-34-
คำสารภาพรักของบุรุษรูปงามทำให้ชิงหลินตะลึงอึ้งจนพูดไม่ออก ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองเขา ริมฝีปากที่ยังเห่อบวมเผยอขึ้นเล็กน้อย
'นะ...นี่...ข้ากำลังถูกหนุ่มหล่อสารภาพรักอยู่จริงๆ ใช่หรือไม่ ไม่อยากจะเชื่อ' ได้แต่อุทานกับตัวเองในใจ แม้จะพอเดาออกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับนาง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าสารภาพออกมาโต้งๆ แบบไม่ให้นางตั้งตัวอย่างนี้
"เป็นอันใด ไม่เชื่อคำพี่หรือ" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน สองมือยังคงประคองใบหน้าจิ้มลิ้มไว้มั่น ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกอัดแน่นคับอกผ่านทางดวงตาคมทรงเสน่ห์อีกทางหนึ่งเพื่อยืนยันคำพูดของตน
"อะ...อา..." นางส่งสียงเบาๆ คล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองหนุ่มหล่อตรงหน้านิ่งอย่างโง่งม
"พี่-รัก-เจ้า" ครั้งนี้เขาเน้นทุกคำช้าๆ ชัดๆ ดวงตาคมเป็นประกายหวานล้ำเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล "หืม? ยังได้ยินไม่ชัดเจนอีกหรือ" เลิกคิ้วเมื่อเห็นนางยังคงนิ่งไม่กล่าวตอบ
"ขะ...ข้าได้ยินแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินรีบตอบทันทีที่เขาโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาทำท่าจะจุมพิตนางอีกครั้ง ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำกับคำสารภาพที่แสนจะเรียบง่าย แต่สำหรับนาง แค่นี้ก็โรแมนติกจะแย่แล้ว เพราะนางคิดว่าต่อให้ฉากสารภาพรักสุดแสนโรแมนติกขนาดไหน แต่ถ้าถ้อยคำที่สารภาพรักไม่ได้มาจากใจจริง มันจะมีประโยชน์อะไรหากเลิกรา สุดท้ายแล้วก็คงสร้างความเจ็บปวดช้ำใจมากเป็นทวีคูณ
"หึๆ แล้ว..."
"เอ๋? แล้ว? แล้วอะไรหรือเจ้าคะ"
มือหนาขยับขึ้นลงตามคำพูดของนาง "พี่อยากรู้ความรู้สึกเจ้า" เอ่ยถามพลางสังเกตปฏิกิริยาของนางไปด้วย
"เอ่อ...เรื่องนั้น...ข้า...คือ...กับท่าน...ความรู้สึก..."
"หืม?" เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าจิ้มลิ้ม จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นของนางที่เป่ารดใบหน้าของตนเบาๆ ปลุกกระตุ้นความปรารถนาในกายให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มือหนาลูบไล้แก้มขาวเนียนนุ่มมือ แล้วเลื่อนมาแตะสัมผัสลูบไล้ริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบที่เผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างอุกอาจและถือสิทธิ์
"ทะ...ท่านไม่อยากรู้ความรู้สึกของข้าแล้วหรือ" ชิงหลินถามพร้อมกับจับมือหนาที่อยู่ไม่สุขทั้งสองข้างของเขาไว้ แม้จะรู้สึกดีและไม่ได้รังเกียจที่เขาทำอย่างนี้ แต่จะปล่อยให้เขาทำรุ่มร่ามเช่นนี้บ่อยๆ ไม่ได้ มันไม่งามและไม่สมควร
"พี่รู้ความรู้สึกของเจ้าแล้ว"
"รู้แล้ว?"
"ถูกต้อง"
"รู้ว่าอะไรเจ้าคะ"
"เจ้ารักพี่"
"หลงตัวเอง"
"หลงตัวเอง? พี่หรือหลงตัวเอง?" คนถูกกล่าวหาชี้นิ้วชี้เข้าหาตนเอง
"ใช่เจ้าค่ะ"
"หรือแท้จริงแล้วเจ้าเกลียดพี่" น้ำเสียงเศร้าสร้อยกับสีหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดของเขาทำเอาหญิงสาวลนลาน
"ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย"
"หึๆ สรุปว่า...เจ้าก็รักพี่ ตกลงตามนี้" แม่ทัพหนุ่มตัดบทสรุปเอาเองพร้อมกับรวบร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมมาซบกับอกกว้างแข็งแกร่งของตน สองแขนโอบกระชับไว้มั่น วางคางสากไว้บนศีรษะเล็กหอมกรุ่นกลิ่นบุปผา ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา เหตุเพราะกลัวคำตอบของสตรีที่อยู่ในอ้อมกอด จึงได้ด่วนสรุปเอาเองว่านางก็มีใจให้
ชิงหลินไม่ได้ขัดขืน ทั้งยังขยับใบหน้าซุกซบอกกว้างอบอุ่นของเขา ทำให้รับรู้ถึงวงแขนที่โอบกระชับตัวเองอยู่สั่นเล็กน้อยราวกับไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง แต่ถ้าให้เดาคงเป็นเรื่องเมื่อครู่นี้
"ข้าก็รักท่านเช่นกันเจ้าค่ะ" นางบอกเขาให้สบายใจด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยเพราะความประหม่าและขัดเขิน พร้อมวาดแขนโอบกอดเอวสอบไว้
"อา...หลินเอ๋อร์ของพี่" เมฆหมอกแห่งความกังวลและความทุกข์ใจมลายหายไปสิ้น เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของสตรีในอ้อมกอด เขาจุมพิตศีรษะนางหลายครั้ง ก่อนจะโอบกระชับกอดนางให้แน่นขึ้น "กลับไป พี่ต้องเร่งให้ผู้ใหญ่หาฤกษ์ยามมงคลเสียแล้ว"
"เอ๊ะ...งานมงคลของใครหรือเจ้าคะ" หญิงสาวผละออกมา สองมือยันอกแกร่ง
"หึๆ ความลับ" แม่ทัพหนุ่มวางนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม ทุกการกระทำช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล ชวนให้จิตใจอันแสนละเอียดอ่อนของสตรีสั่นไหว
"ชิ! ไม่เห็นจะอยากรู้เลย" ร่างเล็กปัดมือหนาออก ก่อนจะส่งค้อนให้พองาม
"หึๆ" อีกฝ่ายหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิดกับอาการแง่งอนและการทำเสียงขึ้นจมูกของนาง ตรงข้าม มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนักในสายตาของแม่ทัพหนุ่ม จนอยากจะเห็นบ่อยๆ ด้วยซ้ำ
"ข้าคิดว่าท่านควรพักผ่อนได้แล้วเจ้าค่ะ"
"อา...ได้ขอรับฮูหยิน"
"เอ๊ะ ฮูหยิน?"
