ตอนที่ 10 ซาลาเปาน้อยสติแตกไปแล้ว
“พี่ใหญ่ มาถึงเสียที เสียวเป่าของพวกเราไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ก็สติแตกขึ้นมา!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่ถิงเซียวถามด้วยเสียงลุ่มลึก
“ผมก็ไม้รู้เหมือนกัน พอเขาตื่นขึ้นมาก็เดินหาคนไปทั่ว ผมคิดว่าเขาน่าจะตามหาหนิงซี ก็เลยบอกไปว่า ไม่ต้องตามหาแล้ว คุณน้าคนสวยเขาจากไปแล้ว พอพูดจบ เขาก็สติแตกขึ้นมา เสียวเป่าดูท่าจะชอบหนิงซีเอามากๆ แต่ไม่น่าจะถึงขนาดที่แค่บอกว่าคนจากไปแล้วก็กลายเป็นแบบนี้ไปได้”
อีกอย่าง เสียวเป่าไม่แสดงอารมณ์รุนแรงเช่นนี้มานานมากแล้ว
เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมด ลู่ถิงเซียวก็เดินตรงเข้าไปหาลูกชาย
เมื่อเด็กน้อยเห็นลู่ถิงเซียวเดินใกล้เข้ามา ก็พลันกระถดตัวถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง แววตาเต็มไปด้วยการป้องกันและต่อต้าน แม้แต่พ่อแท้ๆ ก็ไม่ยอมรู้จัก
ลู่ถิงเซียวหยุดยืนห่างจากลูกชายสามก้าว พูดออกมาด้วยอารมณ์เรียบเฉยว่า
“ที่อารองบอกว่าคุณน้าคนนั้นจากไปแล้ว เป็นความหมายตามตัวหนังสือ ร่างกายของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านไปแล้ว ไม่ได้ตายจากไปเหมือนกับคุณยายที่ไปแล้วไปลับไม่มีวันกลับมาอีก ทีนี้เข้าใจหรือยัง?”
คงมีแต่ตอนอยู่ต่อหน้าลูกชายเท่านั้น ที่ลู่ถิงเซียวจะมีความอดทน พูดอะไรยาวๆ รวดเดียวแบบนี้
ลู่จิงหลี่อ้าปากค้าง “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่ไหม! ผมบอกว่า ‘ไปแล้ว’ แค่สองคำ เขาก็คิดเองเออเองไปกันใหญ่เลย?”
ความจริงคือคุณชายน้อยเห็นกับตาว่าหนิงซีร่วงลงไปที่พื้น เดิมทีก็ตกใจเสียขวัญอยู่แล้ว ภายใต้อารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ การที่เขาจะเข้าใจผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ฟังลู่ถิงเซียวอธิบายจบ คุณชายน้อยก็หยุดตะโกนชั่วครู่ แต่ก็ยังคงยื่นหัวออกนอกหน้าต่างนิ่งไม่ไหวติง
ลู่ถิงเซียวล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้ “เธอฝากไว้ไห้ลูก อยากอ่านไหม?”
เด็กน้อยเหมือนถูกกดสวิทช์เปิดอย่างไรอย่างนั้น ยกหัวขึ้น กางแขนออกแสดงให้เห็นว่าต้องการให้พ่ออุ้ม
“...” ลู่จิงหลี่ตกตะลึง
“...” หมอพยาบาลที่อยู่ในเหตการณ์ต่างพูดไม่ออก
พวกเขาทั้งห้องหัวหมุนกันแทบตาย แต่ลู่ถิงเซียวใช้กระดาษแค่แผ่นเดียวก็จัดการเสียอยู่หมัด?
