โจทก์มานั่งเรียงรายกันหน้าวังแต่เช้า
ท่านไนท์นั่งกินอาหารอย่างเพลิดเพลินบันเทิงใจ แม้ข้างนอกจะมีเหล่าตัวแทนจากดวงดาวต่างๆมารอเจรจาอยู่หลายร้อยหลายพัน และข้างในพระราชวังก็มีอัลฟ่าที่ได้รับเกียรติเป็นพิเศษให้มาทำหน้าบูดอยู่บนโต๊ะอาหาร
อืม ตอนนี้ผมอยากให้ที่นั่งยืดยาวออกไปอีกไกลๆจัง ผมจะได้อยู่ให้ไกลจากสายตาอาฆาตพยาบาทที่ส่งมาจากจักรพรรดิอาเบล
หรือไม่ก็ขอย้ายที่นั่งไปนั่งตรงข้ามกับพี่ใหญ่ชาร์ลแทนได้มั้ย แต่ที่ตรงนั้นก็มีคนจับจองไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกจากแขกไม่ได้รับเชิญอย่าง เวอร์ชูวที่มานั่งเท้าคางรอรับชมเรื่องสนุก
อาเบล
หลังรับประทานอาหารอย่างละเลียดละไมทดสอบความอดทนของใครหลายๆคนเสร็จแล้ว ท่านไนท์ก็ยืนขึ้นอย่างสง่างาม
"ผมเรียกพวกนายมาพิเศษ ไม่เหมือนพวกที่รออยู่ด้านนอกก็เพราะว่า...ผมมีเรื่องจะปรึกษา"
เสียงกล่าวสุทรพจน์ของเขาก้องกังวานไปทั้งห้องอาหารที่มีคนอยู่เพียง...
ห้าคน
รวมพ่อบ้านที่กำลังยกจานไปเก็บ
ท่านไนท์ ท่านจะไม่กวนไปหน่อยเรอะ?
ปั้ง
นั่นไงมีคนหมดอารมณ์จะเล่นกับท่านแล้ว
"อย่ามาเล่นตลกให้เสียเวลา อิกไนท์ เราจะให้เวลาแกอธิบายหนึ่งนาที"
อาเบลกระแทกโต๊ะเคลื่อนไปชนผนังห้อง ถ้าไม่ได้พี่ใหญ่หิ้วคอเสื้อผมไว้ขอบโต๊ะคงกระแทกม้ามผมแตกได้ แล้วทำไมท่านต้องโมโหขนาดนั้นด้วยไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าท่านไนท์ไม่ได้ไปขอโทษเป็นการส่วนตัวอย่างที่บอกไว้หรือเปล่า
ไนท์หันมายิ้มไพล่
"ใจเย็นๆนะอาเบล ผมรู้ว่านายมีเรื่องอยากจะถามผมหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องมีคนปากพล่อยบอกนายไปแล้ว"
อาเบลสะอึก สีหน้าตึงเครียดขึ้นทันที ส่วนคนปากพล่อยที่ว่ากลับส่งยิ้มเทพบุตรมาให้
"ไม่เอาหน่าไนท์ นายก็รู้ว่าสักวันก็ต้องรู้ นายจะปิดบังไปทำไมล่ะ"
"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนาย เอาไว้ผมค่อยคุยกับอาเบลสองคนก็พอแล้ว"
ท่านทำจักรพรรดิอาเบลหน้าแดงแล้วนะ เอ๊ะ หรือว่าผมดูผิด นี่มันใบหน้าแบบอยากฆ่าคนต่างหาก
"สำหรับตอนนี้ผมเรียกพวกนายมาแค่อยากจะบอกว่า..."
ไนท์สบตากับทุกคนก่อนจะพูดความจริงที่ได้เกิดขึ้นออกไป ความจริงที่อาจทำให้ทุกคนเป็นศัตรูกับเขา
"ผมน่ะได้ปลดปล่อยโอเมก้าและเบต้าเป็นอิสระแล้ว ประชาชนของดาวเฟลม่า บัดนี้ไม่มีตราประทับอีกต่อไป"
"แกบ้าไปแล้วเรอะ" อาเบลเป็นคนแรกที่โพล่งออกมาด้วยแววตาวาวโรจน์ ชาร์ลกลับเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด เขาไม่โวยวาย ผมเหลือบมองพี่ใหญ่ข้างๆ เขาทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนจะคาดเดาไว้อยู่แล้ว
นอกจากปฏิกิริยาของสองคนข้างต้น ก็มีอีกหนึ่งเสียงหัวเราะ เป็นเวอร์ชูวนั่นเอง
"คิดจะสู้กับพระเจ้าเรอะไนท์? เรื่องนี้ต้องขอบคุณจักรพรรดิอาเบลสินะที่ทำให้นายได้รู้ว่าการเป็นโอเมก้ามันเป็นยังไง"
"ต้องพูดให้ได้สินะ เวอร์" ไนท์เอ่ยอย่างอ่อนใจกับเพื่อน
"แกหมายความว่าไง?" อาเบลหันไปคำรามใส่บุรุษแห่งปีกสันติภาพที่กำลังจุดไฟสงครามกลางที่ประชุม
เวอร์ยักไหล่ให้เพื่อนสนิทดั่งคนไร้สำนึกพลางว่า
"นายควรจะขอบคุณผมนะ เพราะผมทำให้เรื่องของนายมันง่ายขึ้น ส่วนเรื่องงี่เง่าที่นายพูดถึงเมื่อกี้ ผมยังไม่สนใจ และไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำแบบนั้น งานส่งออกโอเมก้าของผมก็ยังดีอยู่ เอาเป็นว่าถ้านายคิดจะทำจริงๆ ผมก็ยินดีเป็นคู่ต่อสู้ให้นะ แบบนี้คงสนุกไม่เลว"
ไนท์ผงกหัว เหมือนเดาไว้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนแรกจะต้องตอบกลับมาแบบนี้
ส่วนอาเบลก็แค่นเสียงเฮอะ ยอมปล่อยเรื่องที่เวอร์ชูวเกริ่นถึงไปก่อน เพื่อจัดการกับปัญหาที่สำคัญกว่าก่อน
"แกคิดจะทำอะไรก็ไม่คิดจะบอกกันก่อนเลยหรือ"
"…ก็ผมคิดว่าอาเบลคงไม่เห็นด้วย แล้วคงจะจับผมขังไว้ไม่ให้ทำอะไรโง่ๆน่ะ"
"งั้นต่อจากนี้แกจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเรา" อาเบลสะบัดหน้าจากไปจริงๆ
"นายวืดแล้วล่ะเพื่อนยาก" เทพบุตรแสร้งส่งสายตาเวทนามาให้
"อยากให้คนที่สะบัดก้นจากไปเป็นนายจังนะเวอร์" ไนท์ยิ้มให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญจนตาหยี เส้นเลือดที่ขมับเริ่มหนาตัวขึ้นเป็นลอนๆ
"ไล่กันแบบนี้ ไม่ต้องแวะมาหาตอนกลางคืนนะพวก" เวอร์แสร้งทำเสียงงอนบ้าง
"ไปหาพ่..นายเรอะ?" ไนท์เริ่มหมดความอดทนกับเพื่อนคนนี้แล้ว
"จะมาฝากตัวก็ได้นะ ปีกสันติภาพยินดีต้อนรับเสมอ" เวอร์หัวเราะร่วนแล้วกลับไปตามคำเชิญอย่างอารมณ์ดี ชาร์ลที่นั่งเงียบๆมาตลอดส่ายหน้าให้กับไนท์ที่ถอนหายใจเฮือกกับสองคนที่รับมือยากยิ่ง
"รู้อยู่แล้วเรอะครับ ชาร์ล"
"ก็นะ" ชาร์ลยักไหล่ "ข้ามันพวกไม่คิดมากเหมือนพวกเอ็ง ข้าสนใจแค่คนมีฝีมือเท่านั้นแหละ ถ้าแข็งแกร่งจะมีเป้าหมายอะไรก็ทำได้ เพราะงั้นข้าจะรอดูความสำเร็จของเอ็งก็แล้วกัน"
ไนท์ยิ้มรับคำชม แล้วผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
"ปฏิกิริยาดีกว่าในยุคของราชาแม็กซิมัสเยอะเลยล่ะ แค่นี้ผมก็ใจชื้นขึ้นเยอะแล้ว"
"แต่ถ้าเอ็งจะทำการใหญ่ อย่างแรกก็ควรเริ่มจากหาพันธมิตร" ชาร์ลเอ่ยแนะนำ แล้วเลิกคิ้ว "และพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดก็เพิ่งงอนเอ็งจากไปเมื่อกี้"
"อืม ผมก็ว่าจะไปง้อคืนนี้อยู่" ไนท์พยักหน้าเห็นด้วย "เพราะงั้นคืนของนายเอาไว้วันหลังได้มั้ย"
ถุย
ชาร์ลถุยเสียงดังกรอกตาใส่อย่างเอือมระอา
"ข้าเคยบอกเอ็งแล้วนะว่า เอ็งจะจีบใครก็อย่าทำให้ดาวข้าซวยไปด้วยเว้ย"
บุรุษนักรบกำลังจะก้าวกลับดาวตัวเอง ก็ชะงักฝีเท้าหันมาสบสายตากับผมพอดี พี่ใหญ่วางมือบนหัวผมอย่างแผ่วเบา
"ดีแล้วล่ะที่เอ็งไม่ได้เป็นเหมือนเจ้าบ้านี่" เขาเอ่ย แล้วโบกมือลา
ผมยิ้มรับ ดีใจที่พี่ใหญ่ไม่ได้รังเกียจที่ผมเคยเป็นโอเมก้ามาก่อนเลย ตลอดมาผมคิดว่าพวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจ และไม่มีทางยอมรับตัวตนของผมได้ แต่วันนี้...
ฝ่ามือของพี่ใหญ่อบอุ่นจริงๆ
"ชาร์ลน่ะเป็นคนหยาบๆที่ละเอียดอ่อน..." ท่านไนท์เดินมาลูบหัวผมพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างมีเลศนัย
"เพราะงั้นถ้าเมเรสชอบเขาก็ไปอยู่กับเขาก็ได้นะ"
หา!!
"พูดอะไรแบบนั้น ท่านไนท์"
"เพราะผมติดค้างเขาอย่างที่ชดใช้ไม่มีวันหมด"
ผมเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจว่าท่านไนท์หมายถึงอะไร แต่ก็พบแต่ความจริงใจในดวงตาคู่นั้น
"ผมน่ะเคยทำร้ายชาร์ลไว้แสนสาหัส...ชาร์ลเป็นคนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมก็ได้กลายเป็นปีศาจร้ายไม่แตกต่างจากคนที่ทำร้ายผม มันทำให้ผมรู้ว่าผมเองก็น่ารังเกียจไม่แตกต่างกัน ท้ายที่สุดผมจึงเข้าใจอาเบล เข้าใจตัวเอง และก้าวข้ามความเคียดแค้นมาได้ เพราะเขาแสดงให้ผมเห็นว่าเขาไม่ได้เคียดแค้นผมเลย
ชาร์เลส ชาร์ลน่ะยืนอยู่ในกฎของจักรวาลก็จริง แต่เขาก็มีกฎของตัวเอง จึงไม่ถูกกระแสของจักรวาลที่ผิดเพี้ยนดึงไป สามารถเป็นตัวของตัวเองได้แม้จะเผชิญกับสิ่งที่แตกต่าง หรือการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง...ชาร์ลจึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้ความลับของมิติเอกเทศ และไม่รู้จักมิติที่ห้าหกเจ็ดก็ตาม"
ไม่ได้มีพลังมากที่สุดในจักรวาล แต่กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้อยคำนี้ย้อนแย้งแต่ก็คือความจริง
"ผมติดค้างชาร์เลส ชาร์ลมาก และชาร์ลก็ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนเลย อันที่จริงเขาคงไม่รู้ตัว และไม่สนใจหรอกว่า ผมรู้สึกติดค้างเขาน่ะ"
ผมจิ้มแก้มท่านไนท์ที่เศร้าหมองลง ผมเข้าใจนะว่าท่านรู้สึกอย่างไร แต่ไม่อยากเห็นท่านทำหน้าแบบนี้เลย
"ผมชอบพี่ใหญ่ก็จริง แต่ว่าผมเองก็ยังตอบแทนท่านไนท์ไม่หมดเหมือนกัน"
"เมเรส..."
"เรียกผมว่านิกเถอะครับ" ผมเอ่ย "ผมชอบชื่อนี้ ผมคือนิกที่ท่านไนท์ดูแลมาอย่างดี ท่านสร้างผมขึ้นมาใหม่จากสิ่งที่พังทลายไปแล้ว อดีตของพวกเราทั้งหมดได้จบไปแล้ว ที่เหลือคือปัจจุบัน และอนาคต"
ใช่ มันจบไปแล้ว เหมือนที่ชาร์ลไม่ถือโกรธท่าน เหมือนที่ท่านเองก็ไม่แค้นเคืองอาเบล และเหมือนที่ผมเองก็หาเศษเสี้ยวความเกลียดชังของเมเรสต่อท่านไม่เจอ
"ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าผมชอบท่านไนท์มากๆ และผมอยากเห็นจักรวาลในอุดมคติของท่านไนท์เป็นจริง จักรวาลที่พวกเราทั้งหมดมีชีวิตเป็นของตัวเองอย่างไร้ข้อจำกัด"
ท่านไนท์หลับตาลง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นทุกอย่างก็กระจ่างใส เหมือนท้องฟ้าที่ไร้หมอกเมฆ เขาพร้อมจะเดินต่อไปข้างหน้าแล้ว ในเส้นทางเพื่ออุดมคติที่ดูเลอะเลือนในสายตาผู้อื่น
"ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ผมนะ นิก"
ท่านไนท์เผยรอยยิ้มที่เบาสบายดุจปุยนุ่น รอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังบอกลา
"ผมขอฝากดาวดวงนี้ไว้ในมือของนายนะ ช่วยดูแลมันในฐานะอะไรก็ได้ที่ทำให้พวกเขามีความสุข ให้พวกเขาได้มีชีวิตอย่างที่ต้องการ"
พวกเขา...ประชาชนของดาวเฟลม่า
ผมอยากให้พวกเขามีชีวิตเหมือนกับผม อยากจะทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขามีสิทธิเลือกเส้นทางของตัวเอง ทุกคนมีอิสระที่จะรักและทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา เพราะพวกเรากำเนิดมาเพื่อมีชีวิต...
"แล้วก็ ผมขอฝากอย่างสุดท้ายนะนิก"
"ได้ทุกอย่างเลย ท่านไนท์"
ท่านไนท์ส่งแววตาที่อ่อนโยนมาให้พลางลูบหัวผมเป็นครั้งสุดท้าย
"แค่อย่างเดียวก็พอ ฝากดูแลเวสต์ด้วย ดวงดาวของเราอยู่อย่างสงบสุขได้ทั้งที่ผมทำตัวเหลวไหลก็เพราะเขานี่แหละ"
อืม อันนี้ผมไม่เถียง ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเพิ่มสวัสดิการให้เขาอย่างไรดี
ท่านไนท์ก็ดูเหมือนจะรู้ทัน "ไม่ต้องเพิ่มสวัสดิการอะไรให้เขาหรอก แค่ฝากถอนกำไลของเขาออกที"
หา? ผมงุนงง นึกว่าตัวเองฟังผิดไป
"กำไลอะไรเรอะ ท่านไนท์"
"กำไลนั่นคือสิ่งที่ทำให้เวสต์ไม่อาจเป็นอิสระได้ เขาถูกบังคับให้ทำตามหน้าที่ของเบต้า เพราะกำไลอันนั้นแหละ"
"ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะถอดออกให้เวสต์แน่นอน"
"แต่เวสต์เป็นคนหัวแข็ง เขาไม่ยอมให้ถอดง่ายๆหรอกนะ ผมเองก็เคยลองแล้ว"
ยึดติดในหน้าที่ปานนั้นเลยเรอะเนี่ย คนอะไรบ้างานไปแล้ว
"แล้วก็ พอถอดแล้วน่ะ...ก็หนีให้ทันนะ..."
เอ๋?
ท่านไนท์พูดถึงอะไร? ถ้าผมไปถอดกำไลอันนั้นออก เวสต์จะนึกว่าผมเป็นขโมย แล้วจับผมมาลงโทษหรือไงกัน
"ผมเกรงว่านายอาจจะยังรับมือไม่เป็น..." ไนท์ว่าจบก็โบกมือลา ก้าวหายไปในสะพานข้ามดารา
ผมไม่ค่อยเข้าใจท่านเท่าไรนัก แต่ยังไงก็ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จในการคืนดีกับพันธมิตรของท่านนะครับ ผมหวังว่าสัญญาณเตือนภัยสีชมพูจะไม่ทำงานนอกเวลานะ...