'ด้วยบัญชาจากสวรรค์ฮ่องเต้ทรงมีพระบรมราชโองการให้คัดเลือกสาวงามทั่วแผ่นดิน โดยไม่กำหนดยศศักดิ์และชาติตระกูล เพื่อทำการคัดเลือกพระสนมต่อไป จบพระบรมราชโองการ'
หลังจากพระบรมราชโองการฉบับนี้ถูกป่าวประกาศไปทั่วแผ่นดินแล้ว เหล่าขันทีและนางกำนัลที่มาคัดเลือกสาวงามเบื้องต้นตั้งท่าคอยอยู่ที่ศาลากลางของทุกเมือง เหล่าผู้มียศศักดิ์ถูกคัดเลือกที่ชั้นสอง ส่วนชาวบ้านทั่วไปถูกคัดเลือกอยู่ชั้นล่าง
"ทำไมข้าถึงจะขึ้นไปชั้นบนไม่ได้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าสกุลจิ้นของเราเป็นใคร?" เสียงผู้หญิงที่มีอายุและน่าเกรงขามพูดกับนางกำนัลที่เฝ้าบันไดชั้นล่างไว้
"ต้องขออภัยด้วยฮูหยินจิ้น แต่มีพระกระแสรับสั่งจากฮองเฮาไม่ให้หญิงที่มีสายเลือดตระกูลจิ้นทุกคนเข้ารับคัดเลือกเป็นนางกำนัลชั้นสูงเจ้าค่ะ" นางกำนัลคนนั้นตอบด้วยเสียงกระด้างพร้อมกับสายตาดูถูก
"นี่เจ้า!!" ฮูหยินจิ้นที่เห็นกริยาท่าทางของนางกำนัลคนนั้นก็ถึงกับโกธรจนส่งเสียงดัง
"ท่านแม่" หญิงสาวหน้าตาสะสวยเข้ากับกริยาท่าทางเรียบร้อยและสง่างาม ยืนมือเข้ากอดแขนของฮูหยินจิ้นในทันที "อย่าโกรธเลยค่ะ ลูกเข้าคัดเลือกที่ชั้นล่างก็ได้เจ้าค่ะ"
"ไม่ได้! เจ้าเป็นถึงลูกสาวของแพทย์หลวงพิเศษประจำองค์ฮ่องเต้และยังเป็นน้องสาวของราชเลขาธิการและเจ้ากรมพิธีการ จะถูกคัดเลือกรวมกับสามัญชนไม่ได้เด็ดขาด!" ฮูหยินจิ้นส่งสายตาให้สาวรับใช้คนสนิทของเธอ
'เพี๊ยะ!!' สาวใช้เดินไปด้านหน้าของฮูหยินจิ้นก่อนจะลงมือฝาดเข้าที่ใบหน้าของนางกำนัลที่แสดงกริยาหยาบกระด้างอย่างแรงจนเลือดออกที่มุมปาก นางล้มลงไปนั่งกับพื้นบันไดขั้นแรกสีหน้าโกรธแค้นปนหวาดกลัวส่งออกมาให้ฮูหยินจิ้น
"พอได้แล้ว อันฉี" หญิงสาวรีบออกปากห้ามก่อนที่สาวใช้คนสนิทของฮูหยินจิ้นจะลงมืออีกครั้ง
"เจ้าค่ะคุณหนู" อันฉีเดินกลับไปยืนด้านหลังฮูหยินจิ้นตามเดิม
ฮูหยินจิ้นดึงลูกสาวคนสวยของเธอเดินนำขึ้นบันไดไป บรรดาสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยก็รีบตามขึ้นไป ปล่อยให้นางกำนัลนั่งกองอยู่กับพื้นพร้อมความเจ็บและชาที่ใบหน้า
"คาระวะฮูหยินจิ้น" กงกงคนหนึ่งรีบปรี่เข้ามาทักทาย ด้านหลังของเขามีนางกำนัลตามมาด้วยหกคน
"เฉิงกงกง" ฮูหยินและลูกสาวรีบทักทายตอบ เพราะเขาคนนี้เป็นถึงกงกงคนสนิทของกุ้ยเฟย
"นี่หรือคุณหนูตระกูลจิ้น งดงามสมคำร่ำลือ" เฉินกงกงมีใบหน้ายิ้มแย้มแต่นัยน์ตากลับดูเจ้าเล่ห์
"ชมเกินไปแล้วกงกง" ฮูหยินจิ้นก็มีสีหน้าและท่าทางไม่ต่างกันกับเฉิงกงกง "ข้าและลูกสาวคงต้องขอตัวไป..."