เดิมทีลู่จิงหลี่คิดว่าที่พี่ชายของตนให้หนิงซีเขียนโน้ตไว้นั้นดูจะไม่จำเป็นสักนิด แต่ตอนนี้กลับได้ใช้ประโยชน์แล้ว
ลู่ถิงเซียวอุ้มลูกชายมานั่งที่โซฟา จากนั้นยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้
เจ้าตัวแสบรีบคว้าไปถือไว้ เขาอ่านหนังสือออกตั้งนานแล้ว จึงสามารถอ่านเองได้
ดาร์ลิง ขอบคุณมากที่ช่วยฉันเอาไว้ เธอเก่งที่สุดเลย จุ๊บ จุ๊บ~
เมื่อได้อ่านข้อความในกระดาษ ทั้งยังมีรูปหัวใจในตอนท้าย สายตาของเด็กน้อยก็เปล่งประกายวิบวับ ใบหน้าน้อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แม้ริมฝีปากจะเหยียดตรง แต่มุมปากก็อดที่จะยกขึ้นน้อยๆ ไม่ได้ ดูน่ารักน่าชังเสียนี่กระไร
ลู่จิงหลี่ทำหน้าเหมือนเห็นผี “เฮ้ พี่ใหญ่ นี่ผมตาฝาดไปรึเปล่า เสียวเป่าของเรายิ้มได้แล้ว! ผมแทบจำไม่ได้ว่าเขาเคยยิ้มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่! หนิงซีเขียนอะไรไว้กันแน่นะ?”
ลู่จิงหลี่กำลังจะเข้าไปแอบดู คุณชายน้อยก็รีบเอาซ่อนไว้ประหนึ่งเป็นของมีค่า
แต่ลู่จิงหลี่ตาไวเห็นหมดแล้ว ก็แค่ข้อความธรรมดาๆ เหตุใดจึงทำให้เสียวเป่าอารมณ์ดีขนาดนี้? หนิงซีคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ลู่ถิงเซียวไม่พูดอะไร มองดูลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน
เมื่อเสียวเป่าตื่นแล้ว ลู่ถิงเซียวจึงพาเขากลับบ้านด้วยตัวเอง ทั้งยังยกเลิกงานที่บริษัททั้งหมดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนลูก
คืนนั้น ณ ปัวจินตี้กง เลขที่ 8
ห้องรับแขกบรรยากาศเยือกเย็น หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่สองคนประจันหน้ากันที่โต๊ะอาหาร ต่างคนสีหน้าเฉยชา
“กินข้าว” ลู่ถิงเซียวบอก แต่คุณชายน้อยทำหูทวนลม
“ลู่ฉิงอวี่ พ่อจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย” ลู่ถิงเซียวบอกอีกครั้ง แต่คุณชายน้อยไม่ยอมกระดุกกระดิก
“ลูกคิดว่าวิธีอดอาหารประท้วงแบบเด็กๆ แบบนี้ จะใช้กับพ่อได้ผลเหรอ?” ลู่ถิงเซียวถามขึ้น
คุณชายน้อยเหมือนกับพระจำศีล ที่เข้าสู่โลกของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ไม่ยินดียินร้ายกับโลกภายนอก
แล้วพ่อลูกก็นั่งประจันหน้ากันต่อไป
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
ลู่ถิงเซียวโทรศัพท์หาลู่จิงหลี่ “ส่งที่อยู่ของหนิงซีให้ฉันหน่อย”
โอเค ตอนนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า การอดอาหารใช้ได้ผลดีทีเดียว
ลู่จิงหลี่ รีบส่งที่อยู่ของหนิงซีเข้ามือถือพี่ชายอย่างรวดเร็ว แถมพ่วงด้วยคำพูดไร้สาระอะไรอีกมากมาย แน่นอน ลู่ถิงเซียวไม่สนใจสักนิด
ตอนนี้ไม่ต้องให้ลู่ถิงเซียวออกปาก คุณชายน้อยพอเห็นพ่อหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถ ก็รีบวิ่งตามไป
ลู่ถิงเซียวมองลงมาที่ลูกชายซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เท้า ก้มลงมาอุ้มอย่างช่วยไม่ได้
“จำไว้ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก”