webnovel

บทที่ 1 ทหารผู้นั้น

บทที่ 1

รถม้าหรูหราขนาดใหญ่พร้อมกับทหารและขันทีรับใช้หลายสิบคน หยุดลงที่หน้าจวนตระกูลจิ้น ชายหนุ่มท่าทางสง่างามและขันทีหนึ่งคน เดินเข้ามาในจวนพร้อมกับพระบรมราชโองการผ้าไหมสีทอง หนิงเหอและซูลี่ พร้อมด้วยบ่าวรับใช้ทั้งหมดมายืนรอเรียงกันอย่างเป็นระเบียบร้อย

"จิ้นซูลี่ รับราชโองการ" ขันทีประกาศ

"หม่อมฉันจิ้นซูลี่ น้อมรับราชโองการ" ซูลี่เดินไปด้านหน้าคุกเข่าลง ประสานมือกันยื่นไปด้านหน้าและก้มลงแนบพื้น ฮูหยินจิ้นและข้ารับใช้ในจวนก็ทำแบบเดียวกันอยู่ด้านหลัง

"จิ้นซูลี่ ด้วยความงดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อย ฉลาดและมากความสามารถ จนเป็นที่เลื่องลือ ให้เชิญเข้าวังเป็นสนมในจักรพรรดิกุนหรง จบราชโองการ" ขันทีประกาศเสียงดังก้อง

"หม่อนฉันจิ้นซูลี่ น้อมรับราชโองการ" ซูลี่ตอบรับด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้น

"พระสนม โปรดเตรียมตัวด้วย" ขันทีแจ้งและส่งราชโองการให้ซูลี่รับไว้

"เชิญเฉินกงกง รับน้ำชาทางด้านนี้" หนิงเหอรีบเชิญเฉินกงกงเข้าไปรอด้านในห้องรับรองก่อน

ซูลี่มองดู หวั่นเอ๋อสั่งการให้คนรับใช้ในจวนขนของใช้ส่วนตัวของเธอขึ้นหลังรถม้าอย่างระมัดระวัง และเริ่มมองดูจวนตระกูลจิ้นที่เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็ต้องจากไปซะแล้ว

"พร้อมแล้วค่ะคุณหนู" หวั่นเอ๋อ เดินมาแจ้งหลังจากตรวจดูของที่ยกขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

"บอกท่านแม่กับเฉินกงกงด้วยนะ" ซูลี่เดินไปยืนมองรถม้า

"ซูลี่" หนิ่งเหอเรียกลูกสาว "อย่าลืมว่าลูกต้องทำอะไร" นางยื่นดอกกุหลาบสีแดงเข้มเหมือนเลือดที่เธอตัดมาจากสวนให้ลูกสาวพร้อมกำชับอย่างดี

"ค่ะท่านแม่ ลูกไปก่อนนะคะ" ซูลี่คารวะหนิงเหอ ก่อนจะหันกลับมามองที่รถม้า

คนควบคุมคับรถม้าเปิดม่านบังเพื่อให้ซูลี่ขึ้นไปได้สะดวก แต่หวั่นเอ๋อที่ควรอยู่ประคองซูลี่กลับไม่อยู่ประจำที่ เพราะมีกล่องสัมภาระใบหนึ่งทำท่าจะร่วงลงมา เธอรีบวิ่งไปรับมันก่อนที่จะร่วงไว้ได้

"จับมือข้านะครับ พระสนม" ซูลี่ที่จ้องมองหวั่นเอ๋ออยู่ก็หันกลับมา มองหน้าชายที่ยื่นมือให้เธอ เขามีใบหน้าคม ดวงตาที่จ้องเธอราวกับจิ้งจอกจ้องมองกระต่าย และมือของเขาก็นุ่มนิ่มไม่เหมือนทหารเลยสักนิดเดียว

ผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนถูกวางบนฝ่ามือของทหารผู้นั้น ก่อนที่มือของซูลี่จะวางลงไปบนมือเขา กฎการห้ามโดนตัวพระสนมในฮ่องเต้เป็นที่เคร่งคัดมาก แต่ที่ซูลี่ไม่ได้ท้วงติงทหารคนนี้เป็นเพราะเธอคิดว่าเขาคงไม่ฉลาดเท่าไร ถึงทำแบบนี้ทั้งทีรู้ว่าเธอกำลังจะเข้าวังไปเป็นพระสนม "ผ้าเช็ดหน้านั้นข้ายกให้เจ้า"

