[นิก]
หนึ่งสัปดาห์หลังเหตุการณ์ในวันนั้น ดาวเฟลม่าวุ่นวายเป็นอย่างมาก ประชากรที่แตกตื่นสร้างปัญหาไว้มากมาย ทั้งการจลาจล การจับกลุ่มสร้างพลังทางการเมือง และปล้นเสบียงอาหารเพื่อกักตุน
ดีที่วันนั้นท่านไนท์สามารถปราบปรามการจลาจลลงได้ ท่านตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ ให้ประชาชนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และนำกองทัพเข้ามาช่วยดูแลความสงบ พร้อมๆกับประกาศสถานการณ์ปัจจุบันให้พวกเขารับรู้ เพื่อคลายความหวาดกลัว และแจกเสบียงอาหารตามเมืองที่เกิดความไม่สงบ ทั้งหมดจึงพอจะบรรเทาความตึงเครียดลงได้บ้าง
จริงๆท่านไนท์อยากให้ประชาชนเลือกผู้นำด้วยตนเอง แต่ด้วยความที่พวกเขายังสับสนกันมาก และขาดพื้นฐานในการปกครองตัวเอง ท่านไนท์จึงต้องเป็นผู้นำไปก่อน จนกว่าพวกเขาจะพร้อม และทุกคนก็ยินดีฟังคำสั่งท่าน เพราะท่านมาด้วยพลังเหลือล้น ที่แผ่ รัศมีความน่ายำเกรง ออกมาข่มผู้ต้านทานจนง่อย
แต่วันนี้ท่านไม่อยู่เนื่องจากต้องไปเจรจาพันธมิตรหนึ่งเดียวให้กลับมาคืนดี ผมจึงต้องเป็นคนดูแลไปก่อนชั่วคราวด้วยความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ เพราะต่อให้ผมได้รับแต่งตั้งจากท่านไนท์มีหลักฐานพร้อมสรรพ แต่จะยังมีใครให้ความเคารพผมอีกเรอะ ผมที่ไม่ใช่อัลฟ่า ไม่มีพลังอะไรพิเศษ แถมเป็นอดีตทาสชั้นต่ำแบบนี้
"ทั้งเวสต์และอีสต์ยังช่วยเหลืองานอยู่เหมือนเดิมนะ นิกไม่ต้องกังวล"
ถึงท่านไนท์จะเอ่ยมาแบบนี้ แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกังวลล่ะ
ทั้งสัปดาห์ผมไม่ได้เจอพวกเขาเลย เพราะพวกเขามีงานล้นมือในการควบคุมความวุ่นวาย และดูเหมือนจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพจนเหตุการณ์หลายๆอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การจลาจลและการจัดกลุ่มเรียกร้องสิทธิต่างๆ เริ่มเงียบไป ผู้คนเริ่มเข้าใจและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น
วันนี้ ผมกำลังจะได้เจอพวกเขาอีกครั้ง แต่กลับไม่สามารถบอกได้ว่า พวกเขาจะอยากเจอผมหรือเปล่า...
"ท่านนิก"
เสียงเรียกทำให้ผมสะท้าน ผมยังไม่ได้เตรียมใจเลย ไม่สิ ผมเตรียมใจมาทั้งสัปดาห์แล้ว แต่กลับรู้สึกว่าเวลาเท่าไรก็ไม่พอ
ไม่พอที่จะเปลี่ยนความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้...
"ท่านนิกขอรับบบ"
เป็นอีสต์ กับ มู...
