หลังจากจบเรื่องมหรสพคนตาย เจ้าชายเมงจีสวาก็ได้พระพี่เลี้ยงเพิ่มข้างกายอีกหนึ่งคนแม้ว่าจะเป็นบุคคลที่พระองค์ไม่พึงปรารถนาก็ตาม เชงมากับหน่องจาตามประกบเจ้าชายซ้ายขวาไล่หลังประดุจสหายดวงจิตคู่คิดของพระองค์ ชะรอยทั้งสองพี่เลี้ยงคงจะมีความสนิทสนมมาแต่เก่าก่อนจึงเข้าขากันได้เป็นอย่างดี
นาถะยาลอยเท้งเต้งนำหน้า บางทีก็ไปหยอกล้อทหารยืนยามหนาวัดด้วยการเดินผ่านจนคนเหล่านั้นขนลุกขนพอง เจ้าชายเมงจีสวาจำกัดความนาถะยาว่าเป็นผี แต่กระนั้นก็เป็นผีที่แปลกประหลาดเกินวิสัยอย่างที่รู้จากตำรับตำราเรื่องเล่า นาถะยาแลจะเข้าออกประตูวังซึ่งกำกับคาถาอาคมได้เป็นปรกติ ถึงมีคราวหนึ่งที่นาถะยาบอกว่าตนสิ้นฤทธิ์ไปมากแต่กระนั้นเจ้าชายก็ทรงสังเกตว่าดวงจิตพิศวงตนนี้สามารถขยับข้าวของให้เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย เข้าวัดนั่งฟังธรรมฟังเทศน์ พูดจาไปเรื่อยได้อยู่ตลอด ถามว่าคนนี้เป็นใครบ้าง จะจัดการวางแผนอย่างไรต่อไปบ้างเป็นหัวข้อสำคัญ
ในวัดเข้าสู่ยามกิจแห่งสงฆ์ เสียงฝนคลอไปกับคำบาลี อัครมเหสีอตุลสิริมหาเทวีเป็นผู้อยู่ด้านหน้าสุด ด้วยความอาวุโสและสถานะสูงสุดในวังหลัง เนื่องจากพระนางอาวุโสจึงมีข้ารับใช้สนองโอษฐ์อย่างย่าพวาสีอยู่เคียงข้างอีกนางหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยพระชายาและเหล่าเชื้อพระวงศ์ตามลำดับลงมา
เจ้าชายเมงจีสวาได้ทรงแนะนำบุคคลเพิ่มเติมซึ่งร่วมการทำบุญวันนี้กับนาถะยา มีจะกล่าวถึงมากก็คือพระนางเมงพยู พระชายาเอกของเจ้าวังหน้าผู้เป็นพระราชมารดากับพระธิดาสองพระองค์ซึ่งเป็นพระพี่นาง เจ้าหญิงเมงอะจี้และเจ้าหญิงมังอะถ้วยซึ่งมีชันษาห่างกันเพียงหนึ่งปีตามลำดับ ทั้งหมดดุจภาพในวันวานของเจ้าชายจึงทรงโล่งพระทัยอย่างน่าประหลาด ราวกับความเหนื่อยล้าหนักอุราหายไปสิ้น
อีกเรื่องที่เจ้าชายรู้สึกโล่งพระทัยคือแม้นศักราชเกิดจะเปลี่ยนไปแต่เหล่าพระพี่นางของพระองค์ก็ยังคงเป็นไปดั่งเดิม กระนั้นนาถะยาก็กระซิบว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้
'เพราะนาถะยาไม่ใช่คนเป็น นาถะยาถึงทราบว่าการเกิดเป็นคนยากแค่ไหน ทรงอาจต้องเผื่อใจไว้บ้าง' ถ้อยคำนาถะยานี้ทำให้พระองค์กลับสู่ห้วงตรึกตรองลู่ทาง ทรงคิดถึงบรรดาน้องที่ยังไม่ประสูติทั้งหลายขึ้นมา รวมถึงเหตุการณ์ในอนาคตสารพัด
'พระองค์มีพี่น้องกี่พระองค์หรือ?' นาถะยาถามเมื่อเห็นเจ้าชายเมงจีสวาทำสีหน้าบึงตึ้งขึ้นมา จึงชวนคุยให้ระบายและทราบแผนไปในที
'นับแค่พี่น้องท้องเดียวกัน เจ็ด...ข้าเป็นคนที่สาม ลูกชายคนโต'
