เมื่อพระเจ้าแผ่นดินหงสาพร้อมด้วยองค์บิดาอุปราชามาถึงท้องพระโรงแล้วก็มีรับสั่งสนทนากับพระอัครเทวี มเหสีเหล่าพระสนม ตลอดจนพระญาติพระวงศ์ผู้ใหญ่ ทว่าในใจของมังสามเกียดกับนาถะยานั้นกลับเต้นระรัว ทั้งสองมิได้ฟังการพูดคุยอื่นใด ข้อกังขาว่าเจ้าชายน้อยสังขทัตสามารถมองเห็นตัวนาถะยาจริงหรือไม่ยังคงคุกกรุ่นในอก ครั้นจะทราบว่าความจริงแน่ชัดเป็นเช่นไร พระองค์และวิญญาณคู่คิดก็ต้องหาลู่ทางไปพบเจ้าตัวหลังจากการเข้าเฝ้ารับเสด็จครั้งนี้ลุล่วง
เมื่อเห็นพระสังขทัต มังสามเกียดก็เข้าใจว่ามิใช่แค่เพียงตนเองเท่านั้นที่อายุแปรเปลี่ยนจากอดีต เดิมทีเจ้าชายสังขทัตนั้นเป็นราชโอรสองค์เล็กของพระเจ้าบุเรงนอง ประสูติแต่พระนางเชงทเวละราชเทวี มเหสีใหญ่แห่งตำหนักกลางผู้ถือศีลรักสงบ
ชันษาเดิมพระสังขทัตในยามนี้ควรจะเพียงทารกเท่านั้น หากแต่บัดนี้เจ้าตัวกลับปรากฏที่นี่ คะเนจากสายตาคงห่างจากพระองค์สักสองสามปี โตพอจะยืนนั่งเคียงพระราชมารดาได้
สายพระเนตรของหลานหลวงมิได้หยุดมองแต่เพียงเท่านั้น ยังกวาดรวมไปถึงโอรสธิดาของตำหนักกลาง ตำหนักเหนือ และที่ประสูติจากเหล่ามเหสีเล็กนางสนม ซึ่งส่วนมากมิได้ร่ำเรียนกับพระองค์ เป็นการลอบสังเกตเพื่อเก็บเป็นข่าวสารไว้ใช้ในอนาคต
'เจ้ามองแค่ตำหนักกลางก็พอ นาถะยา' เจ้าชายรับสั่งโดยไม่หันไปทางคู่สนทนา 'ในบรรดาเจ้าชายทั้งหลาย ขั้วอำนาจที่บารมีมากก็คือเจ้าชายมังสาจัจ โอรสองค์โตของตำหนักกลาง'
'เจ้าชายสังขทัตสิหนา มิเห็นเสด็จมาเรียนกับพระองค์เลย อายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน'
'บางทีพี่ชายนั่นแลเป็นเหตุห้ามไม่ให้มา --- เอาเถิด รายนั้นไม่มาก็คงเพราะมองว่าข้าเยาว์กว่า ขนาดข้าเกิดเร็วขึ้นในภพชาตินี้ ยังห่างกับเจ้าชายมังสาจัจอยู่ดี อายุบัดนี้คงสักเก้าปี-สิบปีกระมัง'
'แล้วเจ้าหญิงตำหนักกลางผู้นั้นเล่าพระองค์'
นาถะยาหันไปมองเห็นเจ้าหญิงน้อยท่าทางชันษาคราวเดียวกับพระพี่นางทั้งสองของเจ้าชาย อาจกล่าวได้ว่าแตกต่างจากเจ้าหญิงมังอะถ้วยผู้สดใสร่าเริงและเจ้าหญิงเมงอะจี้ที่ซีดเพราะอโรคาแต่กำเนิด เจ้านางน้อยตำหนักกลางเป็นเจ้าหญิงที่เรียบร้อยสงบเสงี่ยม ผมเผ้าผิวพรรณงดงามดุจมารดาของนาง
มังสามเกียดนิ่งเงียบ ชำเลืองมองเล็กน้อยด้วยปลายพระเนตร ก่อนผลุบกลับมา
'เจ้าหญิงยาซาตาตู นางก็อายุต่างจากเดิมเช่นกัน อาจเท่าตัวข้าหรือน้อยกว่าเล็กน้อย...ดั่งแต่ก่อน'
นาถะยาฟังจบก็ทำสีหน้าแปลกประหลาดใส่เจ้าชายคู่คิด
'นาถะยาสัมผัสได้ถึงความคลื่นมวนท้องจากพระองค์ นาถะยารู้สึก...บอกไม่ถูก เป็นอันใดเจ้าชาย?'