อีสต์ถลาเข้ามากอดเอวผมไว้
"ข้าน้อยอยากเจอท่านเหลือเกิน"
เขาเอ่ยไม่ทันจบ อดีตโอเมก้าตัวสูง ก็ลากคอเขาออกจากเอวของผม โยนอีสต์ไปด้านหลัง แล้วย่อตัวลงกอดผมแทน
"เจ้าบ้านี่ แย่งที่ข้าเรอะ"
ผมเกาหัวอย่างมึนงงมองสองคนเริ่มทะเลาะกัน จริงๆคือเป็นอีสต์ที่พูดด่าทอไม่หยุด กับมูที่ใช้มือเดียวก็ผลักอีสต์กระเด็นออกไปได้
"พวกนาย...ยังต้อนรับผมเหมือนเดิมเรอะ" ผมมองพวกเขาสลับไปมาแล้วเอ่ยถามตะกุกตะกัก
อีสต์มีสีหน้าประหลาดใจ แต่แล้วก็ยิ้มกว้าง เหมือนเข้าใจว่าผมถามเพราะเหตุใด
"อะไรทำให้ท่านคิดว่า ข้าน้อยจะเปลี่ยนไปหรือ ข้าน้อยไม่ใช่คนใจง่ายนะขอรับ เพราะท่านกับท่านไนท์คือคนที่ปลดปล่อยพวกเราจากตราประทับ"
ผมโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ที่ระหว่างผมกับอีสต์ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มูก็เช่นกัน
"พอไม่มีตราประทับแล้วมันเป็นยังไงเรอะอีสต์"
"มันทำให้ข้าน้อยเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น และเข้าใจตัวเองมากขึ้น เช่นว่า ข้าน้อยสงสัยมาตลอดว่าทำไมข้าน้อยถึงหงุดหงิดทุกทีที่ต้องทำงานกับเวสต์ แต่ก่อนเหมือนมีหมอกมัวๆที่บังไม่ให้ข้าน้อยรับรู้ว่า ข้าน้อยน่ะไม่เคยชอบเวสต์เลย เพราะข้าน้อยอิจฉาเขา ตำแหน่งเขาดีกว่า ได้รับความสนใจจากท่านนิก และท่านไนท์มากกว่าเซาส์อีสต์มาตลอด"
"อีสต์..." ผมวางมือบนบ่าเขา พยายามจะปลอบ แต่อีสต์ส่ายหน้า
"ข้าน้อยไม่ติดใจอะไรแล้ว ท่านนิก เพราะข้าน้อยเห็นแล้วว่าเจ้าบ้าเวสต์มันต้องทำงานหนักแค่ไหนถึงจะได้ยืนอยู่ในจุดนั้น ซึ่งข้าน้อยขอบายดีกว่า"
"และจริงๆแล้ว ตอนนี้ข้าน้อยอยากเข้าใกล้ท่านนิกมากกว่าเดิมอีกนะขอรับ"
"ทำไมล่ะ"
"เพราะข้าน้อยไม่ต้องกลัวว่าท่านจะอ่านใจข้าน้อยได้อีกแล้ว"
เขาพูดด้วยสีหน้ายินดียิ่ง ส่วนผมนี่ตะลึงตาค้าง ลืมไปเลยว่าการถูกอ่านใจก็เหมือนการขโมยสิทธิที่จะคิดในเรื่องที่ต้องการไปจากคนอื่น และผมก็ดีใจที่อีสต์เข้าใจความหวังดีของท่านไนท์
"ขอบคุณ อีสต์ ต่อจากนี้นายมีอิสระที่จะคิดอย่างที่นายอยากคิดแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะสำหรับที่ผ่านมา และต่อจากนี้ ไม่ใช่แค่คิด แต่นายก็มีสิทธิที่จะพูดในสิ่งที่คิดได้นะ อีสต์"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านนิก ข้าน้อยมีเรื่องขอร้อง" อีสต์ว่าพลางชี้ไปที่มู "ช่วยเอามันไปทีเถอะขอรับ ข้าน้อยจะอึดอัดตายอยู่แล้ว"
หืม?
ผู้ร้องทุกข์ชี้ให้ผมดูป้ายที่ต้นแขนมู มันเขียนไว้ว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมความประพฤติ ? นี่แสดงว่ามูมีตำแหน่งแล้ว สีหน้ามันภาคภูมิใจมาก เมื่อเห็นผมสนใจป้ายนี้ มันก็ยืนเชิดหน้ายืดอก โชว์แถบคาดที่ต้นแขนให้ผมดูใกล้ๆ เหมือนจะอวด
"แล้วทำไมมูถึงได้ตำแหน่งนี้ล่ะ?"