'อุ้มท้องคลอดบุตรตั้งเจ็ดคน เสด็จแม่พระองค์ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก' นาถะยาหันมองพระราชมารดาของเจ้าชายด้วยความนับถือจากใจ ' ท่านว่าเป็นลูกที่สาม เช่นนี้เองสิหนาถึงได้ชื่อว่ามังสามเกียด'
"น้องสาม น้องสาม มานั่งข้าสิ" เสียงกระซิบหนึ่งเรียกเจ้าชายขณะพนมมือไหว้พระฟังธรรม เป็นราชธิดาวัยเจ็ดพรรษาเจ้าหญิงมังอะถ้วย เจ้าหญิงแย้มพระสรวลแล้วตรัสกับองค์อนุชาสุดท้อง "ดีใจที่เจ้ามา นานทีปีหนจะได้ทำบุญร่วมกันพร้อมหน้า...ดีล่ะ ทำบุญแล้วเสร็จจากนี้ไปฝึกยิงปืนกับพี่กันเถิด"
"มิใช่ว่าวันนี้น้องหญิงจะต้องไปเรียนรำกับพี่ฤๅ" เจ้าหญิงเมงอะจี้รีบแย้งเสียงนิ่ง พนมมือไหว้พระ ไม่ได้หันมา
"พี่หญิงจี้ ครูรำในวังมีเป็นพัน จะเรียนรำทุกวันก็ทำได้ แต่วิชาปืนก็ต้องฝึกกับท่านครูดีเอโก้เท่านั้น ใครเล่าในราชสำนักจะเป็นเลิศชำนาญวิชาเท่าหัวหน้าองครักษ์ เถิดหนาพี่หญิง เราไปพร้อมกันเถิด"
"พี่คงไม่แผนที่วางไว้แล้วหรอกหนา เจ้าสองไปเถิด"
"แต่..."
"เด็กๆ เรียบร้อยก่อนเถิด...พวกเจ้าประสงค์ฝึกสิ่งใดค่อยหลังจากนี้เถิดหนา" สุรเสียงรับสั่งของพระชายาเมงพยูทำให้เหล่าเจ้าหญิงรีบหันวรองค์กลับไปพนมมือไหว้พระฟังธรรมต่อ พระมารดาผินพักตร์จ้ององค์ชายซึ่งยังยืนนิ่งอยู่
"มังสามเกียดมานั่งเถอะลูก ข้างแม่"
"พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" เจ้าชายดำรัสเสียงแผ่วเบา ขณะที่ก้มองค์ลงนั่งข้างพระมารดาและเหล่าพระพี่นางก็ทรงเห็นนาถะยายืนยิ้มกริ่ม
'อะไร' เจ้าชายพนมหัตถ์ไหว้พระฟังธรรม แต่ในห้วงความคิดยังถามนาถะยาเพื่อไขข้อข้องใจ
'ค่อยยังชั่ว นาถะยาอ่านสีหน้ากับความรู้สึก ชะรอยโลกที่ท่านจากมา พระนางทั้งสามตรงนี้ปลอดภัยดี'
'อ่านใจไปเรื่อย' เจ้าชายเมงจีสวากระแอมแล้วนึกถ้อยวจีไปต่อ 'เรากำลังจะเปลี่ยนแปลงชะตาตนเอง...แล้วผู้อื่นล่ะ เราเปลี่ยนได้หรือไม่'
'กระหม่อมรู้แต่เราอาจเปลี่ยนให้อะไรดีขึ้นได้หรือเลวลงก็ได้เช่นกัน'
'ข้าว่าเราควรทดลองกระไรบ้างในเรื่องนี้'
'เช่นไรเล่าพระองค์'
"ย่าพวาสี เหมาะที่สุด...ข้ามีแผนแล้ว"
นาถะยานิ่วหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น แผนคืออะไร เจ้าชายทรงมีแผนการทดสอบกับย่าพวาสีอย่างไร ดวงจิตรีบหันไปยังหญิงชราสูงวัยผู้แสนใจดีซึ่งนั่งข้างอัครมเหสี พลางภาวนาในใจว่าการทดลองของเจ้าชายเมงจีสวาจะลุล่วงด้วยดี ปราศจากเรื่องวุ่น
ตอนนี้เพราะปูตัวละครเพิ่มสามคน หากลุยต่อเกรงจะสับสนชื่อ หากมากไปอาจสับสนได้จึงแยกไปสองช่วงนะครับ // มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง