娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 8 สนับสนุน
เสียงของคนตะโกนทำเอาคนทั้งกองหันไปให้ความสนใจ เจียงเซ่อเช็ดหยดน้ำออกจากปลายคางแล้วหอบหายใจออกมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนที่ช่วยดึงเธอขึ้นมาเรียก
“คนสวย เรียกเธอแน่ะ”
เจียงเซ่อได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป พอหันหน้าไปดูก็เห็นว่าผู้ช่วยผู้กำกับกำลังถือโทรโข่งกวักมือเรียกเธออยู่ไม่ไกล
“เธอนั่นแหละ มานี่”
ทั้งตัวเธอเปียกไปหมด หนังเรื่องนี้ลงทุนไปมาก คุณภาพของเสื้อผ้าก็ไม่เลวเลย พอดูดน้ำเข้าไปแล้วก็ค่อนข้างหนักทีเดียว เธอบิดน้ำออกจากชายเสื้อเล็กน้อย ในรองเท้าก็มีแต่น้ำ เสื้อก็แนบไปกับตัว แค่เดินก้าวเดียวน้ำก็หยดลงไปตามทางจนเป็นรอย
ผู้ช่วยผู้กำกับมองมาที่เธอ คนรอบข้างเองก็มองมาที่เธออย่างอิจฉา
“เรียกเธอนั่นแหละ รีบไปเร็วๆ เข้า ไม่แน่ว่าผู้กำกับจางอาจจะเห็นแววเธอก็ได้นะ”
เจียงเซ่อรีบวิ่งเยาะไปหา ผู้ช่วยผู้กำกับมองเธออย่างประหลาดใจ
“มากับฉันเร็วเข้า” ตอนที่เขาพูด ใบหน้าที่ดูหงุดหงิดตอนแรกพอเห็นหน้าของเจียงเซ่อก็ดูอรามณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
“อีกเดี๋ยวอย่าพูดอะไรส่งเดชนะ ผู้กำกับให้ทำอะไรเธอก็ทำตามนั้น”
เจียงเซ่อเข้าใจในความหมายของเขา เป็นจางจิ้งอานให้คนมาตามเธอจริงๆ ด้วย
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ จางจิ้งอานและคนอื่นๆ กำลังนั่งรออยู่ใต้ร่มเงาของร่มคันใหญ่
พอเจียงเซ่อมาถึง สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ก็มองมาที่เธอ แม้แต่คนที่กำลังถือน้ำแร่ใส่แว่นดำอย่างหลิวเย่เองก็หันมามอง เขายืดตัวขึ้นแล้วกดแว่นลงมองเธอ
“ผู้กำกับจาง เธอมาแล้วครับ”
จางจิ้งอานที่นั่งอยู่หลังจอมอนิเตอร์เอียงศีรษะไปมองเธอ ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากปากของหลูเป๋าเป่าแต่เจียงเซ่อกลับคิดว่าเขาก็ดูธรรมดา
อายุเขาน่าจะสักสี่สิบได้ สวมชุดธรรมดาอย่างเสื้อแขนสั้นสีฟ้า ทรงผมแสกข้าง ดวงตาแม้ไม่ได้คมกริบแต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกกดดันได้
ในกองถ่ายนี้มีคนสำคัญแห่งวงการบันเทิงถึงสองคน ถ้าเธอเป็นเจียงเซ่อเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีคนนั้นจริงๆ ก็คงจะตื่นเต้นและทำตัวไม่ถูกแน่ๆ
แต่ทว่าเจียงเซ่อกลับยืนตัวตรงนิ่ง จางจิ้งอานรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้เห็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน ดูไม่กลัวเขาเลย แววตาแน่วแน่ ยืนตัวตรง ถึงผมจะโดนน้ำจนลู่ลงกับกรอบหน้าแต่ก็ยังไม่อาจทำลายความงามของเธอได้
บริเวณที่เธอยืนอยู่เริ่มจะเปียกเป็นแอ่งแล้วแต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่มีท่าทางเกร็งและอึดอัดเลยสักนิด
ดูจากรูปร่างและท่าทางของเธอแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคงมีฐานะที่ไม่เลวนัก ความกล้าต่อโลกมันสอนกันทีหลังได้ แต่ท่าทางการแสดงออกและเสน่ห์พวกนี้ยังไงก็ต้องถูกขัดเกลาโดยครอบครัว
เขาดูเจียงเซ่อจากจอมอนิเตอร์ เห็นแค่แวบเดียวก็รู้สึกว่าเธอสวยและมีเสน่ห์มากทีเดียว มองจากไกลๆ ก็ว่าไม่เลวแล้ว แต่พอได้เห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งสวยเข้าไปอีก
“หลิวเย่ นายคิดว่าเป็นไง?”
จางจิ้งอานชี้ๆ ไปที่เจียงเซ่อแล้วหันไปถามหลิวเย่ด้วยรอยยิ้ม
หลิวเย่พยักหน้า มุมปากยกขึ้นเบาๆ ปรากฏรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
“ผู้กำกับจางสายตาเฉียบคมจริงๆ”
เห็นผู้หญิงในวงการมาก็เยอะ แต่รูปลักษณ์ของเจียงเซ่อทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
เธอสวยแบบไม่ปรุงแต่ง องคพายพทั้งห้าราวกับหยกงามที่สวรรค์ได้แกะสลักออกมาอย่างประณีต บวกกับความอายุน้อยของเธอเป็นทุนเดิม เธอไม่ได้สวยฉูดฉาดเหมือนกับลู่ปิงปิงหรือดาราสาวอื่นๆ ที่เขาเคยร่วมงานด้วย แต่พอเขาเห็นเจียงเซ่อ เขาก็รู้สึกเหมือนได้ทานไอศกรีมอย่างเพลิดเพลินในยามฤดูร้อน
แต่ทว่าความสวยไม่ได้หมายความว่าจะแสดงเป็น สิ่งที่ไม่เคยขาดในวงการบันเทิงคือสาวสวย
ถ้าจะทำงานในสายอาชีพนี้จริงๆ ความสวยก็เป็นแค่ใบเบิกทาง จะยังไงก็ต้องรอโอกาสและจังหวะที่ดี
ดังนั้นจากที่ตื่นเต้นในตอนแรกหลิวเย่ก็ค่อยๆ กลับไปนิ่งสงบเหมือนเดิม
รองผู้กำกับที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา เขาหันไปถามผู้ช่วย
“ใครเป็นคนหามา?”
ผู้ช่วยตอบเสียงเบา
“น่าจะเป็นจางฟานหามาครับ”
“ผู้กำกับจางมีสายตาที่เฉียบคมจริงๆ ด้วย ถ่ายมาตั้งนานพวกเรากลับไม่เห็นคนที่มีแววขนาดนี้”
รองผู้กำกับที่รู้เรื่องแบบนี้ดีก็รีบหันไปหาจางจิ้งอานเพื่อประจบ
“แค่คุณมา มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
จางจิ้งอานไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “มีแววรึเปล่า ก็ยังต้องดูอีกที”
หลิวเย่นั่งตัวตรงขึ้นมาแล้วมองสำรวจเธอขึ้นลง
“ผมจำได้ว่าในเมืองต้าชิ่งมีละครเรื่องหนึ่งถ่ายทำอยู่ ต้องการนักแสดงหญิงสวยๆ ไปแสดง ไม่รู้ว่าผู้กำกับจางหาคนได้หรือยัง?”
จางจิ้งอานฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
คนในกองถ่ายที่ได้ยินหลิวเย่พูดอย่างนั้นก็พากันตกตะลึงอ้าปากค้าง
ฟังก็รู้ว่านักแสดงหนุ่มยอดเยี่ยมคนนี้กำลังดันคนใหม่อยู่ บางคนในกองเริ่มมองเจียงเซ่อไม่เหมือนเดิม ในใจรู้สึกว่าเธอช่างเป็นเด็กสาวที่โชคดีเหลือเกิน
ได้ดารายอดฝีมืออย่างหลิวเย่เป็นคนสนับสนุน แปดเก้าส่วนจางจิ้งอานก็น่าจะให้เกียรติเขา
เจียงเซ่อไม่รู้ว่าหนังในเมืองต้าซิ่งที่หลิวเย่พูดถึงคือหนังเรื่องไหน แต่คนในกองต่างรู้ดีว่ามันเป็นบทที่ไม่ได้ออกฉากอะไรมากนัก แต่บทก็มีคามสำคัญอยู่ จะเอามาเทียบกับบทตัประกอบที่ออกมาก็ตายเลยยแบบนี้ได้ยังไง
ยิ่งไปกว่านั้น การถ่ายหนังที่ผ่านมาของจางจิ้งอานนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์แต่ทุกเรื่องก็ดังไปทั่วประเทศ ถ้าเจียงเซ่อได้เล่นสักบทบาทในหนังของเขา โอกาสที่จะได้เข้าสู่วงการก็มีสูงมาก อนาคตก็ยากจะคาดเดา
หลิวเย่คิดว่าสิ่งที่ตนเสนออกไปไม่ใช่ปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าจางจิ้งอานจะเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของประเทศ แต่สิ่งที่เขาเสนอก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จางจิ้งอานน่าจะตอบตกลง
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ จาจิ้งอานกลับขมวดคิ้ว เงียบอยู่นานจึงค่อยตอบ
“ดูก่อนแล้วกัน”
เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลง
แว่นดำที่หลิวเย่สวมบดบังสายตาที่แท้จริงของเขาเอาไว้ ไม่เสียแรงที่เขาเป็นถึงดารารางวัลใหญ่ เขายกยิ้มที่มุมปาก ทำราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“ก็ตามนั้น”
“บริษัทเจียงหัวสนใจที่จะลงทุนเพิ่มให้อีกร้อยล้าน”
เรื่องนี้สำหรับคนในแล้วไม่ใช่ข่าวใหม่อะไร อย่างน้อยก็ตอนที่เจียงเซ่อได้ยินประโยคนั้น คนรอบๆ ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมา
จางจิ้งอานสะบัดมือให้สัญญาณว่าให้พาเจียงเซ่อไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยมาใหม่
ตอนที่เจียงเซ่อหันหลังกลับ ดารายอดเยี่ยมคนนั้นก็มองตามเธออีกรอบ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“ดูเหมือนว่ารอบนี้บริษัทเจียงหัวจะสนใจหนังเรื่องนี้มากๆ เลยนะครับ” คำพูดของเขามีความหมายแฝงอื่นอีก
เจียงเซ่อที่ได้ยินคำว่า ‘บริษัทเจียงหัว’ ขึ้นมาแววตาของเธอก็สั่นไหว หลังจากนั้นก็ได้ยินจางจิ้งอานพูดขึ้นมาอีก
“นายรู้จักวิสาหกิจจงหนานสินะ?”
เจียงเซ่อเดินออกมาจากร่มกันแดด เธอเดินห่างออกมาจากจางจิ้งอานและคนอื่นๆ ไปหลายเมตร แต่พอจางจิ้งอานพูดประโยคนั้นออกมา ขาของเธอมันก็ชะงักไป ร่างกายพลันหดเกร็งขึ้นมา
“วิสาหกิจจงหนาน ตระกูลเฝิง? ที่ฮ่องกงน่ะหรือครับ?”
หลิวเย่ถามออกไป จางจิ้งอานตอบเสียงเบา
“อืม”