"ท่านไนท์ให้มันคอยจับตาดูข้าน้อย ว่าได้ทำตามหน้าที่หรือเปล่า"
ผมเข้าใจแล้ว ลองถ้าอีสต์มีคนจับตาดูตลอดเวลาก็คงไม่แอบไปทำผิดอะไรอีกแน่นอน
"น่าจะมีประสิทธิภาพดีนะ" ผมอดขำไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าอยากร้องไห้ของอีสต์
"อย่างน้อยก็ตอนทำธุระส่วนตัว ขอเวลาส่วนตัวให้ข้าน้อยบ้างเถอะ ให้มันมาจ้องข้าน้อยตลอดเวลาไม่ได้นะ"
ผมสัญญาจะบอกท่านไนท์ให้ผ่อนปรนเรื่องนี้ให้บ้าง แล้วหันไปคุยกับมู
"มูสบายดีมั้ย"
ร่างสูงที่แข็งแกร่งทำหน้าบูดบึ้ง "ไม่ดี" มันตอบสั้นๆ
"ทำไมล่ะ"
"ไม่มีนิก ไม่ดี นิกอย่าไปไหนอีก"
คำตอบที่ทำให้ผมหยุดยิ้มไม่ได้ ผมคิดถึงมูจริงๆ และประหลาดใจที่มูพูดชัดและคล่องขึ้นเยอะขนาดนี้
"ท่านไนท์ให้ข้าน้อยช่วยสอนหนังสือมู และท่านจะยกเลิกหน้าที่ของมูก็ต่อเมื่อเขาอ่านออกเขียนได้คล่อง แล้วจึงจะส่งไปศึกษาในสายอาชีพที่ถนัดน่ะขอรับ"
งั้นตอนนี้มูก็คอยช่วยปรับพฤติกรรมอีสต์ ส่วนอีสต์ว่างๆก็ต้องรีบสอนหนังสือมู เพื่อจะได้เป็นอิสระจากมู และมูจะได้ไปเรียนในด้านอื่นต่อเพื่อหางานที่เหมาะกับเขา
ผมยิ้ม ถ้าทุกคนเดินต่อไปได้ด้วยดี ก็คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ผมออกเดินไปตามระเบียงอันเดิมที่ทะลุผ่านสวนดอกไม้สีขาว และมองเห็นฝูงแกะเป็นจุดขาวๆอยู่ในทุ่งหญ้าไกลๆ
อีสต์บอกว่าเวสต์ยังอยู่ที่ห้องทำงาน เพราะท่านไนท์ชิ่งทิ้งงานไว้อีกแล้ว ผมจึงคิดจะเดินไปหาเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ห้องทำงานของเวสต์ผมเคยไปอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาสอนผมเรื่องของจักรพรรดิอาเบล พร้อมอาหารเช้า ขนมปังและสตูเนื้อที่เรียบง่าย
ในห้องว่างเปล่า แต่ถ้วยกาแฟดำยังส่งควันฉุยออกมา ผมถึงแน่ใจว่าเขาเพิ่งจะเดินออกจากห้องไปก่อนที่ผมจะมาไม่กี่วินาที
เขาหลบหน้าผมเรอะ? หรือเขาไม่อยากเจอหน้าผมแล้ว ระเบียงเป็นทางตรงเดียว ถ้าเขาออกจากห้องไปเมื่อกี้ ก็ต้องเลี้ยวที่หัวมุมนี้ และเดินต่อไปทางตะวันตก ผมก้าวตามไป
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้แต่ว่าผมจะเจอคำตอบก็ต่อเมื่อได้เจอหน้าเขา
เวสต์หลบหน้าผมจริงๆ ผมบอกได้ เพราะเมื่อไรที่ผมเหมือนจะเห็นเงาเขา เขาก็ห่างออกไปอีกหน เหมือนกำลังบอกผมให้เลิกติดตามไป เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ถ้าผมไม่ใช่อัลฟ่า ยังมีความหมายอะไรบนดาวดวงนี้อีกเรอะ?
ผมกัดฟัน เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ เหมือนแต่ละก้าวเป็นตะปูที่ตอกลึกลงไปในใจผม ให้ผมหยุดบ้าได้แล้ว การตามไปจะช่วยเปลี่ยนอะไรได้หรือ?
แต่ผมไม่อยากยอมแพ้ อย่างไรก็อยากจะไปให้ถึง อยากจะเจอหน้าอีกสักครั้ง แม้สุดท้ายแล้ว ความจริงจะเจ็บปวด แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะหันหลังหนีมันไป
แล้วผมก็มาหยุดลงที่ที่เดิม
ห้องที่เคยเป็นห้องลับของอัลฟ่า
ประตูสูงใหญ่ยังตั้งตระหง่านและลวดลายอ่อนช้อยบนนั้นยังคงยืนหยัดข้ามวันเวลาของดวงดาวเฟลม่ามาจนวันนี้
ทำไมกัน?
หากไม่มีอัลฟ่าแล้ว ห้องสู่แก่นดาวจะมีไว้เพื่อสิ่งใด?
ผมถามคำถามที่ไม่มีคำตอบ ดวงดาวไม่ตอบผมอีกแล้ว...
