหน้าพลางจินตนาการถึงสวนอีเดนว่ามันจะต้องสวยงามกว่านี้แน่ๆ แค่คิดตัวเธอก็เริ่มรู้สึกมีไฟที่อยากจะเดินทางต่อให้ถึงที่สุด
"ว่าแต่อะไรที่เป็นเหตุจูงใจที่ทำให้ท่านอยากจะเห็นสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลกล่ะ?"
"มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ซับซ้อนหรอก ก็แค่...อยากจะเห็นสักครั้ง" เซเลน่าพูดไปพลางพร้อมกับมือที่กำลังทำอะไรอยู่ไปพลาง หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนเอามือสองข้างหลบไว้ข้างหลังเหมือนพยายามจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ "นี่! ย่อตัวลงหน่อยสิ!" เธอสั่งให้แมม่อนนั่งย่อตรงหน้าของเธอ
"ทำไมอย่างนั้นหรอ?" แมม่อนถามกลับไปด้วยท่าทางที่ดูสงสัย
"เอาเถอะน่า! ก็นายสูงเกินไปฉันเลยเอื้อมไม่ถึงนี่ไง..." เซเลน่าขยั้นขยอให้แมม่อนทำตาม
"เฮ้อ.....!" ซึ่งแมม่อนก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังแล้วทำตามที่เซเลน่าขออย่างไม่เต็มใจนัก
ในตอนนั้นเซเลน่าก็เอื้อมมือขึ้นเหนือศีรษะของแมม่อน พร้อมกับวางสิ่งของอะไรบางอย่างไว้บนนั้น มันคือมงกุฎที่ถูกทำขึ้นจากดอกไม้ที่บานอยู่แถวนั้น มาเรียงร้อยให้กลายเป็นมงกุฎอย่างสวยงาม หลังจากนั้นเสียงหัวเราะอันชอบใจของเซเลน่าก็ดังขึ้น
"ฮ่าฮ่าฮ่า...! ว่าแล้วเชียว นายไม่เหมาะกับของแบบนี้" เซเลน่าหัวเราะออกมาเสียงดังจนน้ำตาไหลเล็ดออกมา
"...นั่นสินะ! ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน" แมม่อนแสดงท่าทีที่ไม่ค่อยพอใจออกมา เขาจับไปที่มงกุฎดอกไม้ที่อยู่บนหัวและกำลังจะถอดมันออก
แต่ในขณะนั้นทางเซเลน่าก็พูดขึ้นห้ามอย่างเสียงแข็งกับทางแมม่อนไป "ไม่ได้! ไม่ได้! อย่าถอดมันออกสิ! ฉันอุส่าห์ทำมันด้วยความตั้งใจเลยนะ"
ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจแต่แมม่อนก็ไม่อยากที่จะขัดบรรยากาศพักผ่อน "ข้าว่าดอกไม้พวกนี้มันเหมาะกับท่านมากกว่านะ..." เขาพูดขึ้นพร้อมกับหยิบดอกไม้จำนวนหนึ่งไว้ในมือ ไม่นานนักดอกไม้เหล่านั้นก็ได้กลายเป็นกำไลขนาดเล็กพอที่จะใส่ลงที่ข้อมือของเซเลน่าได้
"อ๊ะ! ใช้เวทมนตร์แบบนี้ขี้โกงนิ!" เซเลน่าแสดงสีหน้าไม่พอใจจนแก้มป่องออกมา
"ข้าไม่ได้โกงสักหน่อย...แต่ทำแบบนี้มันสะดวกสบายมากกว่าเท่านั้นเอง" แมม่อนก็จับแขนอันเล็กและเรียวบางของเซเลน่า แล้วทำการสวมกำไลดอกไม้นั่นลงที่แขนของเธอ
"จนกว่าวันที่ความปรารถนาของท่านเป็นจริง ได้โปรดรับสิ่งนี้เอาไว้ก่อน...พอวันนั้นมาถึงข้าจะทำอันที่สวยกว่านี้จากดอกไม้ของอีเดนให้ท่านเอง..."
เซเลน่าที่ได้ยินถึงกับแสดงอาการไปไม่เป็น มีอาการเขินอายแก้มแดงไปจนถึงใบหู เธอพูดบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ "ทำไมนายถึงพูดอะไรแบบนี้ได้หน้าตาเฉยๆกันนะ?"
"ท่านพูดอะไรหรือเปล่า พอดีข้าได้ยินไม่ค่อยชัด..."
"เปล่า! ไม่มีอะไร!" เซเลน่าพยายามแสดงท่าทีกลบเกลื่อนไปอย่างร้อนรน เธอหันไปมองที่ดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่เต็มพื้น ลมอ่อนๆพัดเกระทบผิวเย็นสบายแล้วก็พลางนึกถึงเรื่องของน้องสาวขึ้นมา "อยากจะให้เธอได้มาเห็นวิวทิวทัศน์แบบนี้จัง ราเลน่า..."
สักพักต่อมา...
พวกเขาทั้งสองก็เดินทางกันต่อ หลังจากที่พักอยู่ได้สักครู่หนึ่ง เซเลน่ามีท่าทีเหมือนจะดูไม่พอใจที่ทางแมม่อนที่เอามงกุฎดอกไม้ออกเก็บไว้ในเสื้อคลุม
"ทำไม? ถึงเอามันออกด้วยล่ะ? ถ้านายใส่เอาไว้มันจะดูเป็นมิตรมากกว่าเวลาเดินทางนะ แถมจะได้ไม่ถูกสงสัยอีกด้วย..."
"ข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่ข้าก็ไม่อยากจะให้มันขาดลงเวลาตอนเดินทางเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วโปรดเข้าใจด้วยเถอะ!"
"ทั้งที่ทางนี้อุส่าห์สวมเอาไว้ด้วยตลอดแท้ๆเลย..." เซเลน่าบ่นพึมพำออกมาพร้อมกับมองไปที่ข้อมือของตนเองที่ยังสวมกำไลดอกไม้เอาไว้
จากนั้นไม่นาน...
พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าทางเดินเองก็เริ่มจะมองไปเห็น แมม่อนตัดสินใจกะว่าจะพักแรมที่นี่ก่อนสักหนึ่งคืนแล้วค่อยออกเดินทางในรุ่งเช้า เพราะเห็นว่าเมืองค็อกคาเทลอยู่ไม่ไกล น่าจะถึงในเวลาช่วงสายของวันพรุ่งนี้ ซึ่งทางเซเลน่าก็เห็นด้วยและกำลังจะหาที่พักกันข้างทาง
ในตอนนั้นก็มีแสงไฟจากรถม้าวิ่งตรงเข้ามาหาและจอดลงตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง ชายรูปร่างท้วมเดินออกมาหาพวกเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า...
"พวกท่านเป็นนักเดินทางอย่างนั้นหรอ? ไม่ทราบว่าจะไปยังที่แห่งใดกัน?"
แมม่อนเลยออกหน้ารับสนทนาแทนทางเซเลน่า "พอดีพวกเรากำลังเดินทางไปยังเมืองข้างหน้านี้ แต่พอดีเห็นว่าทางข้างหน้าก็กำลังมืดเสียแล้ว เลยกะว่าจะพักแรมที่นี่ก่อนสักคืนแล้วค่อยออกเดินทางต่อในรุ่งเช้า"
"ลำบากน่าดูเลยนะครับ ถ้าไม่เป็นการรังเกียจอะไร เชิญท่านทั้งสองขึ้นมาบนรถม้าได้นะครับ พอดีกระผมเองก็กำลังจะไปที่เมืองนั้นเหมือนกัน"
"ท่านช่างใจดีเสียจริงเลย แต่ข้าเกรงว่านั่นอาจจะเป็นการรบกวนท่านก็ได้"
"อย่าคิดมากเลยครับ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันจะช่วยเหลือกันมันก็ไม่แปลก...ไม่ต้องตอบแทนข้าแต่อย่างใด"
"(ถึงแม้ว่าหมอนี่จะเป็นปีศาจก็เถอะ!)" เซเลน่าคิดในใจ
"ถ้าอย่างนั้นข้าขอรับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ..." แมม่อนและเซเลน่าต่างก็ขึ้นไปบนรถม้าตามคำเชิญชวนของพ่อค้าท่านหนึ่ง บนรถม้าค่อนข้างแคบเพราะว่ามีสัมภาระอยู่มาก แต่มันก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาทั้งสองนั่งได้ถึงแม้จะอึดอัดไปบ้าง ในตอนนั้นเองที่หางตาของทั้งสองก็ได้เห็นกับชายหนุ่มคนหนึ่งสวมฮู้ดคลุมหัวที่อยู่บนนั้นก่อนแล้ว เขานั่งกอดดาบเล่มหนึ่งเอาไว้อย่างแน่หนาราวกับเป็นสมบัติชิ้นสำคัญ
ทางชายหนุ่มที่สัมผัสสายตาที่มองมาเลยมองกลับไปก็พบเห็นเซเลน่าและแมม่อนที่กำลังขึ้นมาบนรถม้า เขาเลยพูดทักทายด้วยท่าทีที่ไม่เต็มใจไป
"พวกท่านทั้งสองก็ขึ้นมาตามคำเชิญของพ่อค้าคนนั้นสินะ?" แล้วจากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มแนะนำตัว เขาค่อยๆถอดฮู้ดที่คลุมหัวออกแสดงเห็นผมสีขาวที่สะท้อนแสงไฟจากตะเกียง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความยิ่งทะนง มองมาที่เขาทั้งสองด้วยท่าทีที่เหยียดหยามราวกับตนเองสูงกว่า
"ฉันชื่อ "เรย์" เป็นทหารรับจ้างจากแดนไกล ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาและพาเจ้าหญิงกลับไป..."