-33-
"คุณหนู ท่านแม่ทัพเป็นเช่นไรบ้างขอรับ" จิ๋นซานเอ่ยถามทันทีที่ประตูเปิดออกโดยคู่หมั้นของท่านแม่ทัพ
"อืม ยังตอบไม่ได้หรอก เพราะเพิ่งดื่มยาไปแค่ถ้วยเดียวเอง" นางแบ่งรับแบ่งสู้ แม้เจ้าสามสหายจะบอกว่าหายภายในเจ็ดวันก็ตาม
จิ๋นซานค้อมศีรษะ ไม่กล่าวตอบอันใด แต่เชื่อมั่นว่านางจะรักษาท่านแม่ทัพได้
"ฝากเจ้าช่วยดูแลเขาที เดี๋ยวข้ากลับมา" นางฝากฝังเสร็จก็ผละจากไป ไม่อยู่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย เพราะตัวเองอยู่ในสภาพเพิ่งตื่นนอนไม่อยากจะพูดมากนัก
"ทราบแล้วขอรับ" จิ๋นซานค้อมศีรษะรับคำสั่ง ยืดตัวตรงเดินเข้าไปในห้องพักของท่านแม่ทัพ
ชิงหลินกลับมาที่ห้องพักของตัวเองที่อยู่ตรงกลางระหว่างห้องพักของบิดาและคู่หมั้นเพื่อล้างหน้าล้างตา ซึ่งสองสาวใช้ชุดเดิมแต่ไม่ใช่สองคนแรกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ชิงหลินก็ไปที่โรงครัวแล้วลงมือทำโจ๊กหมูเอง มีพ่อครัวใหญ่เป็นลูกมือคอยช่วยท่ามกลางความสนใจใคร่รู้ของเหล่าบรรดาพ่อครัวคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนงานในครัวที่พากันหยุดมือชั่วคราวเพื่อมาดูคุณหนูของตนทำอาหาร ราวครึ่งชั่วยามโจ๊กหมูร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลายก็เสร็จสิ้น
"อา...เป็นโจ๊กที่หอมเหลือเกิน ส่วนรสชาติก็กำลังดีขอรับ" พ่อครัวใหญ่ร่างท้วมเอ่ยชมเปาะ ปลื้มใจที่คุณหนูให้เกียรติพ่อครัวเช่นเขาเป็นผู้ชิมอาหารฝีมือของนาง แม้จะเป็นเพียงโจ๊กหมูธรรมดาที่พบเห็นและหาซื้อกินได้ทั่วไป แต่ความพิเศษอยู่ที่ก้อนหมูสับละเอียดผ่านการคลุกเคล้าสมุนไพร และปรุงรสได้อย่างกลมกล่อมนั่นต่างหาก ที่ทำให้พ่อครัวใหญ่สนใจ
"จริงหรือ ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจข้าใช่หรือไม่" ชิงหลินถามพร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆ แต่กดดันให้พ่อครัวใหญ่
"ข้าน้อยพูดจากใจจริงขอรับ ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจคุณหนูแต่อย่างใด" พ่อครัวใหญ่รีบตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ค่อยยังชั่ว ข้าทำไว้เยอะ แบ่งให้ทุกคนกินด้วยนะ" นางสั่งเสร็จแล้วจึงเดินนำสองสาวใช้ที่ถือถาดอาหารและถาดใส่ยาและน้ำชาไปยังห้องพักของคู่หมั้น
เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และนั่งสนทนากับชิงหยวนบิดาของนางอยู่ที่โต๊ะกลมภายในห้องพัก
"ท่านพ่อ" ชิงหลินเดินยิ้มนำเข้ามาก่อน
"อา...หลินเอ๋อร์ มานั่งข้างๆ พ่อเร็วเข้า" ชิงหยวนเรียกบุตรีพร้อมกับตบเก้าอี้ตัวข้างๆ โดยมีสายตาหวานฉ่ำของอีกคนมองอยู่ตลอด
"พี่เหวิน ท่านน่าจะนอนพักนะเจ้าคะ" ร่างเล็กกล่าวกับคู่หมั้นที่เอาแต่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่ม พร้อมกับส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้จนนางประหม่าทำหน้าไม่ถูก
"พี่ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด" ถ้อยคำหวานๆ แต่แฝงความนัยของบุรุษรูปงามทำให้คนที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ต้องหันมากล่าวกับบิดาแก้เขิน
"ท่านพ่อ นี่โจ๊กฝีมือลูก ลองชิมดูหน่อยนะเจ้าคะ"
"อา...กลิ่นหอมใช้ได้" ชิงหยวนเอ่ยชมพลางตักโจ๊กหมูที่อุ่นกำลังดีเข้าปาก ละเลียดช้าๆ เพื่อให้ลิ้นสัมผัสรสชาติของอาหารอย่างเต็มที่ โดยมีสายตาตื่นเต้นลุ้นตัวโก่งของบุตรีจับจ้องอยู่ "อา...หลานชาย เจ้าก็กินด้วยสิ" ชิงหยวนกล่าวกับแม่ทัพหนุ่ม แล้วปล่อยบุตรีรอคำตอบเก้อ
"ขอรับ" มู่งหลิ่งเหวินมองโจ๊กในชามของตน แล้วเงยหน้ามองคู่หมั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่านางจะทำอาหารเป็น
"เดี๋ยวเจ้าค่ะ"
คนถูกห้ามชะงักมือที่กำลังจะตักโจ๊กพลางเลิกคิ้วสงสัย
"นี่เจ้าค่ะ ยาก่อนอาหาร" หญิงสาวยกถ้วยยาที่ถืออยู่ในซ้ายมือวางตรงหน้าเขา ยาที่แอบหยดเลือดใส่ลงไปเรียบร้อยแล้ว
เขาไม่กล่าวอะไร มือหนารับถ้วยยามาแล้วยกดื่มรวดเดียวหมดราวกับดื่มน้ำชา ก่อนจะคว่ำถ้วยยากลางอากาศแล้วเลิกคิ้วให้ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยแต่มุมปากกลับยกขึ้น ด้วยรู้ทันความคิดนางที่อยากจะเอาคืนเรื่องที่เขาไม่ยอมปล่อยให้นางกลับห้องพัก จนสร้างความขุ่นเคืองใจให้นางไม่น้อย ใบหน้างอง้ำนั่นปะไรที่เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงตักโจ๊กที่นางลงมือลงแรงทำด้วยตนเองคำใหญ่ ก่อนจะหรี่ตามองคนทำ
"หลินเอ๋อร์ เจ้าทำเองจริงหรือ" ชิงหยวนถามเพื่อความมั่นใจ เป็นครั้งแรกที่ได้ชิมฝีมือทำอาหารของบุตรีซึ่งไม่เคยฝึกปรือ หรือแม้แต่จะเฉียดไปใกล้ๆ โรงครัว แล้วเหตุใดนางถึงได้...
"ลูกทำเองจริงๆ เจ้าค่ะ ถามพวกนางดูก็ได้" คนถูกถามทำหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินบิดาถามเหมือนไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของตน
"โจ๊กชามนี้คุณหนูทำเองเจ้าค่ะ" หนึ่งในสองสาวใช้ช่วยยืนยันเสียงหนักแน่น ทำให้ชิงหลินอารมณ์ดีขึ้นมา
"อา...ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะทำอาหารได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้" ชิงหยวนชมเปาะ ดวงตาคมมองบุตรีด้วยความประหลาดใจระคนชื่นชม
"โดยเฉพาะหมูก้อนรสชาติกลมกล่อม ถูกปากพ่อยิ่งนัก"
"ข้าดีใจยิ่งนัก หากท่านพ่อชอบ วันหลังข้าจะทำให้กินอีกเจ้าค่ะ" นางส่งยิ้มหวานให้บิดา ใบหน้าจิ้มลิ้มดูสดใสราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า
"ดี ดี กลับไปคราวนี้พ่อครัวคงถูกปลดกันเป็นแถว ฮ่าๆๆ" ชิงหยวนหัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงลงมือกินโจ๊กตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ตลอดเวลา
ส่วนอีกคนก็นั่งกินเงียบๆ แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่คู่หมั้นตลอดเวลา ยิ่งได้รู้จักและได้ชิดใกล้ก็ยิ่งหลงใหลและหวงแหนนางมากขึ้นเรื่อยๆ
ว่ากันตามจริงแล้ว รูปโฉมของนางจัดว่างดงาม แต่ไม่ได้งดงามถึงขั้นล่มเมืองล่มแคว้นได้ อีกทั้งเคยพบและยลโฉมสตรีที่รูปโฉมงดงามกว่านางหลายเท่ามาแล้วมากมาย แต่ยังไม่เคยมีสตรีใดทำให้ใจของเขาหวั่นไหวอย่างรุนแรงได้เท่านางมาก่อน
หลังมื้ออาหารชิงหลินก็มาส่งบิดาที่ห้องพัก "ท่านพ่อ เราจะกลับกันเมื่อไรเจ้าคะ"
"คงต้องรอจนกว่าพี่เหวินของเจ้าจะหาย และหน่วยองครักษ์กลับมาจากแคว้นโจวก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที" ชิงหยวนตอบ เมื่อเห็นบุตรีพยักหน้าแต่สีหน้าเหมือนมีอะไรในใจจึงอดถามไม่ได้ "เป็นอันใดหรือ"
"คือ...ลูกอยากจะขออยู่ต่ออีกสักสามสี่วันจะได้หรือไม่เจ้าคะ" ผู้เป็นบุตรสาวเสี่ยงถามแม้ความเป็นไปได้จะริบหรี่
"หือ? เหตุผลคือ?"
"ลูกอยากจะเข้าไปที่หุบเขากินคนอีกครั้งเจ้าค่ะ"
ชิงหยวนชะงัก เลิกคิ้วถามแทนคำพูด
"ลูกอยากสำรวจและนำพันธุ์ไม้แปลกๆ กลับไปทดลองปลูกที่เรือนพสุธาดู หากได้ผลอาจจะสร้างรายได้ให้สกุลชิงในภายหน้าได้เจ้าค่ะ" นางอธิบายยิ้มๆ
เป็นเพราะในหุบเขากินคนมีพันธุ์ไม้ที่นางรู้จักดีในภพเก่าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเงาะ มะม่วง มะพร้าว มะยมยังมีสมุนไพรอีกด้วย อย่างฟ้าทะลายโจร ว่านชักมดลูก สาบเสือ ขิง ข่า ตะไคร้ และมะกรูด ไม่แปลกที่คนที่นี่จะไม่รู้จัก หากนำไปปลูกและจำหน่าย ไม่แน่อาจทำกำไรได้ไม่มากก็น้อย