ผมถาบมือลงที่บานประตูคิดว่าจะทะลุผ่านเข้าไปได้ แต่กลับทำไม่ได้ มือผมค้างอยู่บนแผ่นหินหนาหนัก ผมไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปแล้ว ผมปฏิเสธพลังของดวงดาว และดวงดาวก็ปฏิเสธผม
ผนังหินทึบเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงในฉับพลันนั้น เปิดทางให้ดวงตาสีหมอกของผมสามารถมองผ่านเข้าไปได้ และผมก็เห็นคนที่ผมตามหา
เงาที่ผมวิ่งตามมา...
ร่างสูงของอดีตมหาดเล็กประจำวังยืนอยู่กึ่งกลางห้อง เขาหันหลังให้ผมและเงยหน้า เพดานเป็นฟากฟ้าสีดำ ที่ไม่มีแสงของดวงดาวหรือฝุ่นผงเนบิวล่าใดๆอีกแล้ว มันมืดมิดเหมือนไร้ซึ่งความหวัง
เวสต์อยู่ในนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เขาอยู่ในห้องลับของอัลฟ่าได้อย่างไร?
แล้วดวงตาผมก็เบิกกว้าง นึกถึงถ้อยคำในอดีตที่เจ้าตัวเป็นคนบอกผมเอง
'เมื่อไร้ซึ่งผู้ปกครอง ดวงดาวจะเลือกอัลฟ่าคนใหม่'
อัลฟ่าที่คู่ควร
เปรี้ยะ
ห้องสมุดของท่านไนท์หายไป ของขวัญทั้งหมดพังทลายกลายเป็นห้องที่ว่างเปล่า เส้นด้ายสีแดงโยงใยลงมาจากฟากฟ้าสีดำ ถักทอเป็นทรงกลมของดาวเฟลม่าขนาดเท่าฝ่ามือ ลอยอยู่ตรงหน้าเวสต์ ดวงดาวได้มอบอำนาจการตัดสินใจต่อโชคชะตาของสิ่งมีชีวิตทั่งมวลให้กับเบต้าอันดับหนึ่งที่มีคุณสมบัติทุกๆอย่างที่พระเจ้าต้องการ
"เวสต์!"
ผมเห็นแต่เข้าไปไม่ได้ เสียงร้องตะโกนของผมไปไม่ถึง ผมคิดจะร้องห้ามสุดชีวิต แต่แล้วเสียงของผมหายไปในลำคอ ผมกุมมันไว้ อย่างไรก็เอ่ยออกไปไม่ได้
ผมควรจะห้ามเขาจริงๆเรอะ? เพราะสิ่งนี้ควรเป็นของเขามานานแล้ว มีตรงไหนไม่คู่ควรกัน
ผมได้เป็นอัลฟ่าเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่กลับทำให้รู้ว่า มันคือพลังที่วิเศษแค่ไหน อำนาจและพลังสูงสุดที่ดลบันดาลทุกอย่างดั่งใจฝัน มีทาสมากมาย ตีตราทุกสิ่งมีชีวิตให้เชื่อฟังอย่างไม่บิดพลิ้ว เขาจะลบรอยแผลบนหน้าแล้วเสกตัวเองให้เป็นเทพบนดวงดาวก็ทำได้ หรือจะเลือกมีชีวิตเป็นนิรันดร์ ดั่งพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งก็เป็นสิทธิของเขา
ใครเล่าจะปฏิเสธ พลังเช่นนี้
ที่ผ่านมาชะตากรรมของเวสต์ เขาไม่เคยได้ตัดสินมันด้วยตัวเอง เป็นรุ่นก่อนเลือกเขารับตำแหน่งนอร์ทเวสต์ เป็นท่านไนท์ปฏิเสธไม่เลือกเขาเป็นอัลผ่าฝึกหัด และสุดท้ายก็เป็นผมที่เลือกท่านไนท์กลับมา พร้อมกับทำลายพลังที่เขาควรได้รับมาตั้งแต่แรก
ถ้าหากครั้งนี้คือสิ่งที่เขาได้เลือกเอง
ผมคง...ไม่ควรห้ามเขา
ต่อให้อัลฟ่าคนใหม่ทำให้ผมเป็นโอเมก้าของเขา ผมก็ต้องร่วมยินดีไปกับเขา...ใช่มั้ย?
"ข้าน้อยขอปฏิเสธ"
อะไรนะ?