ที่จริงแล้วซูลี่เสียดายผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไม่น้อยเพราะมันคือผืนโปรดของเธอ เป็นผ้าที่เธอถักทอด้วยตัวเองออกมาดีที่สุด แต่ในเมื่อมันโดนมือของคนอื่นแล้ว เธอก็ไม่ต้องการมันอีก

"นายท่าน คุณหนูจิ้นไม่สมควรสัมผัสกับชายใด แม้จะเป็นเพียงการประคองขึ้นรถม้า ด้วยสถานะของคุณหนูในตอนนี้ ขอนายท่านโปรดรักษาระยะห่างจากคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ" หวั่นเอ๋อที่รีบกลับมาหาคุณหนูของเธอก็ต่อว่านายทหารผู้นั้นแทนและตามซูลี่ขึ้นรถม้าไป

ระหว่างที่รถม้าแล่นไปตามถนน ซูลี่หยุดรู้สึกไม่ได้เลยว่าเธอกำลังจะกลายเป็นนกน้อยที่ติดอยู่ในกรงทอง ถูกตกแต่งให้สวยงาม เลี้ยงดูอย่างดี ฝึกฝนให้ร้องเพลง มีคนรับใช้เก็บกวาดทำความสะอาดกรงให้ แต่ทั้งชีวิตนอกจากรงแล้วไม่รู้จักที่อื่นใด ต้องคอยเรียกร้องความสนใจถึงจะได้อาหารดีๆ

"ทำไมรถม้าถึงหยุดแล้วล่ะ ยังไม่ถึงวังสักหน่อย?" หวั่นเอ๋อตั้งคำถามหลังจากแหวกม่านของรถม้าดูแล้วก็พบว่าที่รถม้าจอดไม่ใช่ในวัง แต่เป็นวัดกานเย่ที่อยู่ใกล้กับวังแทน

"คุณหนูจิ้น ฮองเฮามีรับสั่งให้ท่านสวดมนต์ที่วัดกานเย่เป็นเวลาสองชั่วยาม(4ชั่วโมง) ก่อนเข้าถวายตัวกับฮ่องเต้ขอรับ" คนขับรถม้าแจ้งจุดประสงค์ที่เขาจอดรถม้าที่นี่

ซูลี่สังเกตุว่ามีทหารสองคนหายไปจากขบวนหนึ่งในนั้นคือทหารที่ไม่กลัวจะถูกตัดหัวจากการประคองเธอขึ้นรถม้า แต่เธอไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะสำคัญเท่ากับการต้องนั่งสวดมนต์ถึงสองชั่วยาม

"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮองเฮาดูท่าทางจะเป็นปัญหากับแผนการของเรานะเจ้าค่ะ" หวั่นเอ๋อยื่นธูปที่เพิ่งจุดเสร็จให้ซูลี่ เธอปักที่กระถางธูปแล้วเริ่มทำการสวดมนต์ ก่อนจะพูดเธอค่อนข้างมั่นใจว่าบริเวณนั้นไม่มีคนอยู่เลย

ซูลี่ไม่ได้พูดอะไรและไม่แสดงความรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอะไรทั้งสิ้น หวั่นเอ๋อก็ร่วมสวดมนต์ด้วย

-

"คุณชายจื้อ ไม่เจอกันนายเลยนะขอรับ" พนักงานต้อนรับของหอสุราเลี่ยงเฟิ่ง หอสุราที่หรูหราและใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง เข้ามาตอนรับลูกค้าขาประจำกว่าสิบปีที่จ่ายหนักที่สุดและยังไม่มีใครทำลายสถิติเปย์หนักกว่าเขาคนนี้มาก่อน "ห้องชั้นบนสุดข้าไปปัดกวาดให้คุณชายจื้ออย่างสม่ำเสมอเลยครับ"

"เจ้าใส่ใจข้าดีนะเจาจง นี่รางวัลของเจ้า" คุณชายจื้อหยิบถุงเงินส่งให้เจาจง

"แน่นอนสำหรับคุณชายจื้อขอรับ" เจาจงรีบรับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

"จินเยว่อยู่ไหม?" คุณชายจื้อถามหาผู้ดูแลหอสุรา ที่เขามีข่าวลับๆ ด้วยว่าเป็นชู้กับนาง

"ข้าน้อยจะไปตามให้ขอรับ เชิญคุณชายจื้อและผู้คุ้มกันไปรอที่ห้องได้เลยขอรับ" เจาจงเดินนำคุณชายจื้อและผู้ติดตามอีกคน

"ข้าน้อยจะรีบแจ้ง นายหญิงจินเยว่ให้นะขอรับ" เจาจงปิดประตูบานเลื่อนจนสนิทและรีบไปตามหานายหญิงแห่งหอสุรามา