มู่หลิ่งเหวินไม่ตอบและยังส่งสายตาวิบวับเป็นประกายเจ้าเล่ห์ให้นาง
"บะ...บ้า! ข้าไม่ใช่ฮูหยินของท่านเสียหน่อย" เมื่อรู้ว่าเขาหมายถึงตัวเอง ชิงหลินก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ก้มหน้าที่แดงเรื่อพลางดึงผ้าห่มที่ร่นไปอยู่ที่เอวขึ้นมาคลุมร่างหนา
"ช้าเร็วเจ้าก็ต้องตบแต่งให้พี่ เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำตัวให้ชินเข้าไว้จะดีกว่านะฮูหยิน" คนที่นอนลงเรียบร้อยแล้วไม่วายเย้านางอันเป็นที่รัก
"นอนไปเลยเจ้าค่ะ หากท่านยังดื้อ ข้าจะให้คนอื่นมาดูแลแทน" ชิงหลินแสร้งตีหน้าขรึมเพื่อข่มความอาย
"ได้ๆ" คนถูกดุหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้กลัวคำขู่ แต่เพราะอาการเจ็บปวดจากผลข้างเคียงของยากำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่ร่างเล็กพ้นจากประตู มู่หลิ่งเหวินก็ครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
"ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอันใดขอรับ"
เสียงที่ค่อนข้างดังขององครักษ์หนุ่มเป็นเหตุให้คนเจ็บตวัดตามองไม่พอใจ
"ขออภัยขอรับ" จิ๋นซานเหงื่อแตก
มู่หลิ่งเหวินถอนหายใจแล้วตอบ "อึก! ข้าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย" เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าหล่อเหลา เส้นเลือดข้างขมับปูดโปน ร่างสั่นกระตุกตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด
จิ๋นซานเห็นแล้วก็ได้แต่ยืนกระวนกระวายอย่างไม่รู้จะทำเช่นใด มองท่านแม่ทัพด้วยสายตาเจ็บปวดระคนเจ็บใจที่ไม่สามารถแบ่งเบาความเจ็บปวดที่ท่านแม่ทัพกำลังเผชิญอยู่ได้
"อา..." แม่ทัพหนุ่มพรูลมหายใจยาวเมื่อความเจ็บปวดทรมานผ่านไปอีกครั้ง
"น้ำขอรับ" จิ๋นซานรินน้ำธรรมดาให้แทนน้ำชา เพราะในห้องมีแต่น้ำธรรมดาเท่านั้น คาดว่าเป็นคำสั่งของคู่หมั้นของท่านแม่ทัพ
มู่หลิ่งเหวินยันกายขึ้นนั่งหลังพิงหัวเตียง ใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อบนใบหน้าหล่อเหลาและลำคอ มืออีกข้างรับถ้วยน้ำจากองครักษ์ไปดื่มรวดเดียวจนหมด
"ท่านแม่ทัพ นี่มัน..."
"อย่าเอ็ดไป แค่อาการเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น" เขากล่าวเสียงเข้มต่ำ
"ทราบแล้วขอรับ" จิ๋นซานรับคำสั่งแต่โดยดี แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่จำต้องเก็บเอาไว้ในใจไม่กล้าเอ่ยถาม
ระหว่างรักษาตัว หลังดื่มยาสองชั่วยามแม้กำลังหยอกเย้านางหรือนางทำสิ่งใดค้างอยู่ก็ตาม มู่หลิ่งเหวินมักจะแสร้งตัดบทหาเรื่องให้นางต้องออกไปจากห้อง โดยอ้างว่าเพลียและอยากพักผ่อน เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนล่วงเข้าวันที่สามยามอิ่ว
"ยาครั้งที่เก้าเจ้าค่ะ" ชิงหลินพูดพร้อมกับยื่นถ้วยยาส่งให้
มือหนารับถ้วยยามาดื่มรวดเดียวหมดเช่นทุกครั้ง ก่อนจะส่งถ้วยยาคืนให้นาง อีกมือก็รับถ้วยน้ำธรรมดามาดื่มรวดเดียวหมดแล้วเริ่มลงมือกินอาหารร่วมกับนาง โดยมีเจ้าสามมารน้อยที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าอยู่บนพื้นใกล้ๆ
"ท่านมีเรื่องจะบอกข้าหรือไม่" หญิงสาวเอ่ยถามหลังมื้ออาหารเย็นผ่านไป
"เหตุใดจึงคิดว่าพี่มีเรื่องปิดบังเจ้า" คนถูกถามชะงัก ย้อนถามพลางหลุบตาคมทรงเสน่ห์ลงไม่สบตากับนางเช่นทุกครั้ง
"รู้อะไรหรือไม่เจ้าคะ" นางเอ่ยยิ้มๆ ดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
"เรื่อง?"
"เวลาที่ท่านโกหก ท่านจะหลบตาข้าเช่นเดียวกัน" ร่างเล็กเอาแขนเท้าโต๊ะพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อเหลา
แม่ทัพหนุ่มชะงัก ดวงตาคมทรงเสน่ห์กระตุกวาบก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยคาดไม่ถึงว่านางจะจับจุดอ่อนของตนได้
"อย่าคิดปิดบังหรือโกหกข้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่สนใจท่านอีกต่อไป" นางขู่เขาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นจนคนฟังลอบกลืนน้ำลาย ดูท่าหนนี้นางจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
"อา...สมเป็นว่าที่สะใภ้ใหญ่แห่งจวนแม่ทัพยิ่งนัก" มู่หลิ่งเหวินยิ้มพอใจที่เห็นนางใส่ใจเขามากถึงเพียงนี้
"มะ...ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะเจ้าคะ" นางถอยกลับมานั่งที่เดิม "บอกมาเจ้าค่ะ ว่าเกี่ยวกับยาที่ข้าให้ท่านดื่มใช่หรือไม่"
"อืม หลังดื่มยาสองชั่วยามจะมีอาการคล้ายถูกทุบตีด้วยของแข็งแรงๆ ทั่วร่างราวหนึ่งเค่อ" แม่ทัพหนุ่มเล่าให้คู่หมั้นฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย คล้ายกับไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอันใด ทั้งที่ความจริงผลข้างเคียงนั้นสร้างความเจ็บปวดทรมานยิ่ง หากเป็นคนธรรมดาอาจจะถึงขั้นสลบหรือสิ้นใจตายเพราะทนความเจ็บปวดทรมานนี้ไม่ไหว
"ทุกครั้งเลยหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถามด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ ไม่คิดว่าจะมีผลข้างเคียงร้ายแรงขนาดผู้ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงผิดมนุษย์เช่นเขายังพูดถึงขนาดนี้ เมื่อเห็นเขาพยักหน้าจึงเอ่ย "เพราะเหตุนี้ท่านถึงไล่ข้าออกไปจากห้องทุกครั้ง?"
"อืม พี่ทำให้เจ้าลำบากมากพอแล้ว ไม่อยากให้เจ้าต้องมาเป็นกังวลเพิ่มอีก"
คำพูดของเขากลับสร้างความขุ่นเคืองให้นางเพิ่มขึ้น
"ท่านทำเช่นนี้ไม่คิดว่าข้าจะเสียใจบ้างหรือเจ้าคะ" ชิงหลินย้อนถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเจือความเจ็บปวด นางทั้งเสียใจและน้อยใจ
"หลินเอ๋อร์ พี่..." มู่หลิ่งเหวินกล่าวไม่ออก ไม่คิดว่าเรื่องที่คิดว่าเล็กน้อยจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้นางถึงเพียงนี้
ชิงหลินสะบัดหน้าใส่ แล้วหันไปถามสามสหายน้อยทางจิต "ฮึ! พวกเจ้าก็รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่"
สามสหายน้อยสะดุ้งโหยงไม่คิดว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
"เอ่อ...รู้ขอรับ" เป่าเปาน้อยจำต้องเป็นหนังหน้าไฟตอบแทนเจ้าพยัคฆ์น้อยหัวหน้าของมัน ที่หลบไปอยู่ข้างหลังพลางพยักเพยิดให้มันเป็นผู้เผชิญกับพายุใหญ่ตรงหน้าเพียงลำพัง
"ดี ดียิ่งนัก ทุกคนรวมหัวกันปิดบังข้า" ชิงหลินแค่นเสียงลอดไรฟันออกมาช้าๆ ทว่าชัดเจน
แก๊งฟานเป่าโถวถึงกับสะดุ้ง ขนปุกปุยพองฟูตั้งชันราวกับเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว
เจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้ามาหาสตรีที่ยืนกอดอกหลุบตามองพวกมันด้วยใบหน้าบึ้งตึง พลางกล่าวโทษแม่ทัพหนุ่ม "หลินหลิน พวกเราไม่ผิดนะ เป็นเพราะเจ้าร่างยักษ์บอกว่าห้ามบอกหลินหลิน ฟานฟานก็เลย..."
"จะด้วยเหตุผลอะไรข้าก็ไม่อยากฟังทั้งนั้น!" ชิงหลินพูดพลางเดินถอยออกมาสองก้าวให้ห่างจากสามสหายน้อย
"หลินเอ๋อร์..." ร่างสูงเดินเข้าไปหาแต่นางกลับถอยหลังหนี ใบหน้าจิ้มลิ้มบึ้งตึง สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความน้อยใจและเสียใจ ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกสะท้านในอก กระวนกระวายร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นึกเสียใจขึ้นมาครามครันที่ปิดบังไม่บอกให้นางรู้เสียตั้งแต่แรก
ชิงหลินเม้มปากแน่นมองเขาด้วยความน้อยใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินออกจากห้องพัก ครั้นเห็นสามสหายน้อยจะวิ่งตามก็หันมาส่งสายตาดุ ทำให้สามสหายน้อยชะงักอยู่กับที่ไม่กล้าตามนางไป หูและหางตกลงอย่างเซื่องซึม
"เป็นเพราะเจ้าคนเดียว" เจ้าพยัคฆ์น้อยกล่าวโทษเจ้าร่างยักษ์ที่กลับมานั่งอย่างหมดแรง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเคร่งเครียดอย่างคิดไม่ตก
"หัวหน้า เราจะทำเช่นไรดีขอรับ" เป่าเปาน้อยถาม
"ฮือๆๆ แบบนี้ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ" หมั่นโถวน้อยลงไปนอนส่งเสียงครางหงิงๆ
"ว่าอย่างไรเจ้าร่างยักษ์ ต้นเหตุที่ทำให้หลินหลินโกรธก็คือเจ้า" เจ้าพยัคฆ์น้อยเงยหัวกลมๆ เล็กๆ ร้องถามแม่ทัพหนุ่มโดยที่ปากไม่ขยับ
"ผู้ใดคือเจ้าร่างยักษ์" คนที่ถูกเรียกว่าเจ้าร่างยักษ์เลิกคิ้วถามทางจิต ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเจ้าพยัคฆ์น้อยปากเสียหมายถึงตน
"ฮึ! จะเป็นผู้ใดถ้าไม่ใช่เจ้า" เจ้าพยัคฆ์น้อยยังคงเชิดหน้าตอบฉะฉานด้วยท่าทางเย่อหยิ่งอวดดียิ่งนัก จนแม่ทัพหนุ่มนึกอยากจะจับมาถอนขนเสียให้เข็ด ดูสิว่ามันยังจะทำท่ายโสโอหังเช่นนี้ได้อีกหรือไม่
"อา...เช่นนั้นแผนพิชิตใจหลินเอ๋อร์ ข้าคงต้องทำคนเดียวเสียแล้ว" เขากล่าวขึ้นลอยๆ โดนเน้นคำว่า 'พิชิตใจหลินเอ๋อร์'
"เจ้ามีแผนแล้วหรือ" เจ้าพยัคฆ์กระตือรือร้นร้องถาม ทิ้งมาดความอวดดีลงเสียสิ้น
"ย่อมเป็นเช่นนั้น ทั้งยังใช้ได้ผลทุกครั้ง"
"หัวหน้า ข้าว่าเราลองดูสักครั้งเถิดขอรับ" เป่าเปาน้อยกระซิบเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
"จริงด้วยเจ้าค่ะ ฮึก! ข้าไม่อยากถูกหลินหลินเกลียด แงงง" หมั่นโถวน้อยพูดจบก็ร้องครางหงิงๆ ออกมาอีก
"ก็ได้ๆ เจ้าก็หยุดร้องไห้เสียที"
"ฮึก! เจ้าค่ะ ฮึก! ข้าหยุดร้องแล้ว ฮึก!" หมั่นโถวน้อยพยายามกลั้นเสียงสะอื้น พร้อมกับใช้เท้าหน้าถูไถรอบดวงตาของตัวเอง