ผมที่ยืนก้มหน้ารอรับคำประกาศของดวงดาวว่ามีอัลฟ่าคนใหม่แล้ว ต้องรีบเงยหน้า
เวสต์ เขา...ปฏิเสธการเลือกของพระเจ้างั้นเรอะ?
ด้ายสีแดงลุกไหม้สลายไปอีกครั้ง แล้วผมกับเวสต์ก็กลับมายืนอยู่กลางสวน ห้องแห่งความลับที่เชื่อมต่อไปยังแก่นดาวหายไปแล้ว
"ข้าน้อยทำความเคารพ ท่านนิก ต้องขออภัยด้วยที่ผมไม่อาจคุกเข่าให้ท่านได้ เพราะท่านไนท์ยกเลิกธรรมเนียมการคุกเข่าไปแล้ว" เขาเอ่ยพลางโค้งให้ผมหนึ่งที
ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ในหัวยังมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ดวงตาสีฟ้าที่มองมาก็ไม่มีความสั่นไหวหรือเสียดายแม้แต่น้อย ที่เมื่อกี้เขาเพิ่งทิ้งโอกาสอันยิ่งใหญ่ไป โอกาสที่อาจมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต
"ผมไม่เข้าใจ เวสต์ นาย...ไม่อยากเป็นอัลฟ่างั้นเรอะ"
"…"
"จริงอยู่ว่าพลังสตริงนั้นยิ่งใหญ่มากจนประมาณไม่ได้ และเท่าที่ข้าน้อยทราบจากการเป็นมหาดเล็กข้างกายมาตลอด ข้าน้อยไม่เห็นข้อเสียของพลังนี้เลย ข้าน้อยเองก็อยากจะเรียนรู้มันเช่นกัน เพียงแต่..."
เวสต์จ้องมองผม ผมอ่านไม่ออกอีกแล้วว่าดวงตาที่ล้ำลึกของเขาสลักความคิดอะไรเอาไว้ข้างใน
"ข้าน้อยอดครุ่นคิดไม่ได้ว่าทำไมสิ่งที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ ทั้งท่านไนท์และท่านจึงโยนมันทิ้งไปโดยง่ายดายนัก
ข้าน้อยไม่เข้าใจ และหวังว่าท่านจะเป็นคนที่ให้คำตอบกับข้าน้อยได้ ท่านนิก"
ผมโยนมันทิ้งเพราะต้องการช่วยท่านไนท์ ส่วนท่านไนท์โยนมันทิ้ง เพราะเขาเข้าใจความเจ็บปวดของผม หรือเมเรส
สาเหตุจริงๆที่ทำให้เส้นด้ายสีแดงลุกไหม้แล้วสลายไปเกิดขึ้นเพราะใครก็สุดจะตอบได้ และยากเหลือเกินที่จะอธิบาย
"เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอดีตของท่านไนท์และเมเรสใช่มั้ยขอรับ ถ้ามันอธิบายได้ยากก็ไม่เป็นไร ท่านนิก"
ผมพยักหน้า ผมไม่รู้จะบอกเขาได้อย่างไร ทั้งเรื่องของจักรพรรดิอาเบล เวอร์ชูว ชาร์ล ทุกคนที่มีส่วนให้ท่านไนท์เป็นดั่งวันนี้ และทำให้มีตัวผมตรงนี้
แต่เวสต์ก็ไม่ได้โกรธเคือง
"พวกเราติดตามผู้นำเพราะเราเชื่อว่าเขาจะนำอนาคตที่งดงามมาให้เรา แม้ตอนนี้ข้าน้อยยังมองไม่เห็นสิ่งใดในความสับสนตรงนี้ และเต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่ตราบที่ท่านทั้งสองผู้มองไปได้ไกลกว่าเรายังดำรงอยู่ตรงนี้ ข้าน้อยก็หวังว่าพวกท่านจะช่วยชี้แนะ และนำเราก้าวเดินต่อไป จนถึงวันที่เราสามารถมองเห็นเส้นทางนั้นได้เช่นเดียวกัน"
เขาลูบแผลเป็นของตัวเอง ผ่านดวงตาสีน้ำเงินฟ้าลากลงไปที่มุมปาก แล้วรอยยิ้มบางๆก็ปรากฎขึ้น
นี่ทำให้ผมจำได้ ในสิ่งที่ผมควรจะจำได้นานแล้ว แต่ทำเป็นลืมไป...