"มานั่งได้แล้วคุณชายจื้อ เดี๋ยวจินเยว่ที่รักของเจ้าก็มา" คนคุ้มกันที่มาด้วยกันเลิกทำท่าทางขึงขังแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง ดื่มเหล้าที่ถูกเตรียมไว้อย่างสบายใจและไม่ระมัดระวังอะไรเลย

"ฝ่าบาทดื่มเหล้าโดยไม่ตรวจสอบก่อนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ" คุณชายจื้อที่ท่าทางดูขี้เล่คนเมื่อกี่กลายเป็นขึงขังแทน และเข้าไปแย่งจอกสุรามาตรวจสอบ ตามด้วยเหล้าในไห

"อยู่ข้างนอกแบบนี้เจ้าต้องเรียกชื่อที่เตี๊ยมกันสิ เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก" คนคุ้มกันที่ปกปิดสถานะของตัวเองเตือน "อีกอย่างตอนนี้เจ้าเป็นคนคุณชาย ข้าเป็นคนคุ้มกันเจ้า"

"ตามใจเจ้าฟู่เหิง" คุณชายจื้อที่ตรวจสอบยาพิษในไหสุราและจอกสุราแล้วก็เลื่อนไปตรงหน้าคนคุ้มกันปลอมๆ ของเขา "ได้คุยกับคุณหนูจิ้นแล้วเป็นยังไง?"

"เรียกว่าคุยคงไม่ได้ นางเอาแต่ทำหน้านิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ข้ายั่วโมโหไปขนาดนั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรเลย มีแต่คนรับใช้นางที่เข้ามาต่อว่าข้า" จักรพรรดิกุนหรงปลอมตัวมาเป็นคนคุ้มกันของคุณชายจื้อและใช้ชื่อปลอมว่าฟู่เหิง

เขาอยากรู้ว่าจิ้นซูลี่เป็นคนอย่างไร ทำไมเสด็จแม่ของเขาถึงไว้ใจคนตระกูลจิ้นถึงกับขนาดอวยยศให้รวดเร็ว ทั้ง จิ้นฮุ่ยหยู ที่อายุไม้น้อยแต่ก็ได้เป็นแพทย์หลวงพิเศษประจำตัวจักรพพรดิอย่างเขา จิ้นฟางชง คุณชายและผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลจิ้น เขาฉลาดมากความสามารถเก่งกาจรอบด้านสมกับตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการและเลขาส่วนตัวของเขาแถมหน้าตายังคล้ายสตรี สวยมากพอที่จะเป็นสนมของเขาได้อีกคน แต่เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นต่ำสุดมาสูงสุดมันก็ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ดี สุดท้ายจิ้น ซูลี่ หน้าตาสวยมาก สวยจนเขายังต้องยอม และดวงตาสีซีดนั้นทำให้เขาสงสัยว่าที่พี่ชายของนางอ้างไว้ว่านางจะช่วยเขาจากปัญหาการวางยาพิษที่ฆ่าพี่ชายของเขาฮ่องเต้องค์ก่อนหน้าไปถึงสองคนและเขาที่รอดมาได้จากการถูกวางอย่าครั้งก่อนเพราะดวงดีนั้นจะเป็นเรื่องจริง

"ขออภัยท่านชายจื้อ จินเยว่ค่ะ" เสียงหวานดังมาจากด้านนอก "ข้านำขนมและเหล้าบ๊วยมาด้วยเจ้าค่ะ"

สองคนในห้องรีบปรับท่าทางของตัวเองให้สมกับสถานะที่ปลอมมาทันที กุนหรงเดินไปเปิดประตู ขณะที่คุณชายจื้อนั่งยิ้มร่าอยู่ที่โต๊ะ

ระหว่างรอพนักงานของหอสุรายกอาหารและสุรามาวางไว้บนโต๊ะ จินเยว่ก็ยิ้มหวานกับคุณชายจื้ออยู่ตลอดจนพนักงานทยอยกันออกไปหมดและประตูปิดสนิท

"แย่แล้วเจ้าค่ะท่านกุนหรง นักฆ่าจากในวังกำลังไปที่วัดกานเย่เจ้าค่ะ" สีหน้าของจินเยว่เปลี่ยนทันทีเหมือนกดสวิทต์ไฟ รายงานข่าวด่วนที่นางเพิ่งได้รับมา

-

ซูลี่และหวั่นเอ๋อสวดมนต์อย่างสงบจนครบสองชั่วยาม แต่ขาชาและปวดจนแทบจะลุกไม่ไหว ต้องนั่งนวดขากันอีกสักพักถึงจะกลับไปยังรถม้าได้

