webnovel

อรัมภบท

อรุณรุ่งอาบไล้ห้วงนภาเรืองรองดั่งแสงทองอล่าม  ชุบทั่วปฐพีให้ฟื้นตื่นจากนิทรารมณ์อันแสนหวาน

        ดาวประกายพฤษ์ที่ส่องกระจ่างกลางฟ้าบูรพา  เปล่งแสงเจิดจรัสดั่งเนตรสวรรค์สอดส่องสรรพชีวิตที่เริ่มดำเนินไปในหล้า

        เหล่าปักษาโผผิน  บุปผชาติแย้มกลีบรับไอน้ำค้างโรยละออง … 

       ถนนปูอิฐแดงยังฉ่ำชื่นเยียบเย็น  ดั่งเฝ้ารอคอยผู้สัญจรที่จะเพิ่มไออุ่นให้ในไม่กี่อึดใจ

        ความเงียบเหงาไม่อาจดำเนินได้เนิ่นนานไปในมหานครลั่วหยาง  มิเช่นนั้นฉายาระบือนามของเมือง  อาจระคายเคืองลงได้

        กับสมญา ' ศูนย์กลางแห่ง9ทวีป ' หาได้ประโคมอ้างเกินเลยไปแม้แต่น้อย…

        ภายในมหานครล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติ  หลายเผ่าพันธ์  มากมายแรงปราถนา  พ่อค้าวาณิชนับสิบนับร้อยภาษาเดินทางมาไม่เว้นวัน  ศิลปินสำแดงสุนทรีย์อยู่ทุกมุมเมือง  คณิกางามระยับจับตาพร่างพรายโลกีย์อยู่ในเคหาส์รโหฐาน

       …สามมารถยกย่องนครลั่วหยางเป็นแดนศิวิไลได้อย่างภาคภูมิยิ่ง

        แม้อรุณเพิ่งเริ่มทอแสงแรกวัน  เหล่าร้านน้อยใหญ่ได้ทยอยกันเปิดขี้นคึกคัก  กระทั้งร้านขายโจ๊กข้างทางยังก่อควันนวล  โชยกลิ่นหอมกรุ่น  

        มีผู้แรมทางชาวอาหรับห้าคนนั่งซดโจ๊ก  เคล้าคลอเข้ากับเสียงกระพวนผูกคออูฐ  ที่คล้ายกับมันกำลังเร่งเร้าเจ้านายให้คืนสู่ท้องทะเลทรายอันเป็นที่รักเสียที

        แต่ดูเหมือนทั้งอูฐทั้งชายแรมทางคงต้องพักค้างคาอยู่ร้านโจ๊กอีกนาน  เพราะท้องถนนพลันปรากฏกลุ่มทหารสวมเกาะเหล็กนับร้อย  วิ่งนำขบวนแยกเป็นสองฝั่งมุ่งตรงสู่ประตูเมืองทิศใต้

        ใจกลางขบวนที่ทหารรายล้อม  มีองครักษ์ในชุดแพรน้ำเงินควบขับอาชานำหน้ารถม้าห้าสิบกว่าคน  ส่วนด้านหลังยังมีองครักษ์อีกร้อยคน  คอยปกปักรักษารถม้าสีทองตระการตา

        เหล่าผู้คนที่มองเห็นรถม้าคันนั้น  ต่างทรุดเข่าลงพื้นแสดงความเคารพนบนอบดั่งเห็นเทพเจ้าลงมาเยือนแดนดิน

        " แม่จ้าว…! เป็นพระนางจริงๆ  จักรพรรดิณีอู่เจ๋อเทียน ( บูเช็คเทียน )..."  ชาวอาหรับผู้หนึ่งร้องลั่น  พลางรีบดึงเหล่าสหายให้คุกเข่าถวายการคารวะ

        ตราบจนขบวนชาววังหลายร้อยชีวิตผ่านประตูทิศใต้  มุ่งสู่หนทางไปยังเชิงเขาหลงเมินที่ห่างออกไป 6 ลี้  ( 12 กิโลเมตร )...

      …  คำเล่าขานถึงโองการณ์สวรรค์  ได้ดึงดูดให้อิสตรีผู้พลิกฟ้าคว่ำจารีต  ขึ้นครองราชตั้งราชวงศ์อู่โจวแทนต้าถัง  บ่ายขบวนมายังหุบเขาของเหล่าบรรชิต  ที่ซึ่งศรัทธาได้พัดพาเอาช่างสลักหิน  มาสร้างสรรค์พุทธปฏิมานับร้อยนับพันรายล้อมรอบเชิงผากว้างใหญ่

        ในบรรดาพุทธปฏิมาน้อยใหญ่  มีคำล่ำลือว่ามีพระพุทธรูปหนึ่งเดียว  ที่มีพระพักตร์ประพิมพ์ประพายเหมือนองค์จักรพรรดินีไม่ผิดเพี้ยน…

        …นั้นคือนิมิตแห่งฟ้าอย่างนั่นรึ ?...

        ความครางแครงไม่อาจอยู่ในพระทัยจอมนางได้นานนัก  ดำริแรกของพระนางคือการปลอมแปลงตนปกปิดฐานะ  เดินทางอย่างคนสามัญไปสัการะปฏิมาสลักในหมู่ถ้ำ

        ทว่าสิ่งที่หัวหน้าองครักษ์นางตอบรับ  คือรถม้าทรงสีทองอล่าม  กับกองมหารที่พลั้งพร้อมศาสตราวุธสี่ร้อย  โดยมีกององครักษ์หญิงอีกสองร้อยควบม้าพ่วงพีเคียงข้างพระนางไม่ห่าง…

      " พี่ซาปา !  ท่านปลอมแปลงตนได้เอิกเริกดียิ่ง !  หากคาดไม่ผิดหนทางข้างหน้าคงมีผู้คนมารอรับข้าพเจ้าอีกใช่หรือไม่ ? "...เสียงเยียบเย็นที่รอดผ่านม่านหน้าต่างถักใยทอง  แม้จะฟังดูทรงอำนาจเปี่ยมพลัง  แต่ยังแฝงความหยอกเย้าอยู่หลายส่วน

        " พระย่ะคะฝ่าบาท !  ยังมีผู้มารับเสด็จอีกจำนวนหนึ่ง   แต่ไม่อาจนับพวกมันเป็นผู้คนได้ !..."   นางตอบด้วยรอยยิ้มเบาบางประดับมุมปาก  แม้จะก้มศรีษะนอบน้อมหากแววตากลับซุกซน  เฉกเช่นพี่สาวยอกล้อญาติผู้น้องก็ไม่ปาน

        โดยผู้อยู่ภายในรถม้าก็ดูเหมือนจะพึงพอใจกับองครักษ์เจ้าปัญญาของนางไม่น้อย  พระนางส่งเสียงหัวร่อเบาๆ  พลางส่งสุรเสียงเริงรื่นตามต่อ

        " ถ้าไม่นับว่าเป็นผู้คน  คงเป็นบรรพชิตจากวัดเสี้ยวลิ้มยี้ใช่หรือไม่ "

        " ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งนัก  คาดการณ์ดั่งทอดพระเนตรเห็นอนาคต "

        " เหตุใดต้องเปล่าเปลืองเวลาครุ่นคิดด้วยพี่ซาปา  ในเมื่อเชิงผาหลงเมินอยู่ห่างจากวัดเสี้ยวลิ้มยี้เพียงยี่สิบลี้  ด้วยวรยุทธของบรรชิตเหล่านั้น  ย่อมใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็มาตระเตรียมตั้งแถวรอรับแล้วใช่หรือไม่ ? "....

         ทุกถ้อยคำของพระนางถูกตอบรับด้วยการพยักหน้ารับของหัวหน้าองครักษ์  พร้อมกับที่ใจนางหวนนึกไปถึงเหล่าสมณะยอดฝีมือที่เคยสร้างชื่อระบือเมือง  เมื่อครั้งบุกเข้าไปช่วยฮ่องเต้ถังไท้จงออกจากวงล้อมข้าศึก  นับจากนั้นวัดเสี้ยวลิ้มยี้จึงถูกเกื้อกูล  เถลิงเกียรติให้เป็นอารามหลวงคู่บารมีต้าถัง

        กระทั้งมาถึงยุคของพระนางอู๋เจ่อเทียน  ซึ่งมีนโยบายเปิดกว้างทั้งทางการค้าและการนับถือศาสนา  สมณะแห่งพุทธจึงลดทอนบทบาทลงไปไม่น้อย

        เมื่อมีโอกาสคุ้มครองประมุขแห่งราชวงศ์  เหล่าบรรพชิตนักสู้จึงอาสาปกปักพระนางอย่างไม่รั้งรอ

        " เมื่อเจ้าเชื้อเชิญแขกเรื่อมา  เหตุใดไม่ไปดูแลเล่า  ข้าไม่ปราถนาจะเมียงมองนักบวชหัวโล้นเท่าใดนักหรอก.."

        น้ำเสียงราบเรียบของพระนางดุจดั่งวาจาประกาศิต  จนหัวหน้าองครักษ์ชักสีหน้าเคร่งขรึมรีบตอบรับรวดเร็วยิ่ง

        " รับบัญชาพระย่ะค่ะ ! "

         ซุ่มเสียงตอบรับไม่ทันจาง  ม้าพ่วงพีก็ถูกนางกระตุ้นให้วิ่งนำหน้าขบวนไป โดยเหล่าองครักษ์และทหารเดินเท้าต่างผงกหัวรับรู้ขณะนางควบขับอาชาผ่าน

        หญิงสาวร่างสูงระหงในชุดองครักษ์อย่างชายชาญ  เผ่นโผนอาชาไปราวสายลมหอบ  บุคคลิกนางองอาจผ่าเผย  สอดรับกับใบหน้าคมคาย  จมูกโด่งเป็นสัน  ดวงตาลึกซึ่งสีน้ำตาลเข้ม  ริมฝีปากบางเฉียบบ่งบอกถึงความเด็ดขาด  แกร่งกล้า

        เพียงมองผ่านๆยังรู้สึกว่านางเหมาะสมกับการเป็นนักรบกล้า  มากกว่าจะเป็นเจ้าสาวในห้องหอ  

        แม้นางจะมีอายุล่วงเข้าหกสิบสาม  หากยังเปี่ยมพลังราวดรุณีเยาว์วัย  ชื่อ 'กู่ลี่ซาปา ' ที่นางไม่เคยคิดจะเปลี่ยนเป็นชื่อแบบชาวต้าถัง ดูจะไม่มีความหมายให้ใครเรียกขาน  เพราะผู้คนต่างเรียกนางเป็นท่านหัวหน้าเป็นเสียงเดียว

      แม้แต่เหล่าบรรชิตแห่งเสี้ยวลิ้มยี้  ยังเรียกนางว่าท่านหัวหน้า  ตั้งแต่นางยังไม่ลงจากหลังม้าด้วยซ้ำ

        " ต้องรบกวนท่านมากแล้ว  ไต้ซือทุกท่าน ! "...

        หัวหน้าองครักษ์ประสานมือคารวะ  หลังลงจากหลังม้า  แล้วกล่าวทักทายนอบน้อมกับเหล่าบรรพชิตยี่สิบกว่ารูปที่ยืนประนมมือเรียงแถว  ดั่งกำลังรอคอยการทำวัตรเย็นอยู่ก็ไม่ปาน

        " อามิตตา พุทธะ !... สถานที่ตระเตรียมพร้อมแล้วท่านหัวหน้า ! "...ไต้ซือวัยกลางคนร่างกำยำหน้าดำคล้ำ  กล่าวรวบรัดก่อนทุกผู้คนจะพากันยืนสงบนิ่ง  รอคอยเก๋งเทียมม้าสีทองอล่าม  เยาะย่างมาตามทาง

        กระทั้งรถทรงพระนางมาหยุดเทียบ ณ ลานกว้าง  พร้อมเหล่าทหารนับร้อยวิ่งกรูมาตั้งแถวเรียงทอดยาวจากลานหิน  ลงไปยังบันไดทางเดิน  ไปถึงยังเชิงผาที่มีพระหินสลักอยู่เรียงราย

        หัวหน้าองครักษ์รีบรุดไปยืนรอหน้าประตูรถทรง  นางค่อยๆยกแขนขึ้นสูง  รอคอยให้นางพญาได้ยึดเกาะเมื่อขยับย่างออกจากเก๋ง

        แล้วทุกชีวิตพลันต้องจับจ้องเป็นตาเดียว  ขณะหญิงทรงอำนาจที่สุดในใต้หล้าแหวกม่านไข่มุกที่ห้อยระย้า  ขยับย่างลงมาดั่งเทพธิดาลอยละล่องลงจากแมนสรวงมาโปรด

        พระนางสวมใส่อาภรณ์วิจิตรตระการสีเหลืองอล่าม  เลื่อมด้วยไข่มุกปักเป็นลายหงส์สยายปีกโบยบิน  ทรงเครื่องประดับมรกตล้อมเพชรห้อยอยู่หว่างเนินอกอิ่ม สวมมงกุฎทองล้อมทับทิมทอประกายวับวาว  หากยังไม่เจิดจรัสพราวพรายเท่าดวงตากลมโตของจอมนาง  

        เป็นดวงตาที่เปล่งประกายสุกปลั่ง  แฝงความฉลาดลึกล้ำ  ดั่งมองเห็นแสงดาวเรืองโรจน์ในห้วงห้าวราตรีกาล

        แม้พระนางจะล่วงเลยวัยถึงอายุหกสิบกว่า  แต่บุคคลิกยังสง่างามสูงศักดิ์  เดินหลังตรง  เอวคอดกิ่ว  พระพักต์เปล่งปลั่งเปี่ยมราศี  ริมฝีปากอวบอิ่มที่แต้มชาดแดงระเรื่อ  ระบายยิ้มอบอุ่นดั่งบุปผาขยับกลีบไหวท่ามกลางสายลมอรุณ

         " ไหนเล่าพี่ซาปา ?...พระสลักองค์นั้นอยู่ที่ใด  รีบพาข้าไปเถิด ! "

        "  รับบัญชาพระเจ้าคะ ! "

        หัวหน้าองครักษ์รีบคำนับนอบน้อม  พลางเดินค้อมหลังน้อยๆ  ประคองแขนจอมนางแนบข้าง  ทั้งคู่เดินเชื่องช้าผ่านเหล่าทหารในชุดเกราะที่ยืนเรียงแถวคุ้มกันไปถึงเชิงผา

        พระนางกับองครักษ์คู่ใจ  เดินลงบันไดหินด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นไปกับธรรมชาติ  แมกไม้เริงไหวในสายลมอ่อนๆ  ลำธารใสไหลเรียบเชิงผา  นำพาความรื่นรมณ์จนพระนางคิดอยู่ให้เนินนานสักหลายชั่วยาม

        ท่ามกลางอารมณ์ผ่อนคลายเบาสบาย  โดยมีเหล่าองครักษ์หญิงร้อยกว่านาง  กระจายลงนั่งคุกเข่าตั้งเป็นแนวปกปักชั้นในสุด

        โดยกึ่งกลางพวกนาง  ยังมีโต๊ะประดับมุกวางเรียงไว้ด้วยถาดผลไม้  และขวดแก้วเจียรไนบรรจุเหล้าองุ่นสีสดใส

        " พวกเจ้านี่น้า !...ผู้คนมาสักการะพระ  จะไม่จัดเตรียมข้าวของพะรุงพะรังเช่นนี้หรอก "

        จอมนางกล่าวด้วยรอยยิ้มหัว  หากยังคงเดินดุ่มไปนั่งยังเก้าอี้บุขนสัตว์สีขาวสะอาดตา 

        รอยยิ้มผ่อนคลายของพระนางคล้ายวูบดับลงฉับพลัน  เมื่อสายตานางแหงนเงยขึ้นไปพบพระพุทธรูปหินสูงตระหง่าน  

        เพราะพระพุทธรูปหินองค์นั้น  มีพระพักต์งดงามละม้ายเหมือนพระนางไม่ผิดเพี้ยน  ทั้งโครงหน้า  คิ้ว คาง จมูก ปาก  ล้วนถอดแบบมาจากพระนาง  เพียงแต่ดูอ่อนวัยกว่าตัวจริงหลายสิบปี

        ยิ่งมองพระนางยิ่งขมวดคิ้วขุ่น  ในใจรู้แน่แท้ว่านี่ไม่ใช้เรื่องบังเอิญ….ผู้แกะสลักย่อมต้องรู้จักพระนางเมื่อครั้งยังเป็นดรุณีน้อยแล้ว…

        " ผู้ใดแกะสลักพระรูปนี้ ! "

        พระนางถามเบาๆกับหัวหน้าองครักษ์  กระทั้งองครักษ์สาวได้โบกมือไปมา  จึงมีเหล่าบรรพชิตที่อยู่หลังโขดหิน  รีบกุลีกุจรออกมาหา

        มีพระสี่รูปสวมใส่จีวรสีเทาอย่างศิษย์สายพะบู๊ของวัดเสี้ยวลิ้มยี้  กำลังคุมตัวชายซ่อมซ่อผมยาวรุงรังเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระนาง

        " เรียนองค์จักรพรรดินี  ช่างผู้สลักเสลาองค์ปฏิมาเป็นผู้มีสติฟั่นเฟื่อนนัก  พระนางโปรดอย่าได้ถือโทษลงทัณฑ์มันเลย "  ไต้ซือชรากล่าวยานคาง  พลางประนมมือหว่างอกดั่งเทศนาสั่งสอนผู้คน

        อู่เจ่อเทียนเพียงปลายตามองเยียบเย็น  สังเกตุช่างสลักที่ถูกว่าฟั่นเฟือนนั้นไม่วางตา

        ชายผู้นั้นร่างสูงใหญ่  ไหล่กว้าง  แขนขายาว  แม้จะถูกจับมัดมือไคว่หลัง  ยังดูสูงระดับอกกับเหล่าหลวงจีนที่ยืนกุมตัวอยู่ด้านข้าง

        เสียแต่ผมเพ้ามันกระเซอะกระเซิง  ทำให้รกเรื้อมาปกปิดใบหน้าไว้จนสิ้น

        " ช่างสลัก  เหตุใดเจ้าสลักพระพุทธรูปเป็นใบหน้าของพระนาง  เจ้าเคยพบเจอพระนางอย่างนั้นรึ ? "  หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถามดั่งรู้ใจจ้าวนาง

       คำถามของนางถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ ฮิ ฮิ ฮะ ฮะ…ราวคนเสียสติ  ทำเอาพระนักสู้ต้องออกแรงกดไหล่  จนตัวมันโอนเอนไป !...

        หากพระนางกลับโบกมือเบาๆ  ให้บรรพชิตอย่าได้ลงไม้ลงมือ  ชายวิกลจริตจึงสามารถเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบพระนางด้วยเสียงระรื่น

        " ข้าพเจ้าหาได้สลักท่านหรอกท่านป้า !....ข้าสลักโฉมสะคราญล่มเมืองต่างหาก  ที่ต้องห่อหุ้มนางไว้ด้วยโครงรูปพุทธองค์  เพราะจะได้กล่อมเกลาใจนางไม่ให้ล้างผลาญชีวิตผู้คนมากไปกว่านี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…"  

        ถ้อยคำเสียดเย้ยของมัน  บันดาลโทสะในใจของหัวหน้าองครักษ์พลุ่งพล่าน  นางตวาดกร้าว  พลางเผ่นโผนมาพร้อมดาบโค้งคมวาวในมือ  

      " สามห้าวนัก !... เจ้าอยากหัวหลุดจากบ่าหรือไร ? "

       เพลงดาบนางว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด  วาจาไม่ทันจาง  ปลายดาบคมกริบพลันบรรลุถึงต้นคอมันด้วยความเดือดดาล

        ทว่าชายฟั่นเฟื่อนเพียงสะบัดผมวูบเดียว  แขนนางพลันชาสะท้าน  ดาบในมือปลิวกระเด็นดั่งเศษโลหะล่วงหลุดจากเต้าหลอม

       ห้วหน้าองครักษ์ชะงักค้าง  ทั้งงงงัน  ทั้งเจ็บสะท้านที่ข้อแขน  จนนางต้องถอยร่นไปหลายก้าว

       " ท่าน กู่ลี่ซาปา !...ยิ่งอายุมากท่านยิ่งเผ็ดร้อนนัก  ฮ่า ฮ่า ฮ่า "

       คำกล่าวมันทำเอานางตื่นตะลึง  เขม่นมองใบหน้าของชายฟั่นเฟื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา

       " เป็นไปไม่ได้…เป็นเจ้าได้อย่างไร.! "

      เสียงนางสั่นเครือ  ร่ำร้องราวประสบภูตพรายหลอกหลอน

        " เป็นเจ้าได้อย่างไร !...มารกระบี่ท่องเมฆา ...? "

        คำกล่าวก้องของนางทำเอาทุกผู้คนตาเหลือกโพลง  แม้แต่หลงจีนเส้าหลิมยังผงะถอยห่าง

        สมญานามนั้นดั่งมีมนอาถรรพ์  กระเดื่องดังในใต้หล้ามายาวนาน  จนเป็นดั่งคำศักดิ์สิทธิ์  เหมือนเป็นผู้ไร้พ่ายในแดนดิน

        " เป็นไปได้อย่างไร ?.. เป็นท่านจริงๆรึ ?...พี่ชุนชิว !..พี่ชุนชิว !..."  

        พระนางร่ำร้องดั่งเด็กน้อย  ขณะลุกขึ้นมองจ้องมันอย่างไม่เชื่อสายตา

      " เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร !...เหตุใดท่านไม่แก่เฒ่าไปเลย !...หรือท่านกลายเป็นเซียนวิเศษไปแล้ว ! "

       พระนางรีบวิ่งตรงไปหาชายซอมซ่อ  ด้วยหัวใจสั่นระรัว  ร้อนผะผ่าวไปทั้งร่างดั่งสาวแรกรุ่น  พระนางรีบลงคุกเข่า  สองมือตรงเข้าประคองใบหน้าชายหนุ่มสุดทะนุทะนอม  นางละทิ้งความองอาจแห่งจักรพรรดินีไปสิ้น  ที่หลงเหลือเพียงหญิงสาวเปลี่ยวเหงาได้ประสบกับใจที่ขาดหายไปแรมปี

        แววตาพระนางทอประกายวับวาวราวพบสมบัติเลอล้ำมากกว่าเมืองหลวงทั้งเมือง

        " นี่เจ้าจะจ้องให้ข้าละลายไปเลยรึ  น้องชายแซ่อู่ "..

       " เป็นท่าน !  เป็นท่านจริงๆ !...ฮือ ฮือ ฮือ "...

        เสียงพระนางเครือเคล้าไปกับหยาดน้ำตาใสหลั่งลงอาบแก้ม  ในใจผุดพลายภาพอดีตนับร้อยนับพันดั่งเพิ่งประสบอยู่ต่อหน้า…

        จะมีอิสตรีใดหลงลืมรักแท้หนึ่งเดียวในชีวิตได้….