webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · 现代言情
分數不夠
30 Chs

ฟ้ามืดลงอีกครั้ง

หลายวันที่ผ่านมาณัฐชานนท์ช่วยตามหาอย่างเต็มที่พร้อมกับอัคราวิชญ์ แต่พอนนท์มองเห็นสภาพเขาตอนนี้ เห็นทีว่าไม่น่าจะทำงานไหว จึงบอกให้กลับไปพักที่บ้านก่อน ส่วนเพื่อนสนิทอย่างเขาก็ทำหน้าที่ไปจัดการที่บริษัทให้ บอกให้ทุกคนทำงานตามปกติ ส่วนเรื่องการประชุมจะประสานงานให้ ทำให้พนักงานถึงกับงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม และที่แปลกสุดคือเลขาคนสวยก็ไม่มาทำงานหลายวันแล้วเหมือนกัน

"เฮ้ คินน์ คุณลุกขึ้นมากินข้าวก่อน" ณัฐชานนท์ถือถุงอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา ในขณะที่อัคราวิชญ์นอนซมอยู่กับที่ไม่ยอมเขยิบลุกไปไหนมาทั้งวันแล้ว จนนนท์ต้องประคองเขาลุกขึ้นนั่ง แถมยังช่วยจัดแจงอาหารใส่จานเรียบร้อย ซึ่งเขาก็ยังไม่ยอมกิน สุดท้ายเพื่อนอย่างเขาเลยตัดสินใจป้อนเข้าปาก แต่อย่าเรียกว่าป้อนเลย เรียกว่ายัดใส่ปากให้ยังจะถูกต้องซะมากกว่า โดยเขากินข้าวอย่างไร้ความรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ ใครหยิบอะไรให้ก็งับไปจนหมด

"คินน์ ผมว่านะ พวกเราก็ตามหามาหลายวันแล้ว แถมผมยังจ้างนักสืบมือดีช่วยแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือทำงานเว้ย คุณต้องการให้บริษัทที่พ่อสร้างขึ้นมาพังด้วยน้ำมือตัวเองเหรอ" ณัฐชานนท์พยายามพูดเตือนสติ และตบบ่าเขาเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจไปด้วย จากนั้นนนท์ก็กลับบ้านไป ปล่อยให้เขาได้ลองทบทวนและอยู่กับตัวเอง

ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ก็ยังคงเป็นณัฐชานนท์ที่เข้ามาช่วยงานบริษัทอัคราวิชญ์ ทั้ง ๆ ที่เขาก็มีบริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องดูแลเหมือนกัน เขาได้แต่เหนื่อยใจกับการกระทำของคินน์ จนตัดสินใจไปบอกคุณแม่วิไลรัตน์ให้มาช่วยอีกแรง พอคุณแม่ทราบเรื่อง ถึงกับกุมขมับ แต่ในใจกลับเป็นห่วงมากกว่า กลัวลูกคิดสั้น

6 โมงเช้าที่หน้าบ้านของอัคราวิชญ์ รถตู้ฮุนไดสีดำคันที่เขาคุ้นเคยเคลื่อนที่เข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านเขา หลังจากที่เขาโดนปลุกด้วยกริ่งหน้าบ้านดังลั่นต่อเนื่องหลายนาที คุณแม่วิไลรัตน์ก้าวขาลงจากรถช้า ๆ เห็นสภาพลูกชายชัดเต็มตา ถึงกับน้ำตารื้นด้วยความสงสารจับใจ

"มีปัญหาอะไร ทำไมไม่บอกแม่ หืม..." คุณแม่วิไลรัตน์กอดเขาพลางพูดไปด้วย

อัคราวิชญ์ยืนนิ่ง ไม่ขยับตัวไปไหน ปล่อยให้แม่กอดที่ประตูเข้าบ้านอยู่นานสองนาน จนกระทั่งมีสายจากเบอร์แปลกโทรเข้ามาหาเขา สติเขาจึงถูกดึงกลับมา จากนั้นเขาก็ล้วงมือหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงหลังจากที่ไม่ได้รับสายใครมานาน ยกเว้น ณัฐชานนท์คนเดียว