เจ้าชายไม่ตรัสตอบอะไร จ้องเขม็งตึงไม่พอใจแลสำแดงอาการเล็กน้อย นาถะยาเห็นเจ้าชายเผยอริมฝีปากเห็นแยกพระทนต์ใส่ ผสมกับความรู้สึกนึกคิดแทรกดวงจิต เขารับรู้ถึงอาการอันแปลกตา ความเฉลียวใจไวเท่าสายลม ก่อนจ้องเจ้าหญิงน้อยแห่งตำหนักกลางผู้นั้น
'ฮะ! เป็นนางนี่เอง ผู้ที่ทำให้พระองค์เศร้าหมางใจ มิรักผู้ใดอีก'
'นาถะยา...'เจ้าชายนึก ท่าทีเกรี้ยวทำเอาสีหน้าแววตาดวงจิตเพ่งพิศไปทางเจ้าหญิงตำหนักกลาง
'ฮะ..ฮะฮะ ...ทรงนิยมเจ้านางลักษณะเช่นนี้นี่เองสิหนา เรียบร้อย อายุน้อยกว่า'
ในขณะที่เจ้าชายกำลังต่อร้องต่อเถียงเรียกวิญญาณให้กลับมา พระสุรเสียงของพระเจ้าหงสาก็ดังขึ้นในท้องพระโรงเรียกหา
"มังสามเกียดหลานรัก มาหาปู่กับพ่อเจ้าซิ"
สิ้นพระดำรัสของพระเจ้าบุเรงนอง มังสามเกียดก็หันไปทางบัลลังก์ไม้ลงรักปิดทอง เห็นกษัตริย์ปู่ผู้ยิ่งใหญ่ พร้อมอินแซะมินพระบิดาขององค์ ห้วงความรู้สึกหลากหลายอัดแน่นไปยังพระองค์ ทั้งความสุขและความเศร้าระคนกัน
"พระเจ้าค่ะ" หลานหลวงตอบ ก่อนมาหาเสด็จปู่ของพระองค์ ราชันโอบร่างหลานชายคนโตขึ้นมานั่งบนตัก เสมอแท่นประทับเดียวกัน ส่งรับสั่งสารทุกข์สุขดิบ ด้านนาถะยาที่ดูเหตุทุกอย่างก็มากระซิบหูเจ้าชาย ลอยข้างบัลลังก์หงสา
'เจ้าชายสังขทัต...คนในตำหนักกลางก็ทยอยกลับเสียแล้วพระองค์'
มังสามเกียดมิได้นึกแปลกใจกับข้อความนี้เลย เป็นปรกติของพระนางตำหนักกลาง แม้แต่พระเจ้าบุเรงนองก็ไม่ถือสา มีข่าวลือกล่าวกันว่าพระนางเชงทเวละราชเทวีทรงมีอาการประชวรอยู่เป็นระยะ เพียงเสด็จมายังพระโรงตะวันตกแห่งนี้ก็นับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อแล้ว
'ไว้มื้อหน้าค่อยหาทางไปเจอ...' เจ้าชายรับสั่งเสร็จก็ผินพระพักตร์ไปทางเสด็จปู่ผู้เอ็นดูหลานชายคนโต
"มิพบร่วมเดือน หลานรักของปู่เติบโตจะเท่าพ่อแล้วซิหนา มังชัยสิงห์" พระเจ้าบุเรงนองตรัสกับรัชทายาทวัยเบญจเพส
"หลานสาวเจ้าพ่อก็เช่นกันพระเจ้าค่ะ" บิดาเชยหางตาเรียกราชบุตรีทั้งสองมาสวมกอดพระอัยยา
"จริงสิหนา หลานหญิงทั้งสองช่วยเหลือกิจทั้งวังหน้าวังหลัง ปู่ภูมิใจยิ่งนัก เสด็จย่ากับเสด็จแม่ของหลานสั่งสอนได้ดีจริง" ราชาธิราชแห่งหงสาหันไปยังอัครมเหสีและพระชายา ทั้งสองต่างโค้งศีรษะรับคำด้วยความปลื้มปิติยินดี
"กระทั่งเจ้าก็ยังออกไปนอกวัง ช่วยกิจของเสด็จย่า พ่อเองก็นึกแปลกใจไม่น้อย" พระบิดาตรัสเสียงแผ่วกับพระโอรส สายตาผู้เป็นพ่อมองอย่างสงสัยปรกติ แต่นั้นทำให้มังสามเกียดนิ่งไม่ได้โต้ตอบอันใด ภาพในห้วงความฝันร้ายแล่นผ่านดุจสายฟ้าแลบ สีพระพักตร์ในสภาวะการอันเกรี้ยวกราด ถ้อยผรุสวาจาแต่กาลก่อนยังคงสลักเสลาลึกล้ำในขั้วหัวใจ เย็นเฉียบ บาดลึก ยังเป็นที่จดจำได้จนเจ้าชายปั้นสีหน้ามิถูก
"น้องสามทำหน้าที่เป็นอย่างดีเพคะเสด็จพ่อ"เสียงหนึ่งที่เอ่ยขึ้นคือเจ้าหญิงมังอะถ้วย เจ้านางพูดพระแย้มสรวลสดใส "หากไม่เชื่อลูกก็ถามพี่หญิงจี้ได้เพคะ"
"เป็นจริงเพคะ" หลานหลวงองค์โตที่สุดรับช่วงต่อน้องสาว "การเรียนการฝึก ศาสตร์ดรุณศึกษาตามวัยก็พัฒนาขึ้นเพคะ"
เมื่อพระเจ้าบุเรงนองได้รับฟังเช่นนั้นก็ทรงสำราญพระทัย "เห็นทีเราพ่อลูก ต้องตบรางวัลให้หลานทั้งสามแล้วซิหนา" รับสั่งพลางลูบบ่าหลานชายเบา ๆ "จงทำหน้าที่เพื่อหงสาต่อไป ภายภาคหน้าพวกเจ้าจะเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง"
ขณะที่เหล่าราชวงศ์หงสากำลังสนทนาความ หัวหน้านางกำนัลคนใหม่ หลานสาวย่าผวาสีก็ก้าวมาพร้อมด้วยนกแก้ว สารหนึ่งติดมากับขาวิหค ถูกนำมามอบแก่สองราชองครักษ์อีกต่อ เจ้าชายเพิ่งจะเห็นคราวนี้ ว่าหนึ่งในราชองครักษ์ทั้งสองนั้นคนหนึ่งคือเดอเมลโลผู้น้อง...หรือก็คืออาจารย์สอนวิชาพระแสงปืนโปรตุเกสให้แก่พระองค์ในอดีตกาลนั่นเอง
"ทูลพระราชาธิราชเจ้า สารจากชายแดนพระพุทธเจ้าค่ะ" ราชองครักษ์คริสโตโฟรายงาน คุกเข่าพร้อมพี่ชายดีเอโก้
"ให้เรากลับตำหนักก่อนฤๅไม่เพคะ" พระชายาเมงพยูตรัสขึ้น ฝ่ายพระอุปราชเข้าไปกุมพระหัตถ์ชายาแล้วตรัสว่า
"เรื่องในบ้านเมืองของเรา มิเป็นใดดอกหนา...เจ้าว่าความในสารมาเถิด เดอเมลโล"
ราชองครักษ์ต่างชาติเรือนผมและเคราสีน้ำตาลเข้มโค้งก่อนเอ่ยด้วยเสียงอันดัง "มีความเคลื่อนไหวของกองทัพเจ้าเมืองกระแซแห่งมณีปุระ พวกเขาเคลื่อนผ่านเข้ามายังแผ่นดินเราแล้วพระเจ้าค่ะ"
"เป็นได้ดั่งที่เราพ่อลูกคาดสิหนา มังชัยสิงห์" สีพระพักตร์ของพระเจ้าบุเรงนองแปรเปลี่ยนจากยามเอ็นดูลูกหลานเป็นสถานะกษัตริย์ชาตินักรบในชั่วพริบตา "กองทัพของพญาทะละเล่า?"
"กองทัพของท่านอัครมหาเสนาบดีเคลื่อนพลทหารม้ารุดออกจากนครพิงค์เมื่อสองวันก่อนตามพระบัญชาแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ บัดนี้เลยล้านนามาแล้ว หากเราส่งกำลังขึ้นไปยามนี้จักสามารถบรรจบกันที่ชายแดนมณีปุระที่พิพาทได้ทันพอดี"
"กำลังสนับสนุนอาจไม่จำเป็น" กษัตริย์หงสาหลับพระเนตรครุ่นคิด "ลางทีเพียงทัพอาชาของพญาทะละเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว พวกเขากร่ำศึก มิน่าคณามือ"
"มิควรพระเจ้าค่ะ..."
ผู้เอ่ยความแทรกกลางมิใช่ใครอื่นนอกจากหลานหลวงผู้นั่งบนตักของพระเจ้าบุเรงนองนั่นเอง
"มังสามเกียด..." ผู้เป็นบิดาจะเข้าไปปรามแต่ถูกเสด็จปู่ผ่านพระหัตถ์ป้องห้ามไว้ ก่อนรับสั่ง
"เช่นไรฤๅหลานปู่ ปู่รอฟังความเจ้า"
ตามจริงมังสามเกียดรู้พระองค์ดีว่าพระองค์ไม่ควรแทรกบทสนทนาการศึก หากแต่พระองค์ก็ระลึกได้ถึงเหตุการณ์ในครั้งอดีต ทรงทราบดีว่าผลลัพธ์ของการศึกที่เมืองกระแซจะเป็นเช่นไรจึงเสนอความเห็นไปในที โดยอาศัยความว่าพระองค์เป็นวัยเด็กไร้เดียงสา
"กระแซเป็นเมืองเลื่องชื่อเรื่องทัพอาชา ม้าของพวกเขาล้วนแข็งแรงเทียบเคียงหงสา ไทใหญ่ แลล้านนา หากส่งไปเพียงทัพม้า พวกเขาก็พร้อมปะทะเรา การศึกจะยืดเยื้อ หลานว่าควรใช้ปืนเพื่อจบศึกครานี้โดยเร็ว"
ถ้อยคำของเจ้าชายทำให้ทุกคนประหลาดใจ ผู้ที่ประทับใจคนแรกๆ เห็นจะไม่พ้นเจ้าหญิงผู้หลงใหลอาวุธปืน ตามมาด้วยเสด็จปู่ของพระองค์
"เสด็จพ่อ หากทรงอนุญาตข้าก็เห็นพ้องข้อนี้ จริงอยู่ว่าทหารเราเก่งกล้า แต่การเดินทางย่อมทำให้เหนื่อยล้า เราควรให้มีต๊ะมูสักสองสามกองร้อย ขี่ม้าพกอาวุธปืนไปประจำชายแดนเพิ่ม ก็เพียงพอพลิกผันแต้มต่อทัพมณีปุระได้พระเจ้าค่ะ"
พระเจ้าบุเรงนองที่หลับพระเนตรครุ่นคิดอยู่อย่างขุมคัมภีรภาพก็เผยรอยยิ้มภูมิใจ ก่อนรับสั่งไปยังราชองครักษ์
"คริสโตโฟ เจ้าเพิ่งกลับมาหงสาพร้อมข้า ภารกิจนี้ข้าขอมอบให้พี่ชายเจ้า ดีเอโก้ ซัวเรส เดอเมลโลเป็นแม่ทัพสนับสนุนพญาทะละ" พระเจ้าบุเรงนองหันพระเนตรสหายศึกราชองครักษ์ "ดีเอโก้ เจ้าจงเตรียมพลให้พร้อมสรรพ จงเร่งกองร้อยอาชาติดอาวุธปืนสามต๊ะมูไปสมทบชายแดน จงจำไว้ว่าทัพเจ้าเน้นเคลื่อนที่เร็วเป็นสำคัญ ...จงทำให้แสงยานุภาพของกองทัพหงสาเป็นที่ประจักษ์เถิด"
"พระเจ้าค่ะ เราจะกลับมาพร้อมชัยชนะแด่พระองค์ แด่พระนาง แด่ราชวงศ์พระองค์" กล่าวจบราชองครักษ์ต่างชาติก็เดินออกไปตามราชโองการ
ฝ่ายบุเรงนองก็หันมาทางหลานชายที่นั่งบนตัก "ตัวเท่านี้ไปรู้เรื่องอาชาเมืองกระแซมาจากไหนหลานรัก อาจารย์คงเจ้าสอนมาสิหนา"
เจ้าชายแสยะยิ้มในพระทัย จนนาถะยาที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างนิ่งๆ รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
"พระเจ้าค่ะ หากเป็นได้หม่อมฉันก็อยากร่ำเรียนจากเหล่าผู้รู้ฝีมือดีในหงสาเพิ่มเติมอีกพระเจ้าค่ะ หากทรงอนุญาต"