ตอนที่ 59 ปลอกกระบี่เจ็ดดารา
เฟิ่งจิ่วเดินนวยนาดไปด้านใน เห็นฟ้าครามเมฆขาวเหมือนเป็นโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง เดิมทีตอนที่เขตอาคมในห้วงมิติยังไม่ถูกแก้ก็ทำได้เพียงเห็นด้านในนี้ กลับไม่อาจเหยียบเข้าไปได้ ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว
เธอมองจวนภูตในห้วงมิติ อดอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ด้วย
“ดูสิ ที่นี่ยังมีน้ำพุวิญญาณอีก ข้าเคยเห็นแล้ว น้ำพุวิญญาณนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังวิญญาณในมิติ ต้นน้ำจึงล้วนแต่มีพลังวิญญาณ”
หงส์ไฟน้อยชอบใจอย่างมาก เมื่อเช้าหลังจากแก้เขตอาคมได้เขาก็กระโดดโลดเต้นดีใจอยู่ในนี้ไปพักหนึ่ง สำหรับที่แห่งนี้ เขาชื่นชอบมันจากก้นบึ้งหัวใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ที่นี่มาได้นานหลายปีโดยไม่โวยวายอยากออกไปหรอก ต้องรู้ไว้ว่าหากเขาฝึกฝนอยู่ด้านในนี้ พลังต้องพัฒนาขึ้นเร็วมากแน่ๆ
เธอยิ้มๆ แล้วลูบศีรษะหงส์ไฟน้อย “งั้นเจ้าเป็นเด็กดีฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปก่อน ยามฝึกบำเพ็ญในภายหน้าข้าจะเข้ามาฝึกในนี้ เชื่อว่าพลังข้าจะพัฒนาได้เร็วมาก”
“รู้แล้ว” หงส์ไฟน้อยมุ่ยปาก ก่อนจะเดินไปเล่นน้ำข้างน้ำพุวิญญาณ
เฟิ่งจิ่วเห็นท่าทางนั้นก็แย้มยิ้ม เธอใช้ดวงจิต ถึงจะแวบหายออกมาด้านนอก
พอเปิดประตูห้องออกก็เห็นกวนสีหลิ่นฝึกกระบี่อยู่ในลานบ้าน เห็นมือซ้ายเขาตวัดกระบี่ได้แข็งทื่ออยู่บ้าง ไม่ได้คล่องแคล่วมากนัก ใจเธอก็สั่นไหวน้อยๆ ร้องเรียกไปว่า “พี่สีหลิ่น”
“เสี่ยวจิ่ว เจ้าออกมาแล้วสิ? เจ้านี่จริงๆ เลย ทำไมถึงได้ฝึกวิชาเหมือนไม่คิดชีวิตเช่นนี้? นี่เจ้าขังตัวเองอยู่ด้านในมาสามวันเต็มๆ เลยนะ”
เขาเก็บกระบี่เดินมาหาเธอ กล่าวอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวจิ่ว การฝึกบำเพ็ญไม่ใช่จะฝึกได้ในเวลาอันสั้น อยากจะบรรลุได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
เฟิ่งจิ่วได้ยิน ก็ยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ได้ๆๆ”
แม้เธอจะฝึกถึงระดับนักรบพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นแล้ว แต่พละกำลังยังคงถึงระดับนักรบช่วงที่สอง คนธรรมดามองไม่ออกหรอกว่าวรยุทธ์จริงๆ ของเธอนั้นมีมากเท่าใด
เหตุที่มีความเร็วในการก้าวหน้าเช่นนี้ได้ในเวลาสั้นๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะร่างเทพประทับ ทั้งยังมีเส้นชีพจรพลังเร้นลับและพลังวิญญาณที่อาจารย์เธอเปิดให้ ราวกับว่าเส้นเอ็นเดิมที่เคยเป็นเช่นสายธารเล็กละเอียด ตอนนี้กลับกลายเป็นดั่งแม่น้ำฮวงที่ไหลเชี่ยว ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ย่อมไม่อาจสาธยายได้ในวันเดียว
“จริงด้วยพี่ชาย ข้าอยากไปซื้อชุดเข็มเงิน ท่านไปด้วยกันกับข้าเถอะ!”
“ได้สิ ไปกันตอนนี้เลย” หลังจากล้างหน้าเขาก็แบกกระบี่ขึ้นหลังแล้วเดินออกประตูไปพร้อมกัน
เมื่อเดินเข้ามายังหอสมบัติ เฟิ่งจิ่วก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาถูกคนจ้องมอง
การซ่อนเร้นกลิ่นอายของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดกวนสีหลิ่นคนข้างกายยังสัมผัสไม่พบ หากไม่ใช่เพราะเดิมทีเธอก็เชี่ยวชาญด้านนั้น เดาว่าคงไม่ทันสังเกตว่าถูกคนจับตามอง
“นายห้าง พวกท่านมีเข็มเงินครบชุดหรือไม่?”
“มีขอรับ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการระดับไหน? ตอนนี้พวกเรามีสามแบบ แบ่งเป็นสูง กลาง ต่ำรวมสามระดับ ราคาไม่เหมือนกัน คุณภาพก็แตกต่าง” เจ้าของร้านยิ้มพลางแนะนำไป เขาหยิบเข็มเงินสามชุดออกมาวางไว้เบื้องหน้าเฟิ่งจิ่ว
“เอาแบบนี้แล้วกัน!” เธอเลือกชุดที่แพงที่สุด เพราะชุดนั้นมีทั้งสั้นทั้งยาวค่อนข้างครบครัน ซ้ำคุณภาพก็ดีจริงๆ
สายตาเธอหยุดลงบนปลอกกระบี่ที่แขวนอยู่บนผนัง ดวงตาเป็นประกาย ถามขึ้นว่า “ปลอกกระบี่นั้นขายหรือไม่?”
เจ้าของร้านมองตามไป เขายิ้มๆ “แม่นางสายตาดีมาก นี่คือปลอกกระบี่ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของหอสมบัติเรา พูดได้เลยว่าต่อให้มองไปทั่วทั้งแคว้นแสงสุริยันก็ไม่อาจหาแบบที่เหมือนกันนี้ได้”
เขานำปลอกกระบี่บนผนังลงมา แล้วพูดต่อ “อัญมณีหลักๆ ทั้งเจ็ดเม็ดที่มีสีแตกต่างกันด้านบนนี้ล้วนเป็นเพชรพลอยหายาก ลวดลายที่สลักบนปลอกกระบี่ก็ยิ่งประณีต ทั้งสีสันเข้ากันงดงามและหรูหรา แทนที่จะพูดว่าเป็นปลอกกระบี่ ไม่สู้เรียกว่าเป็นของประดับที่ดูสุขใจสบายตายังดีกว่า”
…………………………………………………….