webnovel

นายเรือชาวหมิง

ม่านเมฆาลอยล่องผ่านไป หยดฝนกระเซ็นเกาะบานหน้าต่างแลพื้นวัสดุ ลมหนาวลุเข้าปกคลุมกรุงหงสาเป็นสัญญาณเข้าสู่เดือนใหม่ เมื่อบททดสอบศรัทธาวรุณเทพในปีนี้ได้สิ้นสุดลง เทศกาลบันไดไฟแห่งตะดิ่นจุ๊ดก็ถึงคราวเริ่มต้น โคมไฟถูกจุดขึ้นเป็นแนวยาวตลอดทางทั้งวันและทั้งคืน เพื่อต้อนรับวันมหาปราวนาสำคัญยิ่ง ในการระลึกถึงพระสมณโคดมพุทธศาสดาเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์หวนคืนสู่เทวโลกหลังบรมเทศนาแก่พระราชมารดา

ไม่มีสถานที่ว้างเว้นในหงสา แทบทุกพื้นที่กลายเป็นลานกิจกรรมเนืองแน่นด้วยผู้คน ท่ามกลางชาวบ้านชาวช่องตาสาเก็บบัวหลวงบัวพรรณตาสีนั่งตักน้ำยางไม้เหียงทำขี้ไต้ ยายมาสานไม้ไผ่ยายมีที่ฝนกะลาทำประทีป ก็ปรากฏมีเด็กชายกลุ่มหนึ่งพร้อมด้วยผู้ติดตามเป็นโขยงเดินดุ่ยกรุยทางผ่านมายังหน้าตลาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้แดนพนาชานกรุง

"เรียนพระองค์ เหตุไฉนไยจึงเสด็จมายังตรอกแห่งนี้อีกรึพระเจ้าค่ะ" พระพี่เลี้ยงคนสนิทผู้จริงจังพนมมือแนบอกไต่ถามผู้เป็นนาย

"นั่นสิพระองค์ ถึงตามมาคุ้มกันแต่เรามาช่วงคนพรุกพร่าน..." พี่เลี้ยงคนที่สองเสริมความอย่างพาซื่อ

"เราอยู่ข้างนอก เชงมา หน่องจา พวกเจ้าระมัดระวังวาจา" โอรสเจ้าหวังหน้าเอ็ด ดวงตาดุไปทางคนสนิท เชงมารีบลดมือที่พนมลง ส่วนหน่องจากะพริบตาปริบพร้อมผงกศีรษะ ...วันนี้พระองค์ก็ออกนอกวังอีกครั้ง มาเป็นกลุ่มเดิม ขาดเพียงพระพี่นางคนรอง คนของเจ้านางและดีเอโก้ซึ่งวุ่นเรื่องเตรียมตัวการรบ จึงเหลือซิมาวประกบเงียบ ๆ

"ข้าจำเป็นหรอกหนา พ่ออยู่หัวบาเยงนองทรงรับสั่งอนุญาตให้ข้าออกนอกวังได้ แต่ก็เพื่อศึกษาความรู้เพิ่มเติมที่มิขัดต่อชั่วยามการสอน ข้าออกมากระทำตามเลยจะไปหาคนผู้นั้น" เด็กชายในชุดดุจกุลบุตรขุนนางชั้นผู้น้อยพูดกับผู้ติดตามซึ่งปลอมตัวมอมแมม พลางเดินนำขบวนเข้าไปในตรอก เหล่าบุคลากรร่วมคณะก็พากันตามประชิด

"เช่นนั้น ...ไยมิมีเทียบเชิญส่งสารให้เข้าสอนวิชาล่ะ...ขอรับนายน้อย" หน่องจาถามต่อไป ปลอมและพูดสำเนียงตัดห้วนคำราชาศัพท์ตามบทบาทที่ผู้เป็นนายได้นัดแนะก่อนหน้านั้น มังสามเกียดเป็นลูกวาณิช ส่วนพวกตนเป็นเด็กรับใช้

"กับบุรุษเช่นเจ้าน้า มิง่ายนักดอก" เจ้าชายพึมพำพลางนึกในห้วงอดีตครั้งเก่า เจ้าน้าเลตยานั้นมักเก็บตัวปลีกวิเวก สถานะพระองค์น้อยคนนักจะรู้และพูดถึงพระองค์

หลายคนในวังหลวงเชื่อว่าเจ้าน้าไม่ยี่หระสนใจในข้อราชการ บ้างก็ลือว่าทรงศึกษาศาสตร์หลายแขนง จนบรรลุเป็นเอกอุเข้าขั้นอัจฉริยะ บ้างก็ลือว่าพระองค์วิกลจริต หลงสรรพคุณอวิชาภูตผีปีศาจ นิยมร่ำสุราสำราญการพนันเป็นอาจิณ หนักกว่าบ้างว่าทรงงดงามสามารถหมัดใจทั้งบุรุษแลสตรีให้อ่อนราบใจยวบได้จึงต้องถูกขับออกมาบวชเข้ารีตอื่น แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็หามีผู้ใดรู้ ทุกสิ่งจึงเป็นเพียงเสียงนินทาเล่าสนุกปากไร้หลักฐานยืนยัน ไม่แม้แต่จารึกเขียนบันทึกเป็นสารัตถะสำคัญ

กระทั่งสมัยเจ้าชายมังสามเกียดรับตำแหน่งพระมหาอุปราชาเมงจีสวา พระองค์จึงทราบด้วยพระเนตรถึงความจริงว่าภายใต้ข่าวลือมากมายนั้นก็มีเค้าความจริง ที่ประจักษ์คือเจ้าน้าเลตยาเป็นหัวหน้ากรมข่าวกรองส่วนพระองค์ แลอาจรับใช้มาตั้งแต่คราวเสด็จปู่เป็นปฐม...

ถึงน้อยคราเจ้าน้าเลตยาจะเสด็จมาเข้าเฝ้าเมงจีสวาเพื่อปรึกษาหาความกัน แต่ข้อมูลด้านการข่าวที่เจ้าน้านำมาแจ้งนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กระทั่งพระบิดายังเอ่ยปากชมเชยว่าหูตาการข่าวของเจ้าน้าเปรียบดั่งหูตาของหงสา

'คราก่อนเราก็ถ่อมาหาเองก็หนหนึ่ง น้าฤๅษีชีไพรพึงปรารถนาอยู่ป่า หาได้มาโดยง่ายซะเมื่อไรหนา' นาถะยาพูดกับเจ้าชาย 'ต้องเล่นลูกดื้อลูกตื้อ ลูกล่อลูกชน ขนความซนแสบสันที่พระองค์ถนัดงัดมาใช้ให้หมด เช่นนั้นนาถะยาจึงมั่นใจว่าทรงทำได้'

พระเนตรมังสามเกียดแน่วแน่ เพราะคุณทั้งหมดที่ว่ามาจึงตั้งมั่นในพระทัย อย่างไรก็ต้องเอาเจ้าน้าผู้นี้มาไว้อยู่ในกำมือพระองค์ให้จงได้

"แล้วเหตุใดบุตรวาณิชจึงมาด้วยเล่าขอรับ" หน่องจายังถามไม่เลิกรา ครานี้ข้ามหัวข้อประเด็นเจ้าน้ามายังเมยะ ทายาทแห่งกลุ่มการค้าฮาลา-คเล เขาเลิกคิ้วฉายแววฉงน หันมองเจ้าชายซึ่งพระองค์เพียงปรายหางตามาสบ เท้ายังก้าวเดินต่อไม่ย่อหย่อน

"พูดจาเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลจริงเชียวหนา ข้าไปด้วยมิได้รึท่าน ? " เมยะพูดขึ้น น้ำเสียงคล้ายเย้าหยอกฉันมิตร ไม่นิ่งเรียบหรือเป็นทางการเท่าคราวแรกที่พบพานกัน

เจ้าชายกับนาถะยาถือเป็นเรื่องบังเอิญนักที่ได้วนมาพบเจ้าตัวยามสัญจร ขณะที่ทรงกำลังตระเตรียมปลอมพระองค์และคณะ ทว่ามิวายก็มาปะหน้าพบกับกลุ่มพ่อค้าของเมยะผ่านมาพอดี สถานการณ์จับพลัดจับพลูเลยตามเลยจนพวกเขาเดินเท้ามาด้วยกันจนบัดนี้

"เมยะเป็นนายน้อยลูกพ่อค้า จะไปไหนมาไหนในหงสาก็ได้ตามสมควร ครั้นจักตามข้าไปด้วยก็เห็นแนบเนียนดี แลเขามิได้ขัดขวางกระไรข้าด้วย"

ความเห็นของเจ้าชายทำให้พี่เลี้ยงคนซื่อจำยอม ก่อนที่จะจ้ำเท้าตามหลังคนละฝั่งกับเชงมา เมื่อพระพี่เลี้ยงถอย เมยะก็ก้าวเท้าไวขึ้นมาเคียงมังสามเกียด แล้วพูดด้วยเสียงเบาดั่งกระซิบคุยเพียงสอง

"ชาววังหงสาปลอมตัวออกข้างนอกเช่นนี้ตลอดฤๅ"

"มีคำกล่าวว่าคนในรั้วในวังทั้งหลายล้วนเคยหนีหรือปลอมตัวออกนอกวังทั้งนั้น"

เจ้าชายเหลือบไปยังคู่สนทนา เมยะพงกศีรษะในคำกล่าวของพระองค์ รอยยิ้มนั้นชวนให้รู้สึกแปลกภายในใจ

"ข้ายอมรับว่าชื่นชมพวกท่านในคราวนี้เสียจริง คราวนี้แต่งกายดูปอนขึ้นทุกคนเลย" สายตาเมยะหันไปมองเครื่องกายสองพระพี่เลี้ยง ถัดมาเป็นซิมาวซึ่งบัดนี้โพกหน้าโพกหัวมิดแทบไม่ทราบว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อโปรตุเกส ก่อนจบที่มองอาภรณ์ผิวพรรณคู่สนทนา "กระทั่งท่านด้วย เนื้อตัวมอมแมมจริง โพกผ้ากองบองหลวมโพรก"

"เจ้าบอกเองมิใช่รึ ว่าให้ข้าตระเตรียมปลอมตัวเช่นไร"

"ท่านจำได้ด้วยฤๅ" เมยะยิ้มสดใสมุมปาก เขายอมรับว่าประทับใจเมื่อได้ยินคำตอบอีกฝ่าย "ไม่เลวนักสำหรับปลอมตัวคราแรก แต่ท่านยังทาผิวพรรณยังไม่เรียบแนบเนียนเท่าใดนัก หากเจอคนตาดีมากจะสังเกตเห็นได้หนา"

"...เช่นสายตาเจ้า"

เมยะหยักไหล่เอียงคอก่อนเหลียวไปมองเห็นของบางสิ่งที่เจ้าชายนำติดมาด้วย

"ทว่าดอกบัวไม่อยู่ในคำแนะนำปลอมตัวของข้า"

มังสามเกียดหยิบดอกบัวในห่อถงถุงย่ามติดตัวออกมาหมุนเล่น "เดือนจุดประทีปไฟชาวหงสาเราถือว่าเป็นเดือนไหว้ขมาขอพรผู้ใหญ่ ขอพรครูบาอาจารย์ อย่างไรข้าก็เป็นหลานชายเจ้าน้า ถือโอกาสมากราบไหว้ท่าน..."

ผู้พูดเว้นจังหวะ ใช้มือข้างหนึ่งทำเป็นกำปั้นชนเข้าฝ่ามืออีกข้างที่แบไว้รอรับ

"แลก็ตะคลุบจับให้อยู่หมัด ให้ดิ้นไม่หลุดไปซะเลย คราวนี้ต้องเอามาเป็นพวกข้าในวังให้ได้"

เมยะนิ่งไปครู่ กะพริบตาปริบ ก่อนหลุดขบขำท่าทีและคำพูดอีกฝ่าย "ท่านช่างเจ้าเล่ห์จริงหนา แลเจ้าพิธีการมากกว่าที่คิด"

"เช่นนี้ดูเหมือนว่าข้าเจ้าเล่ห์ มากพิธีฤๅ ? "

"ใช่ อุบายแกมโกงแยบคาย หากเจ้าน้ามีเยื่อใยเมตตา ย่อมต้องใจอ่อนกันบ้างแน่"

เมื่อได้ฟังคำของกุลบุตรวาณิชใหญ่ เจ้าชายก็ยิ่งมั่นพระทัยว่าแผนการนี้จะประสบผลไม่มากก็น้อย จึงทรงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

'ฮืม เจ้าชายปรึกษาแต่กับนายน้อยวาณิชต่างด้าวผู้นี้ มิเห็นสนใจไยดีนาถะยาเลย' ดวงจิตคู่คิดซ่อนกายาในอุรานึกบ่น หลังเห็นภาพฟังความอยู่ตลอด รวมถึงสัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์ประการทั้งปวง

'นาถะยาสู้สหายเมยะมิได้ ช่างน่าน้อยใจนัก ใช่ซี บัดนี้นาถะยาทำได้แค่ผีอำสำหรับเจ้าชายเท่านั้น'

'เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า เราก็ถกแผนสารพัดอยู่ด้วยกันทุกวันคืน เจ้าจะแกล้งจะป่วนเล่นแผลงฤทธิ์กระไรในวัง ข้ารึก็ตามเช็ดตามเก็บให้ตลอด'

'เจ้าข้า ---ทรงอย่าประมาทเบาใจไป หากชวนเป็นพวกมิได้ก็ควรหาแผนสำรองด้วยหนา'

เจ้าชายมังสามเกียดเห็นพ้องกับคำของนาถะยา อย่างไรผลงอกเงยของการกระทำจะเป็นเช่นไรไม่มีใครล่วงรู้ ในยามนี้จึงต้องระแวงระวังทำให้ดี

เจ้าชายเดินทะลุถึงกลางตลาดดาดดาษด้วยผู้คน ฝ่ายซิมาวลอบสังเกตหันไปเห็นบุรุษกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งย่างเท้าตามไล่หลังพวกเขา คร้านพอหันมองคนแปลกหน้าก็แสร้งแยกตัวกัน พอเหลียวมองที่อื่นก็รวมตัวใหม่ตามเดิม ยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มรู้ถึงกริยาอันไม่ชอบมาพากล เขากระซิบบอกแก่ทหารผู้ติดตาม พระพี่เลี้ยงแล้วจึงไปตรัสกับเจ้าชาย

"นายน้อย มีความไม่ชอบกล ข้าเสนอให้เลี่ยงไปทางนั้นดีกว่าขอรับ"

เจ้าชายมังสามเกียดทรงรับฟัง แต่ก็ไม่หยุดพระองค์

'...นาถะยา'

'ถึงคราวข้าออกโรงแล้วซิ'

ดวงจิตลี้ลับพุ่งตัวออกจากร่าง ลอบเคลื่อนผ่านพื้นดินก่อนทะลุพรวดเหนือท้องฟ้าบนอากาศ เขาเป็นเหมือนปักษาที่เห็นทุกการกระทำ ชายกลุ่มนั้นไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว พวกเขาแบ่งกลุ่มกันราวห้าถึงหกกลุ่ม หนึ่งในนั้นนาถะยาจำได้ดีว่าเป็นใคร

'คนพวกนี้ที่มีเรื่องกระทืบต่อยตีกันคราวก่อน' นาถะยากระซิบบอกเจ้าชายผ่านทางจิตของเขา 'เขาตามเราทำไมกัน'

'ต้องถามหัวหน้ามันแล้วกระมัง' เจ้าชายหยุดเดิน ชายหนุ่มชาวหมิงรูปพรรณสง่างามเกินเป็นชาวเดินทะเลชั้นเลว เขายืนจังก้าคอยท่ารอพระองค์อยู่แล้วแสยะยิ้ม โค้งคำนับ พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

"หลินต้าวได้พบคุณชายน้อยอีกครา ถือเป็นวาสนา" นายเรือพูดกับเจ้าชายน้อย

"ข้าไม่ได้รู้จักเจ้า" โอรสเจ้าวังหน้าตรัส "อีกประการข้ากำลังยุ่ง"

หลินต้าวประหลาดใจกับอากัปกิริยาและคำพูดของดวงดรุณชาวหงสา เขาพึมพำกับพลพรรคเป็นภาษาจีนก่อนจะหัวเราะระเริง

"ถ้าคุณชายน้อยมากับข้าน้อย ผู้ทรงศีลหม่างท่านก็จะเดินทางมาหาเอง คุณชายน้อยมิต่างลำบากลำบนไปพบ แลเราต่างจะได้ผลประโยชน์ต่อกันมากด้วยขอรับ"

เจ้าชายเหลียวมององครักษ์ผู้ติดตาม สองพี่เลี้ยงแล้วก็เมยะกับคณะของเขา

...ถ้าจะคุยผลประโยชน์ ก็คุยมันกลางตลาดนี่แหละ