"พ่อไม่ขัดข้อง แต่พี่เหวินของเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือ" ชิงหยวนลูบเคราตัวเองพลางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับบุตรี แม้จะเป็นห่วงอยู่มากแต่ความคิดของนางก็ทำให้ชิงหยวนไม่อยากปฏิเสธ หากสิ่งที่นางคิดเป็นความจริงขึ้นมา อาจสร้างชื่อเสียงให้สกุลชิงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เมื่อมีชื่อเสียงอำนาจก็จะตามมาเอง เมื่อมีอำนาจในมือย่อมสร้างความหวาดเกรงแก่ศัตรู ทำให้ครอบครัวของตนปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นั่นคือสิ่งที่ชิงหยวนปรารถนาสูงสุด
"ลูกยังไม่ได้บอกเจ้าค่ะ" คิดไว้ไม่ผิดว่าบิดาต้องอนุญาต แต่คนหลังนี่...นางไม่แน่ใจ
"อืม ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคู่หมั้นของเจ้า ควรทำเช่นไรเจ้าคงรู้" ชิงหยวนกล่าวเตือนบุตรี
"ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ" ตอบแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ลูกขอตัวไปดูพี่เหวินก่อนนะเจ้าคะ"
ชิงหยวนพยักหน้าอนุญาต มองบุตรีที่เดินพ้นประตูไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ที่ห้องพักของมู่หลิ่งเหวิน เขานั่งเหยียดขามีผ้าห่มคลุมถึงเอวสอบหลังพิงหัวเตียง หน้าเตียงมีจิ๋นซื่อยืนเฝ้าอยู่
"ส่งพิราบสื่อสารไปแล้วใช่หรือไม่" แม่ทัพหนุ่มถามองครักษ์
"ขอรับ คาดว่าอีกสองสามวันน่าจะได้คำตอบ" จิ๋นซื่อตอบ
"อืม ออกไปได้แล้ว" มู่หลิ่งเหวินโบกมือไล่อีกฝ่ายเมื่อรับรู้ถึงฝีเท้าคุ้นหูกำลังใกล้เข้ามา จิ๋นซื่อประสานมือแล้วเดินออกมาจากห้อง เป็นเวลาเดียวกับที่ชิงหลินและแก๊งฟานเป่าโถวที่กลับมาจากเดินย่อยมาถึงหน้าห้องพักพอดี
"อ้าวจิ๋นซื่อ มาพบพี่เหวินหรือ" นางเอ่ยทักองครักษ์หนุ่ม
"ขอรับคุณหนู" จิ๋นซื่อก้มหน้าตอบ
"แล้วกินข้าวหรือยัง"
"ยังขอรับ"
"อา...วันนี้ข้าทำโจ๊กไว้"
"จิ๋นซื่อ!"
เสียงตะโกนที่ดังมาจากในห้องทำเอาชิงหลินสะดุ้งตกใจ ฝ่ายจิ๋นซื่อก็ค้อมศีรษะแล้วเดินจ้ำอ้าวจากไปอย่างรวดเร็ว
'ขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังถูกพายุไหน้ำส้มสายชูเล่นงานเป็นแน่' จิ๋นซื่อคิดในใจ
"ท่านจะตะโกนทำไมเจ้าคะ" ร่างเล็กถามทันทีที่เข้ามายืนหน้าเตียง ส่วนแก๊งฟานเป่าโถวก็กระโดดขึ้นไปเล่นบนเตียงคนเจ็บอย่างถือสิทธิ์
"หิวน้ำ" เขาตอบน้ำเสียงขุ่นมัว ใบหน้าหล่อเหลาตึงขึ้นหนึ่งส่วน จะให้พูดได้อย่างไรว่าหงุดหงิดไม่พอใจที่เห็นนางพูดคุยยิ้มแย้มให้องครักษ์ นางควรรีบเข้ามาหาเขาสิ ไม่ใช่หยุดสนทนากับบุรุษอื่นไปทั่วเช่นนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน!
"น้ำก็อยู่ที่โต๊ะนั่น ทำไมไม่ลุกไปดื่มล่ะเจ้าคะ" ชิงหลินเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง
"เจ้าสัญญาว่าจะดูแลพี่อย่างดี หรือมิใช่" ร่างสูงทวงถามสัญญา
"ข้าบอกว่าจะดูแลท่านจนหาย แต่ไม่ได้บอกว่าจะดูแลอย่างดีเสียหน่อย" นางแย้งเขาเสียงขึ้นจมูก ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำ
"อ้อ พี่เพิ่งรู้ว่าเจ้ามีนิสัยฉาบฉวย ทำสิ่งใดแบบผ่านๆ เช่นนี้" แม่ทัพหนุ่มยั่วโมโหให้นางติดกับ ซึ่งก็ได้ผลอีกครั้ง
"ข้าไม่ใช่คนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนะ!" หญิงสาวโมโหจนลมออกหู
'คนบ้า! จู่ๆ มาว่าคนอื่นเขาแบบนี้ได้ยังไง ข้านี่นะ...ฉาบฉวย ทำงานแบบขอไปที'
"เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ?" คนเจ็บทวนคำด้วยความสงสัย
"ช่างเถิด ข้าไม่อยากเถียงกับท่านแล้ว นี่เจ้าค่ะ...น้ำ!" นางหมุนตัวเทน้ำชาอุ่นใส่ถ้วยแล้วส่งให้เขา ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำแต่กลับน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของอีกฝ่ายยิ่งนัก
"หลินเอ๋อร์..." มู่หลิ่งเหวินเรียกคู่หมั้นที่รับถ้วยชาเปล่ากลับไปวางบนโต๊ะแล้วนั่งหันหลังให้
คนถูกเรียกปรายตามองคนด้วยหางตา ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไม่สนใจ สองมือเรียวกอดอกนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
"หลินเอ๋อร์..." คนเรียกจึงเรียกอีกครั้งแต่นางก็ยังไม่สนใจ
ส่วนแก๊งฟานเป่าโถวสัมผัสได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวจากหลินหลิน แต่ไม่รู้สาเหตุ พวกมันจึงได้แต่เฝ้ามองอยู่บนเตียงเงียบๆ
"หลินเอ๋อร์ อา...แค็กๆๆ อึก!" เสียงไอถี่ๆ ทำให้ชิงหลินที่กำลังเคืองหันกลับมาดู เห็นเขาใช้มือป้องปากไอออกมาไม่หยุดก็ตกใจ จึงรีบปราดเข้ามาดู "พี่เหวิน เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" ถามด้วยความเป็นห่วง มือข้างหนึ่งก็ลูบหลังที่มีเส้นผมนุ่มยาวถึงกลางหลังไปด้วย
"อา...คิดว่าเจ้าจะโกรธจนไม่ยอมเข้าใกล้พี่เสียแล้ว" แม่ทัพหนุ่มเงยหน้าขึ้นเสมอกับใบหน้าจิ้มลิ้ม ใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่เป่ารดใบหน้าของกันและกัน "พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่ได้หรือไม่" เขาออดอ้อนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน มือหนาลูบไล้ใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอม
ชิงหลินจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ ด้วยใจที่เต้นแรง
"ทำเช่นไรเจ้าจึงจะยอมยกโทษให้พี่ บอกมาเถิด พี่ยอมทำทุกอย่าง" เขายังคงออดอ้อนต่อ
"ทุกอย่าง?"
"ใช่ ทุกออย่าง"
"แน่ใจนะเจ้าคะ"
"อืม บุรุษพูดคำไหนคำนั้น!"
"ข้าอยากจะไปหุบเขากินคนอีกครั้งเจ้าค่ะ"
พอได้ยินมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นก็พลันกลับมาเหยียดเป็นเส้นตรงจนดูน่ากลัว
"ท่านสัญญาแล้วนะเจ้าคะ"
"เหตุใดจึงอยากจะกลับไปนัก" ร่างสูงผละกลับไปนั่งพิงหัวเตียงดังเดิม ใบหน้าหล่อเหลาทั้งเครียดขึงและจริงจัง
"เรื่องนั้น..." ชิงหลินจึงบอกเล่าสิ่งที่คิดให้เขาฟังอย่างละเอียด
"ได้ แต่พี่จะไปกับเจ้าด้วย"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" ชิงหลินดีใจจนเผลอสวมกอดเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มแนบซบไปกับอกกว้าง ทั้งยังยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง ทำเอาคนโดนกอดตะลึง ต่อมาก็ยิ้มพึงพอใจ สองแขนโอบกอดนางตอบอย่างทะนุถนอม
"หลินหลิน" ไม่เรียกเปล่า แก๊งฟานเป่าโถวยังพยายามแทรกตัวเข้ามากั้นกลางระหว่างคนทั้งสอง ทำให้ชิงหลินที่เผลอกอดเขาเพราะความดีใจได้สติ
"อะ...เอ่อ..." นางส่งเสียงพร้อมกับคลายมือที่โอบกอดตัวคู่หมั้นออกมายันหน้าอกกว้างแทน ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงเรื่อด้วยความอายและโมโหตัวเองที่เผลอทำตัวไม่งาม
"หือ?" เขาไม่สนใจเจ้าสามมารน้อยที่พยายามแทรกตัวเข้ามา ซ้ำยังแกล้งโอบกระชับอ้อมแขนแน่นเข้า เป็นเหตุให้แก๊งฟานเป่าโถวที่เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง ถูกบีบรัดจนแทบจะกลายเป็นปลาหมึกบด พวกมันอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ตะกุยตะกายดิ้นขยับตัวไปมากว่าจะหลุดออกมาได้ก็ทำเอาแก๊งฟานเป่าโถวลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ
"เจ้าคนนิสัยไม่ดี ปล่อยหลินหลินเดี๋ยวนี้นะ" เจ้าพยัคฆ์น้อยขู่ทางจิต
"เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า" อีกฝ่ายโต้กลับทางจิตเช่นเดียวกัน พร้อมกับเลิกคิ้วท้าทาย
"เอ๋? ท่านสื่อสารทางจิตกับฟานฟานได้ด้วยหรือเจ้าคะ" ชิงหลินผละออกมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"อืม ครั้งที่อยู่ในหุบเขากินคน เพื่อช่วยเจ้าแล้วดูเหมือนเจ้าพยัคฆ์น้อยต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะสื่อสารกับพี่"
"จริงหรือนี่ ไม่คิดว่าเจ้าจะเก่งขนาดนี้" ชิงหลินชมเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ขึ้นมานั่งนบตัก ส่วนเป่าเปาน้อยกับหมั่นโถวน้อยนอนหมอบเรียบร้อยอยู่ข้างขาของนายใหม่ที่ห้อยลงมาจากเตียง ดูสงบเสงี่ยมน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
"แน่นอน ฟานฟานเก่งที่สุด ชมอีก ชมอีก" เจ้าพยัคฆ์น้อยทิ้งมาดหัวหน้าแก๊งกลับไปเป็นพยัคฆ์น้อยจอมออดอ้อนอีกครั้ง มันใช้อุ้งเท้าเกาะยึดสาบเสื้อของหลินหลินแล้วยืดตัวขึ้นเลียใบหน้าจิ้มลิ้มของนาง
"คิกๆ ไม่เอา หยุดนะฟานฟาน" คนถูกเลียหัวเราะคิกคักจั๊กจี้จนต้องเบี่ยงหน้าหลบไปมา เป่าเปาน้อยกับหมั่นโถวน้อยเห็นว่าน่าสนุกดีจึงเข้าร่วมเล่นด้วย สร้างความหงุดหงิดระคนริษยาให้มู่หลิ่งเหวินยิ่งนัก
'ลำพังเจ้าพยัคฆ์น้อยตัวเดียวก็รับมือยากแล้ว แล้วนี่ยังมีเพิ่มมาอีกสองตัว แต่อย่านึกนะว่าข้าจะยอมแพ้สัตว์หน้าขนเช่นพวกเจ้า'
"เป็นอะไรไปเจ้าคะ ปวดท้องหรือ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นเขาตัวงอ สองมือกุมท้อง ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเล็กน้อย
เจ้าพยัคฆ์น้อยชะงัก หรี่ตากลมเล็กสีเทามองเจ้าร่างยักษ์นิ่ง สัญชาตญาณบอกมันว่าหลินหลินกำลังติดกับดักหลอกลวงของเจ้าร่างยักษ์อยู่
"ฮึ!" อีกฝ่ายรู้ดีว่าถูกมองอยู่ จึงก้มหน้ามองเจ้าพยัคฆ์น้อยพลางเหยียดยิ้มเยาะเย้ยมัน สร้างความขุ่นเคืองใจให้เจ้าพยัคฆ์น้อยยิ่งนัก มันแยกเขี้ยวคำรามขู่ตอบเสียงต่ำ
"เป็นอะไรไปฟานฟาน" ชิงหลินอดถามไม่ได้
เจ้าพยัคฆ์น้อยไม่ตอบคำถามของหลินหลิน มันสะบัดหัวแล้วกระโดดลงจากเตียง เป่าเปาน้อยกับหมั่นโถวน้อยเห็นดังนั้นจึงกระโดดตามไปติดๆ แล้วออกไปจากห้องพักของแม่ทัพหนุ่ม ปล่อยให้หลินหลินอยู่กับเจ้าร่างยักษ์เพียงลำพัง สร้างความงุนงงแก่ชิงหลินยิ่งนัก
ผิดกับแม่ทัพหนุ่มที่ยิ้มอย่างพึงพอใจ ที่เจ้าพยัคฆ์น้อยยอมเป็นฝ่ายล่าถอยไป จึงคาดเดาว่ามันคงอยากตอบแทนเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขากินคน
"พี่เหวิน? หายปวดท้องแล้วหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถามย้ำเพื่อความแน่ใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ ไม่แน่ใจว่าที่เขาปวดท้องนั้นจะเป็นเพราะยาที่นางให้เขาดื่มหรือไม่
"อืม ห่วงพี่มากเลยหรือ" มู่หลิ่งเหวินเย้านางเสียงหวาน ดวงตาคมทรงเสน่ห์หวานฉ่ำน่าหลงใหลจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มที่อยู่ห่างเพียงฝ่ามือกั้น
ชิงหลินพยักหน้าตอบตามจริง รู้สึกอายจนหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูและลำคอ
"หลินเอ๋อร์" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเรียกนางเสียงหวานจับใจ ดึงมือเนียนนุ่มนิ่มทั้งสองของนางมาวางบนมือใหญ่หนาของตนแล้วถาม "รู้ใช่หรือไม่...ว่าพี่รู้สึกเช่นไรกับเจ้า"
"ขะ...ข้าจะไปทราบได้อย่างไรกันเจ้าคะ" คนถูกถามหลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองหน้า ด้วยรู้ดีว่าเขารู้สึกเช่นไร แต่เพราะอยากได้ยินจากปากเขาเองจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้
"ไม่รู้จริงหรือ"
"ไม่รู้เจ้าค่ะ"
"หืม? แล้วเหตุใดจึงไม่กล้าสบตาพี่"
"..."
"รู้หรือไม่ ทุกครั้งที่เจ้าปดพี่ เจ้ามักจะหลบตาเช่นนี้" เขารุกต่อ อยากดูว่านางจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างไร
"มะ...ไม่จริง ขะ...ข้าไม่ได้..." ชิงหลินพูดติดอ่าง เมื่อได้เห็นสายตาคมทรงเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์แบบที่ไม่เคยได้รับจากชายใดมาก่อน
แม่ทัพหนุ่มส่งยิ้มหวานให้นาง พร้อมกับโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาช้าๆ ตรึงนางไว้ด้วยดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่สตรีทั่วแคว้นต่างหลงใหล แล้วประทับริมฝีปากหนาได้รูปกับริมฝีปากอวบอิ่มของนาง ดุนดันจนสามารถแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปในโพรงปากเล็กได้สำเร็จ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อนางให้ความร่วมมือแต่โดยดีไม่ขัดขืนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา สร้างความพึงพอใจให้แก่แม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก แล้วค่อยๆ ตัดใจถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง กดศีรษะเล็กไว้แนบอกแกร่งพลางกล่าว "พี่รักเจ้า..."
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ดันตัวเองออกมาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างโง่งมเพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"ได้ยินไม่ชัดหรือ"
คนถูกสารภาพรักหน้าแดงเหมือนผลตำลึง
มู่หลิ่งเหวินยิ้มหวาน สองมือประคองใบหน้าเล็กพลางกล่าวเน้นอีกครั้ง "พี่รักเจ้า ได้ยินชัดหรือไม่"