"เหวินเหวิน เจ้ามีแผนอะไรก็ว่ามา" เจ้าพยัคฆ์น้อยเรียกชื่อเจ้าร่างยักษ์หมายเลขด้วยความจำใจ
"เหวินเหวิน?" คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง สองมืออุ้มสามมารน้อยจอมขัดขวางขึ้นมาวางบนโต๊ะ เพราะเกรงว่าพวกมันจะคอเคล็ด
"ทำไม? เจ้าไม่ชอบหรือ เช่นนั้นข้าเรียกว่าหลิ่งหลิ่งหรือมู่มู่ดีล่ะ" เจ้าพยัคฆ์น้อยยืนสี่ขาหน้าเชิด ดวงตากลมเล็กสีเทาสบตากับแม่ทัพหนุ่ม
เป่าเปาน้อยนอนหมอบราบอยู่ข้างๆ เจ้าพยัคฆ์น้อย ดวงตาเรียวยาวสีน้ำหมึกจับจ้องใบหน้ามนุษย์รูปงามซึ่งมีท่าทางสง่าผ่าเผยและองอาจด้วยความชื่นชม ส่วนเจ้าหมั่นโถวน้อยก็หมอบแอบอยู่ด้านหลังพี่ชาย โผล่หัวออกมาเมียงมองแม่ทัพหนุ่มบ้าง พอแม่ทัพหนุ่มส่งยิ้มให้ก็รีบหลบ พลางใช้เท้าหน้าข้างหนึ่งปิดตาตัวเอง ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก หากใครได้เห็นคงอดใจไม่ได้ที่จะอุ้มมันขึ้นมาหอมมาฟัดให้หายมันเขี้ยว
"ตามใจเจ้า" มู่หลิ่งเหวินทอดถอนใจครั้งหนึ่ง แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สองแขนยกขึ้นกอดอก ขณะที่ตามองเจ้าพยัคฆ์น้อย
"เล่าแผนการของเจ้ามาเสียที อย่ามัวแต่โอ้เอ้" เจ้าพยัคฆ์น้อยเร่ง
"หึๆ เจ้าดูจะร้อนใจมากทีเดียว" เขาอดเย้าไม่ได้
"แน่นอน เพราะข้าไม่เคยเห็นหลินหลินโกรธเช่นนี้มาก่อน" เจ้าพยัคฆ์น้อยมีท่าทางหดหู่และเซื่องซึมลงยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา มันก้มหัวกลมๆ เล็กๆ ลง หางที่ชี้ก็ตกลงจนปลายหางฟูๆ สีขาวสลับดำแนบไปกับโต๊ะ
"อย่าห่วง ข้าจะร่วมมือด้วยเต็มที่" มือหนายื่นออกไปลูบหัวเจ้าพยัคฆ์น้อย แล้วส่งยิ้มให้สองจิ้งจอกน้อยที่เอียงหัวน่ารักมองมา
"ขอบคุณขอรับ" เป่าเปาน้อยขอบคุณอย่างดีใจ จึงได้การรับการลูบหัวอย่างอ่อนโยนเป็นรางวัล
แม้จะไม่เข้าใจว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยกล่าวอันใดกับตน แต่เดาว่ามันคงต้องการขอบคุณเขาเป็นแน่ ส่วนหมั่นโถว จิ้งจอกน้อยตัวน้อง ก็ถูกอุ้มลงมาวางบนตักใหญ่แข็งแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่จิ้งจอกน้อยชอบที่สุดรองจากหมั่นโถว มันหลับตาพริ้มเมื่อถูกลูบหัวและหลังด้วยฝ่ามือใหญ่ที่แสนอบอุ่น
"เฮอะ!" เจ้าพยัคฆ์น้อยสะบัดหัวกลมๆ เล็กๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก เมื่อเห็นท่าทีคล้ายจะแปรพักตร์ของลูกน้อง
คนถูกเชิดใส่หลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขันแล้วเอ่ย "แผนการมีอยู่ว่า..."
ฝ่ายจิ๋นซานที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องมองเข้ามาในห้องเป็นระยะๆ คิ้วดาบเลิกขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้เมื่อเห็นคู่หมั้นของเจ้านายผลุนผลันออกไปจากห้องพร้อมด้วยใบหน้าบึ้งตึง แล้วในเวลาต่อมาองครักษ์หนุ่มก็เห็นหนึ่งคนหนึ่งพยัคฆ์น้อยกับสองจิ้งจอกน้อยมีท่าทีแปลกๆ คล้ายกำลังสนทนากันอยู่ แต่ก็เลือกที่จะเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
ชิงหลินที่กำลังน้อยใจเรื่องที่พวกเขาปิดบังไม่ยอมบอกให้รู้ก่อนหน้า เดินไปยังห้องพักของบิดาแทนห้องพักของตัวเอง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งแรงๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงบูดบึ้ง หวังจะมาหาที่ระบายอารมณ์ขุ่นเคือง
"เป็นอันใดไปหลินเอ๋อร์ ใครทำให้ขุ่นเคืองใจหรือ" ชิงหยวนละสายตาจากกระดาษตรงหน้า ลุกจากโต๊ะทำงานเดินมานั่งข้างบุตรี โดยมีสายตาที่อ่านไม่ออกของเฟิ่งอิงซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ข้างในใกล้ประตูทางเข้ามองอยู่ตลอดเวลานับแต่ร่างเล็กบอบบางปรากฏกายขึ้น
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ลูกแค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย"
"หงุดหงิด? เรื่องอันใดกันหรือ"
"เรื่องผลข้างเคียงจากยาที่ลูกให้พี่เหวินดื่มเจ้าค่ะ"
"อ้อ นึกว่าเรื่องอันใด"
"ท่านพ่อ...นี่หมายความว่าท่านพ่อก็รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ" บุตรสาวถามด้วยน้ำเสียงขุ่นข้อง
"เอ่อ...ก็ใช่" ชิงหยวนสะดุ้ง ไม่รู้จะแก้ต่างให้ตนเองเช่นไร
'อา...ไม่น่าหลุดปากเลย'
"เจ้าล่ะ เฟิ่งอิง รู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่" ชิงหลินหันไปถามบุรุษที่ยืนกอดอกเฝ้าอยู่หน้าประตู
"ทราบขอรับ" เฟิ่งอิงตอบตามจริงด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนดูเย็นชา แต่ดวงตาคมเรียวดุกลับสั่นไหว ด้วยกลัวว่านางจะพานโกรธจนไม่อยากเห็นหน้าและสนทนากับตนอีก แค่คิดเฟิ่งอิงก็รู้สึกเจ็บปวดใจเสียแล้ว
"แล้วคนอื่นๆ เล่ารู้เรื่องนี้หรือไม่" นางเลือกที่จะถามเฟิ่งอิง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยโหกเลยสักครั้ง
เฟิ่งอิงพยักหน้าแทนคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้มาจากจิ๋นซานองครักษ์คนสนิทของท่านแม่ทัพแล้ว จึงนำมารายงานให้นายท่านทราบเมื่อวานยามอิ่ว
"ฮึ! ดี...ดียิ่ง ทุกคนรู้เรื่องหมดยกเว้นข้า แม้แต่ท่านพ่อก็ช่วยกันปิดบังลูก" ชิงหลินเม้มปากแน่น ตัดพ้อบิดาด้วยความเสียใจและน้อยใจ ก่อนจะผลุนผลันวิ่งออกไป โดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของบิดาและเฟิ่งอิง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าทุกคนทำไปเพราะไม่อยากให้นางเป็นห่วงหรือกังวล ปล่อยให้นางยิ้มหน้าระรื่นอย่างมีความสุขขณะที่เขาต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสเพียงลำพัง บ้าบอสิ้นดี!