"ฮัลโหล สวัสดีครับ" น้ำเสียงอิดโรยของอัคราวิชญ์ ตอบรับสายไปแบบไม่ใส่ใจ

"ฮา...ฮัลโหล สวัสดีค่ะ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกจะเกรงใจอีกฝ่ายพูดตอบกลับ

"ใครครับ" อัคราวิชญ์ไม่รู้จักมาก่อน จนกระทั่งได้รับรู้จากการแนะนำตัวของอีกฝ่าย

"ฉันลลิตา เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เบสตี้ค่ะ คือ... ว่าฉันจะโทรมาแจ้งข่าวเรื่องพี่เบสตี้" ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ก็โดนอัคราวิชญ์พูดแทรกขึ้นมา

"เบสตี้อยู่ที่ไหน คุณรีบบอกมาเร็ว ๆ" น้ำเสียงที่ร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวลปนตื่นเต้นเล็ก ๆ ทำให้เขาเดินกลับไปกลับมา ในใจได้แต่คิดว่าจะได้เจอกันแล้ว อยากจะถามให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงหายตัวไป

"คือ...พี่เบสตี้เขาอยากนัดเจอคุณ ที่โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา อยากให้คุณรีบมานะคะ" เธอย้ำอัคราวิชญ์ก่อนวางสายไป

อัคราวิชญ์หันมาโผกอดแม่อย่างดีใจ แล้วชวนไปหานันทิชาด้วยกัน แม่ตอบรับพลางกอดตอบไปด้วย จากนั้นก็แยกย้ายไปเตรียมตัว โกนหนวดเคราที่ปล่อยทิ้งไว้ ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด อาบน้ำให้หอม ๆ และเมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงโรงพยาบาล สิ่งที่เห็นคือลูกพี่ลูกน้องของนันทิชาลงมารับถึงหน้าประตูโรงพยาบาล เพื่อพาทั้ง 2 คนขึ้นไปหาเธอที่ห้องพักผู้ป่วยทันที

เมื่อทั้ง 3 คนเดินผ่านเข้าประตูไป สิ่งแรกที่ทำให้อัคราวิชญ์ต้องอึ้งคือผ้าพันแผลที่ศรีษะของนันทิชากับหน้าตาซีดเซียวนั้น ทำใจเขาหล่นตุ้บลงไปกองกับพื้นเลย ความไม่เข้าใจปนเคืองโกรธที่เคยมีก่อนหน้านี้มลายหายสิ้นไปในพริบตา กลายเป็นความเศร้าเสียใจของเขาแทน ที่ดูแลเธอไม่ดีพอ

"พี่...คินน์ มา...แล้วเหรอคะ" แต่ละคำที่นันทิชาพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ทำให้อัคราวิชญ์รู้สึกทรมานใจอยู่ลึก ๆ

"ครับ พี่มาหาแล้วนะ" อัคราวิชญ์พูดพลางลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน เธอยิ้มบาง ๆ กลับมา ทำให้เขาน้ำตาไหลออกมา จนเธอเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ ตอนนั้นเขาถึงรู้ตัวว่าได้แสดงความอ่อนแอให้เธอเห็นแล้วสินะ ทั้ง ๆ ที่อยากจะเข้มแข็งและเป็นกำลังใจให้เธอ

"แม่พี่มาเยี่ยมด้วยนะ" อัคราวิชญ์เขยิบตัวออก ให้นันทิชาได้เห็นคุณแม่วิไลรัตน์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา

"สะ... สวัสดีค่ะคุณแม่" นันทิชาค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาไหว้อย่างอ่อนน้อมเหมือนทุกที

"สวัสดีจ้ะลูก" คุณแม่วิไลรัตน์จับมือเธอเบา ๆ พร้อมยิ้มน้อย ๆ ให้ จากนั้นก็ชวนลูกพี่ลูกน้องของเธอไปข้างนอก ปล่อยให้อัคราวิชญ์ได้มีเวลากับนันทิชาตามลำพัง

หลังจากที่คุณแม่วิไลรัตน์และลลิตาออกจากห้องไป อัคราวิชญ์เลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างนันทิชาและจับมือคุยกับเธอไปด้วย พอเขาได้รู้สาเหตุที่เธอหายตัวไป ยิ่งทำให้เขาโทษตัวเองมากกว่าเดิมที่ไม่สังเกตุเห็นอาการผิดปกติของเธอในวันนั้น แต่กลับเป็นเธอที่ปลอบใจและขอโทษเขาแทน

"ขอโทษนะคะพี่คินน์ เบสตี้คิดน้อยไป ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของพี่มากพอ" นันทิชาพยายามบีบมือเขาเบา ๆ

"ไม่เลยครับ พี่สิต้องขอโทษที่ดูแลเบสตี้ไม่ดี" อัคราวิชญ์สบตาและพูดปลอบอย่างอ่อนโยน

ผ่านไป 1 ชั่วโมง ทั้งคุณแม่วิไลรัตน์และลลิตาก็กลับมาที่ห้อง หลังจากไปแวะดื่มกาแฟและคุยถึงอาการของนันทิชา ทำให้รู้ว่าร้ายแรงมาก คุณแม่รู้สึกเห็นใจและเข้าใจสถานการณ์ดี เธอเลือกที่จะช่วยเหลือในแบบของเธอด้วยการดูแลค่ารักษาพยาบาลและหาหมอที่ดีที่สุดมาดูแล

"แม่มารับกลับบ้าน" ขณะที่อัคราวิชญ์กำลังกระหนุงกระหนิงอยู่ ก็ทำหน้างอนออกมา จนทุกคนในห้องหัวเราะเบา ๆ ออกมา เอ็นดูในความน่ารักนี้

"ครับแม่" อัคราวิชญ์ตอบแม่อย่างเซ็ง ๆ แล้วก็หันไปบอกนันทิชาว่าจะมาหาทุกวัน เธอพยักหน้าและยิ้มให้เขา

ในทุกวันอัคราวิชญ์จะมาเยี่ยมพร้อมของกินอร่อย ๆ เท่าที่คุณหมอจะอนุญาตให้กินได้เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไม่สะดวกมาเยี่ยม ติดประชุมด่วน จึงตัดสินใจโทรบอกนันทิชา แต่คนรับสายกลับเป็นลลิตา เธอบอกเขาทั้งน้ำตาว่าตอนนี้เราได้เสียพี่เบสตี้ไปแล้ว พอเขาได้ยินดังนั้น หูก็วิ้งไปเลย สติหลุดกะทันหันจนผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเรียก เขาจึงดึงสติกลับมาได้ และพยายามประชุมให้เสร็จเร็วที่สุด เพราะมันเป็นการประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้น ทำให้เขาไม่สามารถไปหาคนรักได้ทันที ทำได้แค่โทรบอกคุณแม่วิไลรัตน์ให้ไปหาก่อน

พอประชุมเสร็จ ยังไม่ทันที่ใครจะอ้าปากถามเรื่องที่อัคราวิชญ์หายตัวไปเมื่อหลายวันก่อน เขาก็พุ่งตัวเดินออกไปอย่างเร็ว ขับรถอย่างเหาะ เพื่อไปหานันทิชาที่โรงพยาบาล

อัคราวิชญ์หอบเหนื่อยจากการวิ่งเร็วมาหานันทิชา "พี่ขอโทษ พี่มาช้าไป พี่สัญญาว่าจะรักเบสตี้ตลอดไปนะครับ" เขากุมมือเธอไว้ พอพูดจบ เขาก็โน้มตัวไปหอมที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นก็มีบุรุษพยาบาลมาพาร่างเธอไปยังห้องดับจิต และพรุ่งนี้ทางญาติพี่น้องของเธอจะมารับตัวไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามลำดับ

หลังจากงานฌาปนกิจของนันทิชาในวันที่ 25 ธันวาคมผ่านไป 2 สัปดาห์ สภาพเขากลับมาเป็นเหมือนตอนที่เธอหายตัวไป ไว้หนวดเฟิ้ม หน้าตาอิดโรย ไม่ยอมกินข้าวกินปลาจนเดือดร้อนณัฐชานนท์อีกตามเคย แต่ครั้งนี้มีคุณแม่วิไลรัตน์ด้วย

"บ้านออกจะสวย ทำไมคนอยู่ถึงได้ห่อเหี่ยวไม่สดชื่นขนาดนี้นะ" คุณแม่วิไลรัตน์เดินเข้ามาในห้องนอนเขา พูดแซวลอย ๆ ขณะเปิดผ้าม่านข้างเตียงให้ ในใจได้แต่หวังว่าลูกชายจะอารมณ์ดีขึ้น ไม่อยากให้เขาจมอยู่กับอดีตนานกว่านี้ และนี่ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้มานานพอสมควรแล้วด้วย

"...." อัคราวิชญ์เงียบ ไม่ตอบกลับใด ๆ ทั้งสิ้น

"คินน์ ลูกลองฟังแม่หน่อยนะ แม่เข้าใจว่าลูกเสียใจมาก แม่เองก็เหมือนกัน แต่ลูกรู้ไหม เวลาเรารักใครก็อยากให้คน ๆ นั้นมีความสุขจริงไหม ตอนนี้ก็ผ่านมาสักพักแล้ว แม่รับรู้ได้ว่าลูกรู้สึกยังไง และเธอเองก็คงรับรู้ได้เหมือนกัน รอยยิ้มและความสุขของลูกกับของเธอคือสิ่งเดียวกันใช่ไหม ถ้าลูกไม่ยิ้ม ไม่มีความสุข เธอเองก็คงเป็นแบบเดียวกัน ลูกลองไปคิดดูแล้วกันนะ" คุณแม่วิไลรัตน์นั่งที่ขอบเตียงข้างอัคราวิชญ์ พลางแตะไปที่มือเขาเบา ๆ ก่อนจะลุกเดินไปทำอาหารให้เขากิน

หลังจากดูแลลูกชายสุดที่รักเสร็จ คุณหญิงวิไลรัตน์ก็กลับบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่ป้านุชติดต่อมา เธอรับสาย ขณะก้าวขาลงจากรถ เดินเข้าบ้าน

"สวัสดีค่ะ คุณพี่อรนุช"

"สวัสดีค่ะ คุณหญิงวิไลรัตน์ เรา 2 คนมาเจอกันหน่อยไหมคะ มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วยค่ะ"

"ได้ค่ะ เป็นวันไหนดีคะ" คุณหญิงวิไลรัตน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

"วันที่ 16 มกราคม นี้ก็ได้ค่ะ พอดีที่บ้านจะจัดงานวันเกิดให้หลานวีหน่อยน่ะค่ะ"

"ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ" หลังจากคุณหญิงวิไลรัตน์วางสายไป ในใจก็ปิ๊งแวบขึ้นมาว่า ถ้าลูกชายได้เจอคนใหม่ ๆ อาจจะทำให้ดีขึ้นก็ได้ เลยคิดว่า จะถือโอกาสนี้ทำอะไรสักอย่างแล้วแหละ

น้ำตาที่ร่วงหล่น ไม่เท่ากับใจที่เจ็บของเขาหรอก

memento_mori_7964creators' thoughts