วันนั้นตัวผม...เมเรสที่เคียดแค้นท่านไนท์ เคยเดินทางมาที่นี่ มาเพื่อประหารอัลฟ่าที่ผมชิงชังที่สุด อัลฟ่าที่ทิ้งร่องรอยความปวดร้าวเอาไว้บนร่างกายผม เมเรสที่กลายเป็นเทเนบริส แคนนิส ตนแรกได้ปรากฎกายที่นี่เพื่อฆ่าไนท์
และวันนั้นไนท์ ก็ได้เอ่ยไปแล้วว่าจะมอบสิทธิที่จะแก้แค้นให้กับเมเรส
ไนท์จึงไม่ป้องกันตัวเอง สั่งให้ทุกคนเปิดทางและห้ามทำร้ายสัตว์ประหลาด แต่ก็มีคนคนหนึ่งที่ไม่ทำตาม
"ท่านไนท์!"
มหาดเล็กย้ายตัวเองมาคุ้มกันราชาของดวงดาว เขาไม่เข้าใจเหตุผลที่ท่านไนท์ปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายโดยสิ่งประหลาดนี่ แต่ด้วยหน้าที่ของเขาจะปล่อยให้ราชาตายไปไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าตัวเขาจะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็ตาม
"นายอยากเป็นอัลฟ่าหรือเปล่า" คำถามนี้เวสต์เคยได้รับมาหลายครั้ง และเขาตอบมันด้วยการกระทำมาตลอด
พลังของสสารมืดจากกรงเล็บของสัตว์ประหลาดกัดกร่อนทำลายใบหน้าและร่างกายของเบต้สอันดับหนึ่ง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้ท่านไนท์ได้สติ และเลือกที่จะมีชีวิตต่อไป...
สัตว์ประหลาดหนีไปได้ ท่านไนท์แกล้งบาดเจ็บ และรอเวลาที่เทเนบริส แคนนิสสิ้นฤทธิ์ด้วยฝีมือของจักรพรรดิอาเบล เขาเก็บอนุภาคของมันมาปั้นขึ้นเป็นตัวผม 'นิก นิโคลัส' มาอยู่ข้างกายท่านจนถึงปัจจุบัน ท่านคงพยายามชดเชยที่ไม่สามารถให้ผมเอาชีวิตท่านได้ล่ะมั้ง
ผมจ้องใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นขีดข้ามดวงตาและโหนกแก้ม รอยแผลจากอดีตที่ทำให้ความหล่อเหลาของเขาถูกทำลาย
"ผม...เมเรส เป็นคนสร้างรอยแผลให้กับนายสินะ"
และท่านไนท์ก็จงใจเหลือไว้ เพื่อเตือนตัวเองว่าเขาจะยังตายไม่ได้จนกว่าภารกิจของเขาจะสำเร็จ จนกว่าเขาจะสามารถช่วยโอเมก้าคนอื่นๆได้
เวสต์ก็เหมือนเป็นตัวกลางมาตลอด ระหว่างผมกับท่านไนท์ ระหว่างโอเมก้ากับอัลฟ่าที่ติดค้างกันและกัน เบต้าอย่างเขาต้องยืนอยู่ตรงกลาง ยอมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงมากมายและคอยพยุงให้ดาวเฟลม่าดำเนินต่อไปได้ โดยที่ไม่มีโอกาสรับรู้ หรือเข้าใจถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดเลย รวมทั้งสูญเสียโอกาสหลายๆอย่างที่เขาควรจะได้รับ
ผมทรุดตัวลงคุกเข่าในทันทีทำให้เวสต์เผยสีหน้าตกใจเป็นครั้งแรก เขาพยายามประคองผมขึ้น แต่ผมก็จับมือเขาไว้แน่น ประสานมือไว้ตรงหน้าเขา
"ผมขอขอบคุณนายจากใจจริงที่ช่วยเหลือผมมาตลอด นอร์ทเวสต์...ท่านไนท์เองก็คงคิดเช่นเดียวกัน"
ทั้งผมและท่านไนท์ พวกเราติดค้างเวสต์จนประมาณไม่ได้เช่นกัน
"บนดาวดวงนี้ไม่มีตำแหน่งไหนที่นายไม่คู่ควร ทุกสิ่งจะเป็นของนายถ้านายต้องการ"
ก่อนที่เวสต์จะรู้ว่าผมจะทำอะไรต่อไป ผมก็คว้ากำไลสีขาวนวลอันนั้นไว้ และทำอย่างที่ท่านไนท์บอกมา
[ U N L O C K ]
ฉับพลันกำไลก็เกิดรอยร้าว เวสต์กระชากมือข้างนั้นออก เขาพยายามประคองมันไว้ไม่ให้รอยร้าวมีมากขึ้น แต่เขาก็หยุดมันไม่ได้ รอยร้าวดั่งรากไม้แทรกตัวกระจายไปจนทั่ว และในที่สุดกำไลอันงามก็แตกเป็นธุลี
"ท่านไปซะ..."
ผมยืนอึ้ง ผมพอจะเตรียมใจไว้แล้วว่า เวสต์จะต้องโกรธ แต่เขาจะต้องโกรธขนาดนี้เลยเรอะ
"ไปให้ไกลจากข้าน้อย..."
ขะเขาไล่ผมด้วย ที่ผ่านมาต่อให้ผมทำตัวงี่เง่า ไร้สาระ ไร้เหตุผลขนาดไหนเขายังไม่เคยไล่ผมเลยนะ เขาคงจะโกรธมากจริงๆ
"เวสต์...คือว่า" ผมพยายามจะกลั่นคำแก้ตัวดีๆมากมายในหัวออกมาเป็นคำพูด แต่กลับไม่มีเลย ทั้งที่เตรียมมาตั้งหลายวันแล้ว
"ไปเดี๋ยวนี้ ท่านนิก"
เขาตะคอกขณะที่หันหลังให้ผม มือซ้ายของเขาลูบข้อมือขวาที่ว่างเปล่าซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่ามันจะช่วยให้บรรเทาความโกรธ ให้จิตใจเขาสงบนิ่งจนไม่เข้ามาประทุษร้ายผมที่ไปทำลายกำไลอันแสนสำคัญของเขา
ใจผมตกไปอยู่ตาตุ่ม รู้สึกกลัวเสียงตะคอกของเขาจนตัวสั่นแล้ว แต่ที่ผมยังไม่ขยับเพราะสิ่งที่ผมกลัวมากกว่าก็คือ...กลัวว่าเขาจะไม่ยกโทษให้ สิ่งสำคัญของผู้คนไม่เหมือนกัน บางทีสำหรับเขา การได้ทำงานตามหน้าที่ รับใช้ท่านไนท์อย่างภักดี อาจจะเป็นที่สุดของปฎิทานในชีวิตก็เป็นได้ ผมไม่ควรเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปตัดสินว่าเขาควรจะมีอิสรภาพอย่างไร
เพราะอิสระคือสิ่งที่ผู้คนเลือกเอง
"เวสต์ ผมขอโทษ..." ผมเอ่ยได้แค่นั้นก็ก้มหน้าลง หลับตาปี๋ ยืนยันจะไม่ไปไหน ถ้าเขาจะโกรธ ก็ด่าทอทุบตีเสียให้พอใจ แล้วจากนั้นก็กลับมาพูดคุยดีๆกับผมเถอะ อย่างให้เรื่องนี้ค้างคาทิ่มแทงทุกครั้งที่เจอหน้ากันเลย พวกเรายังต้องช่วยกันดูแลดาวเฟลม่าอีกนานนะ
"…"
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่เสียงถอนหายใจ และเสียงฝีเท้าหนักๆที่เดินมาหยุดตรงหน้า ผมแอบเปิดตาดูก็เห็นว่ารองเท้าขัดมันแวววับของเขาวางอยู่ข้างหน้าผมเอง
"จริงๆไม่ว่าเมื่อไรข้าน้อยก็ไม่เคยต้องการเป็นอัลฟ่า..."
จู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้น ผมชะงัก แล้วค่อยๆเงยหน้ามองเขาด้วยความอยากรู้ว่าทำไมเขาจึงกล่าวเช่นนั้น และผมก็พบว่าเขาดูแปลกๆไป หน้าตาดำมืดเคร่งเครียด ราวกับกำลังต่อสู้กับการตัดสินใจบางอย่างข้างในอย่างรุนแรง เขาหลับตาขมวดคิ้วแน่นนานหลายวินาทีจนสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา แล้วจากนั้นใบหน้าตึงเครียดก็กลับกลายเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมใจสั่น แต่ก็ไม่เท่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้
"ข้าน้อยไม่อยากเป็นอัลฟ่าของดาวเฟลม่า เพราะข้าน้อยมีดาวดวงเดียวในการดูแลก็พอแล้ว"
ว่าจบเขาก็ทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าผม สองมือประคองใบหน้าของผมไว้ ให้ผมสบกับดวงตาสีน้ำเงินที่จ้องตรงมาอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง พร้อมกับเอ่ยถามคำถามที่ผมไม่มีคำตอบ
"...เป็นดวงดาวของข้าน้อยคนเดียวได้มั้ย ท่านนิก"
ผมอ้าปากค้าง มะหมายถึงผมงั้นเรอะ มันหมายความว่าไง? ผมตอบไม่ถูกเพราะไม่เข้าใจความหมายของมัน...เมื่อเห็นผมทำหน้างุนงง อดีตเบต้าอันดับหนึ่งก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีก จนสามารถกระซิบอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูผมได้
"หมายความว่า...ทุกๆความคิดคำนึง ทุกความรู้สึกของดวงดาว ท่านต้องบอกแก่ข้าน้อยทุกๆวัน"
"ทุกสิ่งที่ดวงดาวชอบไม่ชอบ ท่านก็ต้องบอกแก่ข้าน้อย ทั้งก่อนนอนหรือตอนตื่น ท่านก็ต้องทักทายข้าน้อยเป็นคนแรก"
อ่า ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า แล้วทำไมผมต้องใจเต้นแรงหน้าแดงด้วย ก็แค่เรื่องทั่วๆไปเองไม่ใช่เรอะ?
ผมจะถอยตัวเองออก แต่เวสต์ก็ยึดตัวผมไว้ เพราะคำพูดของเขายังไม่จบ
"นอกจากนี้ทุกพื้นที่ราบ หุบเหวและเนินสูงต่ำบนพื้นผิวดวงดาว ท่านต้องให้แค่ข้าน้อยคนเดียวได้สัมผัส...รวมทั้งสิทธิการเข้าถึง 'ห้องลับของดวงดาว' จะต้องมีแต่ข้าน้อยที่เข้าไปได้จากนี้และตลอดไป จนกว่าดวงดาวจะดับสลาย"
เหวอ พอเขาพูดจบผมก็ขนลุกไปทั้งร่าง กลืนน้ำลายได้อย่างฝืดคอ เริ่มที่จะรู้แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร มันคือการเปรียบเปรย ดั่งตัวผมเป็นดวงดาวอย่างนั้นเรอะ? แล้วเวสต์เป็นอัลฟ่า?
งั้นก็แปลว่า เขาจะสำรวจภูมิประเทศตรงไหน อยากเสริมเติมแต่งปั้นทุกสิ่งบนผิวดาวได้ตามใจชอบ หรือกระทั่งบังคับให้หินหนืดเคลื่อนที่ไปอย่างไรก็ได้ใช่มั้ย? หรือแม้แต่ปรับเปลี่ยนวงโคจรให้หมุนวนอยู่ในอ้อมกอดนี้
"ข้าน้อยอยากเป็นอัลฟ่าของดาวดวงเดียวเท่านั้น"
นะนายพูดอะไรตอนนี้ผมเข้าใจหมดแล้ว เพราะงั้นพูดอย่างเดียวได้มั้ย ไม่ต้องสาธิต!
"ได้มั้ยท่านนิก ?"
ยะยังต้องถามอีกเรอะ? ในเมื่อสองมือของนายล่วงเกินผมไปขนาดนี้แล้ว นี่มันกลางสวนนะ ถึงจะเป็นสวนที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน และเต็มไปด้วยพุ่มไม้ก็เถอะ แต่ว่า...
ผมอยากร้องประท้วง อยากหนีไปสุดขอบจักรวาล แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ผมตกอยู่ในวงโคจร ไม่สิ อยู่ในสนามแรงโน้มถ่วงรุนแรงของหลุมดำ ณ ใจกลางดาราจักร ที่อัลฟ่านิสัยเสียสร้างขึ้นบนฝ่ามือของเขา และกำลังจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไปจากผม เริ่มต้นจากพื้นผิวดาว ลงไปจนถึงหินหนืดใต้เปลือกโลก และแม้แต่ห้องลับในแก่นดาวที่ถูกซุกซ่อนไว้ ทั้งหมดกำลังจะถูกปล้นชิงไปในบทเรียนสุดท้ายของคืนนี้
บทเรียนที่ผมไม่ได้ร้องขอ แต่คุณครูจำเป็นก็อยากจะสอนให้...หวังว่าจะไม่ใช่สามวันสามคืนเหมือนตอนนั้นหรอกนะ ท่านไนท์ช่วยผมด้วย!