ยังไม่ทันที่ฮูหยินจิ้นจะพูดจบประโยค เฉิงกงกงก็โบกพู่ประจำตัวของเขา นางกำนัลที่ติดตามเฉิงกงกงมาก็ยืนแถวเรียงหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ฮูหยินจิ้นและลูกสาวเข้าไปด้านใน
"นี่มันอะไรกัน!!" ฮูหยินจิ้นมีน้ำเสียงไม่พอใจมาก
"ฮูหยินจิ้นอย่าเพิ่งโกรธ ข้าน้อยมิได้อยากล่วงเกินแต่มีพระกระแสรับสั่งจากฮองเฮาโดยตรงมิให้หญิงสกุลจิ้นเข้ารับคัดเลือกเป็นพระสนมขั้นสูง ข้าน้อยต้องขออภัยและขอให้ฮูหยินโปรดเห็นใจด้วย" เฉิงกงกงประสานมือด้านหน้าและก้มตัวลงต่ำ
"ขอให้ฮูหยินโปรดเห็นใจด้วย" นางกำนัลทั้งหมดคุกเข่าลง ประสานมือด้านหน้าอย่างพร้อมเพียงและยังเสียงดังจนเรียกความสนใจของผู้คนแถวนั้นได้ทั้งหมด
"นี่พวกเจ้า!!" ฮูหยินจิ้นกำมือแน่น
ฮูหยินจากตระกูลขุนนางน้อยใหญ่ และลูกสาวขุนนางที่มาเข้าร่วมคัดตัวเริ่มสนอกสนใจและจับกลุ่มซุบซิบนินทากัน
"ท่านแม่ ยอมทำตามไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ" ฮูหยินจิ้นต้องยอมจำนนต่อสถานะการณ์ ที่ตอนนี้เป็นที่สนใจมากเกินไปผิดจากแผนที่วางไว้
ในเวลานี้สองแม่ลูกไม่สมควรทำตัวโดนเด่นนักเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและแผนการใหญ่ที่วางไว้จะล้มเอาได้
เฉิงกงกงรู้ดีว่าต้องกดดันฮูหยินจิ้นอย่างไรถึงจะได้ผล และมันก็ได้ผลดีมากเสียด้วยสองแม่ลูกตระกูลจิ้นยอมทอยก่อน และด้วยนิสัยฆ่าได้หยามไม่ได้แบบฮูหยินจิ้น นางไม่ยอมให้ลูกสาวคัดเลือกร่วมกับสามัญชนเด็ดขาด
"ท่านแม่ว่าอย่างไรนะขอรับ" ชายหนุ่มหน้างดงามคล้ายคลึงกับน้องสาวของเขา ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเร็ว มือกำแน่น และใบหน้าแสดงความโกรธอย่างชัดเจน
"ฮองเฮากับพระสนมกุ้ยเฟยร่วมมือกันขัดขวางการเข้าคัดเลือกเป็นพระสนมของซูลี่" ฮูหยินจิ้นนำเรื่องมาเล่าแก่สามีและลูกชายของเธอหลังพวกเขากลับมาบ้าน
"พวกนางกล้าขัดพระราชโองการของฮ่องเต้เพื่อไม่ให้ซูลี่ของเราได้มีตำแหน่งในฝ่ายในสินะ ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยเสียจริง" ชายหนุ่มใช้สมองอันชาญฉลาดของเขาคิดหาวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขเรื่องนี้ "พรุ่งนี้ข้าจะกราบทูลต่อฮ่องเต้เอง ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไป ถ้าพวกนางชอบเป็นที่สนใจล่ะก็ข้าก็จะจัดการให้พวกนางเอง"
"ดีมากฟางชง" ฮูหยินจิ้นมีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาบ้าง เธออดทนและรอเวลานี้มานานเกินกว่าจะกลับไปเริ่มใหม่ได้
"แล้วซูลี่ไปไหนเสียแล้วล่ะ หนิงเหอ" ชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งฟังอยู่นานก็เอ่ยถามถึงลูกสาวของเขา
"คงเดินเล่นแถวบ่อปลาคราฟน่ะท่านพี่ ท่านจะรับอาหารเย็นเลยไหมท่านพี่?" หนิงเหอเพิ่งจะนึกออกว่าสามีและลูกชายของเธอยังไม่ได้กินอาหารเลยเพราะพอเหยียบเข้าประตูจวนมา นางก็รีบให้คนรับใช้เรียกมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังในทันที
"พวกเจ้าไปกินกันก่อน ข้าจะไปตามซูลี่" ชายวัยกลางคนเดินออกไปจากห้องโดยไม่รอคำตอบ
"ปลาคราฟว่ายวนเวียน เพียรหาทางออก
ใยชั่งหลอกง่าย ดายหนักหนา
เพียงเจ้าว่ายผ่าน ทางแคบมา
ก็พาลคิดว่า ได้อิสระนั้นมาครอง"
"กลอนเจ้าชั่งไพรเราะนัก" หญิงสาวที่กล่าวกลอนนั้นรีบหันหาต้นเสียง "แต่ยังขาดความสละสลวยของภาษาอีกมาก"
"ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?" ซูลี่รีบเดินไปจับมือพ่อของเธอไว้
"ก็ต้องกลับมาแล้วสิ ไม่อย่างนั้นจะมาคุยกับเจ้าตรงนี้ได้รึ?" ชายวัยกลางคนลูบหัวลูกสาวอย่างแผ่วเบา "เป็นยังไงบ้างล่ะวันนี้ เหนื่อยรึเปล่าลูก?"
"ข้าว่าท่านพ่อคงได้ยินเรื่องมาจากท่านแม่แล้ว แต่ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยค่ะท่านพ่อ" ซูลี่ชอบสวนใหม่และบ้านหลังใหม่ที่ได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ เพราะเธอสามารถพาพ่อของเธอเดินเล่นรอบสวนได้ทุกเย็นและยังเลี้ยงสัตว์ได้อีกหลายชนิด เมื่อเทียบกับบ้านเก่าที่พวกเขาเพิ่งจะจากมาเดือนก่อนนี้เอง
"แต่แม่ของเจ้าคงจะเหนื่อยมาก ดูโกรธเอาเรื่อง ธาตุไฟขึ้นมาเต็มหน้าเลย" ชายวัยกลางคน ทำสีหน้าท่าทางเป็นเรื่องขำขันจนซูลี่เองก็ยิ้มตามไปด้วย
"ข้าต้มยาเสริมธาตุเย็นให้ท่านแม่ดื่มแล้วเมื่อบ่าย คืนนี้ท่านพ่อก็อย่าลืมบอกให้ท่านแม่ดื่มอีกนะเจ้าคะ ถ้าท่านแม่ป่วยขึ้นมาท่านพ่อจะเสียงชื่อได้ เป็นถึงหมอเทวดา นามจิ้นฮุ่ยหยูนะเจ้าคะ" ซูลี่ยิ้มแย้มแต่แววตาเศร้าสร้อย แม้คำพูดจะเป็นการหยอกล้อกับพ่อของเธอแต่นำ้เสียงกลับเรียบนิ่ง
"ซูลี่ พ่อรู้ว่าเจ้า..." ฮุ่ยหยูพยายามจะพูดบางอย่างกับลูกสาวแต่เขาก็โดนเธอแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาทและผิดนิสัยของนาง แต่เขาก็เลือกที่จะนิ่งเฉยและรอฟัง
"ท่านพ่อ วันนี้บรรยากาศดีนะเจ้าคะ ดอกไม้ในสวนก็ผลิบาน น้ำฝนยังเกาะอยู่บนดอกไม้จากฝนเมื่อเช้า พอแดดยามเย็นกระทบกับน้ำ ก็ส่องแสงแวววาวเป็นภาพที่งดงามมากเลยนะเจ้าค่ะ" ซูลี่รู้ดีว่าเธอไม่ควรทะลุกลางปล้องกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกับพ่อของเธอเองแต่เธอไม่อยากได้รับคำชี้แนะในเวลานี้และพ่อของเธอก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่ลูกสาวเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว
สองพ่อลูกเดินเล่นในสวน ชมดอกไม้อันงดงามดอกไม้จำนวนมากผลิบาน ดอกไม้ทั้งสวนล้วนมีแต่ดอกไม้มงคลทั้งสิ้นไม่ว่าจะหลานฮวา(กล้วยไม้) เหลียนฮวา(ดอกบัว) จวี๋ฮวา(เบญจมาศ) กุ้ยฮวา(หอมหมื่นลี้) หมู่ตานฮวา(โบตั๋น) และกุหลาบสี่ฤดู คนรับใช้กางร่มคันใหญ่เพื่อป้องกันน้ำฝนที่ยังเกาะกับใบไม้อยู่ให้กับทั้งคู่
"ท่านพ่อค่ะ ลูกว่ากุ้ยฮวาในสวนออกดอกมากไปจนดูรก ลูกเก็บ ไปประดับเรือนดีไหมเจ้าะ?" ซูลี่รู้สึกได้ถึงกลิ่นของกุ้ยฮวาที่คละคลุ้งจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นกลิ่นชุนทีเดียว
"แล้วแต่เจ้าเถอะ" ฮุ่ยหยูจ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่ราวกับจะไม่ได้มองเธออีกต่อไปแล้ว
"ท่านพ่อครับ ท่านแม่รอท่านกินข้าวอยู่" ฟางชงพร้อมกับคนรับใช้ใกล้ชิดเดินเข้ามาหาพ่อและน้องสาวของเขา
"ฟางชง เจ้าเองก็พูดคุยกับน้องเสีย ก่อนที่โอกาสจะหมดไปนะ" ฮุ่ยหยูเดินมาตบบ่าลูกชายก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนไป
"ซูลี่ เรามากินข้าวกันเถอะ แค่สองคนพี่น้อง ข้าให้หวั่นเอ๋อจัดสำรับที่ศาลาริมบ่อปลาคราฟแล้ว มาเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด" ฟางชงเดินมาจับมือน้องสาวของเขาให้เดินตามเหมือนแต่ก่อนตอนที่พวกเขายังสนิทสนมกัน แต่ซูลี่กลับออกแรงฝืนไว้
"ท่านพี่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว แค่ไปกินข้าว ข้าสามารถเดินไปเองได้แล้ว" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฟางชงก็ปล่อยมือจากมือซูลี่ เธอเดินนำเขาไปยังศาลาริมบ่อน้ำ
อาหารมื้อนี้แม้จะรสชาติถูกปากทั้งสองพี่น้องเหมือนอย่างเคยแต่บรรยากาศกลับดูเงียบจนน่าอึดอัด ซูลี่กินน้อยจนนับคำได้ ส่วนฟางชงก็พยายามที่จะคีบอาหารใส่ชามของซูลี่เพื่อให้เธอกินเยอะขึ้น
"ท่านพี่คิดจะขุนข้าให้อ้วนเป็นหมูหรือเจ้าคะ?" ซูลี่เอ่ยถาม ในขณะที่ฟางชงคีบหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ใส่ชามของเธอ เขาพยายามเดาอารมณ์น้องสาวมาสักพักแล้ว
"หวั่นเอ๋อ ช่วยหยิบชามใหม่ข้าทีนะ ส่วนชามนี้ข้ายกให้เจ้านะ" ซูลี่หยิบชามข้าวของเธอที่กินข้าวไปเพียงสองคำและกับข้าวที่ฟางชงคีบมาใส่ชามเธอจนล้นให้กับสาวใช้คนสนิทแทน
"หากท่านพี่อยากพูดอะไรกับข้าก็พูดมาเถอะเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปแล้ว ท่านพี่คงหาโอกาสได้ยากที่จะได้คุยกับข้าหลังจากนี้" ซูลี่ใบหน้าเรียบเฉย และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
"ข้าอยากจะเตือนเจ้า แม้ว่าจะเข้าวังไปเป็นสนมของ ก็อย่ายอมให้เขาล่วงเกินเจ้าเป็นอันขาด ทำแค่หน้าที่ของเจ้าก็พอ" ฟางชงกังวลเรื่องนี้มากแม้จะรู้ว่าเธอจะไปเป็นสนมซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ซูลี่วางตระเกียบลงบนชามข้าว แม้จะพยายามแค่ไหนที่จะซ่อนอารมณ์แต่เธอก็ซ่อนความโกรธไว้ไม่เคยมิด
"ท่านพี่ ท่านกับท่านแม่ต้องการให้ข้าไปเป็นสนมของฮ่องเต้ แล้วข้าจะปฏิเสธเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร คิดว่าข้าอยากจะพลีกายให้กับชายที่ข้าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าและไม่ได้รักอย่างนั้นรึ!" พูดจบซูลี่ก็คว้าพัดของเธอและลุกออกจากโต๊ะกินข้าวในทันที
ฟางชงรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เขาได้ขอให้น้องสาวทำนั้นเห็นแก่ตัวและไม่ใส่ใจถึงความรู้สึกของนางเลยแต่เพื่อท่านแม่และวงศ์ตระกูลของเขา เขาเลือกที่จะทำเช่นนี้แม้จะอดเป็นห่วงน้องสาวที่รักอย่างมากไม่ได้ก็ตาม
หลังจากซูลี่ลุกออกไปจากโต๊ะอาหาร เธอรู้สึกอึดอัดใจจนต้องโยนพัดไม้ไผ่สีดำของเธอกระเด็นไปไกลจนปักเข้ากับกำแพงหิน ลมปราณที่แปรปวนจากความโกรธทำให้เธอควบคุมลมปราณกำลังไว้ไม่ได้เลย พอได้ระบายความโกรธไปบ้างแล้วซูลี่ก็ไปเก็บดอกไม้เพื่อให้ใจสงบลง
ในขณะหวั่นเอ๋อไปหาพัดเล่มใหม่ให้เธอและไปตามเก็บพัดเล่มเดิมพร้อมกับเรียกคนมาซ่อมแซ่มกำแพง ซูลี่เก็บดอกไม้ตั้งแต่เย็นจนตอนนี้ดวงอาทิยต์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว อากาศกลางคืนหนาวเย็นจัดพวกสาวใช้เริ่มตัวสั่นกันหมด แม้แต่หวั่นเอ๋อก็ด้วย มีแค่ซูลี่เท่านั้นที่ยังดูสบายดีไม่มีอาการหนาวเย็นใดๆเลย
"คะ...คุณหนู...เจ้า...ค่ะ" หวั่นเอ๋อหนาวสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกันระหว่างเปล่งเสียง
"ข้าลืมไปเลย พวกเจ้าไปพักเถอะ วางดอกไม้ไว้ในห้องนอนข้าแล้วบอกห้องต้มน้ำให้ต้มน้ำให้พวกเจ้าอาบด้วยเป็นคำสั่งจากข้า" เหล่าสาวใช้ช่วยกันยกดอกไม้มากมายไปยังห้องของซูลี่
หลังจากที่เหล่าสาวใช้แยกย้ายกันไปอาบน้ำแล้ว ซูลี่ยังคงจัดดอกไม้ลงแจกันและตัดแต่งกิ่งหลานฮวาและหมู่ตานฮวา อย่างปราณีต เธอไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู
'ก๊อก ก๊อก'
"ซูลี่นี่แม่เองนะ" หนิงเหอเปล่งเสียงมาจากอีกฝั่งของประตู แต่ไม่ทันที่ซูลี่จะตอบรับอันฉีก็เปิดประตูออก
"นี่เจ้ายังไม่แต่งตัวอีกรึ? เจ้าควรเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอด หวั่นเอ๋อ!!" หนิงเหอตะโกนเรียกสาวใช้ส่วนตัวของซูลี่ ไม่กี่วินาเธอก็ปรากฏกลายหลังหนิงเหอทันที "มั่วทำอะไรอยู่ รีบพาคุณหนูไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว"
"ไม่ต้องหวั่นเอ๋อ" ซูลี่ห้ามหวั่นเอ๋อไว้ก่อนที่เธอจะออกตัว "ท่านแม่ลูกไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ? ลูกไม่อยากมีชีวิตที่เหมือนติดอยู่ในกรง"
หนิงเหอนิ่งเงียบ ซูลี่เองก็เช่นกัน ทั้งสองเงียบอยู่นาน จนเหล่าคนรับใช้ต่างพากันเกร็งและอึดอัดไปหมด ปกติแล้วตระกูลจิ้นไม่ได้มีบรรยากาศในครอบครัวตึงเครียดแบบนี้ ครอบครัวนี้เคยเป็นสุข เรียบง่ายและมีแต่รอยยิ้ม
"ตามมา" หนิงเหอเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนและเดินออกไปกลางสวนดอกไม้สวย น้ำค้างกระทบแสงแดดยามเช้า ทำให้ดอกไม้สีแดงเหล่านี้เหมือนทับทิมที่ส่องแสง
"สวนดอกไม้นี่ราวกับประดับทับทิมที่มีอยู่ในโลกนี่ทั้งหมดเลยใช่ไหม?" หนิงเหอพูดขึ้นเมื่อซูลี่เดินมาใกล้
"ท่านจะบอกอะไรท่านแม่" ซูลี่ไม่เข้าใจท่าทางที่นิ่งสงบของหนิงเหอในตอนนี้เลยสักนิด
"จวนนี้เคยเป็นจวนที่ข้าอยู่ตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีกันห้าสิบสามคนทั้งหมดในจวน" หนิงเหอรำลึกถึงญาติพี่น้องและเหล่าคนรับใช้ที่สนิท "สมัยยังเด็กข้าเคยเล่นน้ำกับแม่ของซูเฉิน อีกวันเราก็มีไข้ ท่านพ่อของข้าดุข้าไประหว่างที่เขาเช็ดตัวให้ข้า"
น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลรินอาบแก้มของหนิงเหอ ซูลี่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นน้ำตาของผู้เป็นแม่เลยสักครั้ง ความแข็งกร้าวก่อนหน้าอ่อนลงไปอย่างชัดเจน
"แต่หลังจากที่พวกเราถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ห้าสิบสามชีวิตในตอนนั้นก็เหลือเพียงแค่ข้าและซูเฉิน" ดวงตาของหนิงเหอดุดันและเต็มไปด้วยความแค้น "เจ้าเคยสงสัยใช่ไหม เหตุใดดอกไม้ที่ควรมีสีขาวในสวนแห่งนี้ถึงเป็นสีแดง ส่งกลิ่นหอมอบอวนจนแทบจะฉุน แม้แต่ดอกบัวในสระน้ำก็ยังเป็นสีแดง นั้นก็เพราะว่าเลือดของห้าสิบเอ็ดชีวิตนั้นไง ที่ไหลนองไปทั่วสวนแห่งนี้ราวกับแม่น้ำเลือด!!" หนิงเหอที่เคยเก็บซ่อนอารมณ์ได้ดีในตอนนี้กลับมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้น ระดับเสียงดังพอให้ทุกคนในจวนได้ยิน น้ำตาแห่งความแค้นไหลอาบแก้ม
"นายหญิงขอรับ ม้าเร็วของท่านฟางชงมาส่งข่าว จะมีรถม้ามารับคุณหนูซูลี่ภายในบ่ายนี้ขอรับ" ชายรับใช้รีบบอกก่อนจะออกไป โดยไม่เงยหน้ามองฮูหยินของจวน
"หวั่นเอ๋อ! รีบพาคุณหนูไปแต่งตัวและเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย" หนิงเหอเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวของนาง ไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ
ซูลี่ยืนนิ่งพร้อมกับความรู้สึกสงสารและเห็นใจคนตาย แต่ความรู้สึกที่พาเธอไปเตรียมตัวและมายืนที่หน้ารถม้านั้นเป็นความคิดที่อยากทำให้หนิงเหอหายจากความคับแค้นที่นางสั่งสมมานานมากกว่าอายุของฟางชง