"คุณหนูจิ้น เจ็บขารึขอรับ?" กุนหรงที่ตอนนี้มารออยู่กับรถม้าเหมือนเขาไม่ได้หายไปไหนมา ถามขึ้นเมื่อเห็นเธอมีท่าทางการเดินไม่ปกติ

"นิดหน่อย" ซูลี่ตอบสั้นๆ ไม่มองหน้ากุนหรงด้วยซ้ำ

เขายื่นมือให้เธอจับเหมือนก่อนหน้า แต่ครั้งนี้หวั่นเอ๋อไม่ได้กำลังวุ่นกับสัมภาระ เธอเลยสามารถประคองนายหญิงของเธอขึ้นไปได้ และหันมามองค้อนใส่กุนหรง

เขายิ้มอย่างพอใจแม้จะหน้าแตกเพราะเธอไม่ยอมให้เขาช่วยประคองขึ้นรถม้า "กลับวังกันเถอะ" เขาหันไปออกคำสั่งกับทุกคนที่อยู่รอบรถม้า

"คุณหนูเจ้าค่ะ" ทันทีที่รถม้าขยับตัวออก หวั่นเอ๋อก็รีบหันมาเรียกคุณหนูของเธอ

"ข้าเห็นแล้ว แต่ทำเป็นไม่เห็นต่อไปเถอะ" สองสาวสังเกตเห็นรอยเลือดที่เช็ดออกไปไม่หมดจากตัวของกุนหรงและทหารหลายคน

ซูลี่ไม่รู้ว่าเลือดพวกนั้นเป็นของใครแต่ที่เธอแน่ใจคือ เส้นทางที่เธอต้องเดินต่อไปจากนี้ไม่ราบเรียบ และเธอกับหวั่นเอ๋อต้องเอาชีวิตรอดออกมาให้ได้แบบครบสามสิบสอง

หลังจากเข้ามาในวังแล้ว ซูลี่ถูกพาตัวไปเตรียมเข้าถวายแบบลัดขั้นตอนอย่างปัจจุบันทันด่วนมาก ตามคำสั่งของจักรพรรดิ นางกำนัลหลายคนซุบซิบนินทาระยะเผาขนให้ซูลี่ได้ยิน และเธอยังรู้สึกสับสนกับข้อบังคับต่างๆ รวมถึงมารยาทที่ควรปฏิบัติเหมือนอยู่หน้าจักรพรรดิ ที่เหล่านางในและขันทียัดเข้าหัวเธอในเวลาอันน้อยนิด

กว่าที่ซูลี่จะได้ความสงบเพื่อเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาก็เมื่อเธอต้องอยู่ในชุดสีแดงสดในตำหนักกันลู่ นั่งคุกเข่าอยู่หน้าท่านบรรทม แต่เพราะไปคุกเข่าสวดมนต์มานานถึงสองชั่วยามทำให้ซูลี่คุกเข่าได้ไม่นาน

เธอกวาดสายตาสำรวจให้แน่ใจว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้อย่างแน่นอน ก่อนสูดหายในเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกมาจนหมด

"แง๊!!!"

"ทนได้แค่นี้แหละ" ซูลี่นอนลงไปกับพื้นและเหยียดขาออกมา มือเรียวบีบนวดไปทุบต้นขาไป รู้สึกได้เลยว่าที่แม่ฝึกเธอมานั้นใจดีกว่ามาปฏิบัติจริงมากเลย

ระหว่างที่ซูลี่บ่นงอแงและนอนกลิ้งไปมากับพื้น ก็มีสายตากำลังจ้องมองเธอผ่านฉากกั้นด้านหลังแท่นบรรทม มุมปากของเขายิ้มและพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ วันนี้ที่เขาได้เจอเธอทั้งสองครั้ง เธอแสดงออกว่าเป็นสตรีที่สง่างาม กิริยามารยาทดี นิ่งสงบราวกับน้ำในบ่อลึก แต่ตอนนี้เธอไม่ต่างจากเด็กสาววัยอ่อนกว่าที่งอแงและขี้บ่นเป็นเด็กเอาแต่ใจ

"เมื่อไรฮ่องเต้จอมเจ้าชู้จะมา หิวแล้วเนี่ย" ซูลี่พูดออกไปเพราะคิดว่าไม่มีใครได้ยิน

แต่ขันทีรับใช้ส่วนพระองค์ที่อยู่กับกุนหรงในตอนนี้ ถึงกับจะปรี่ออกไปว่ากล่าว แต่เขาก็หยุดไว้ก่อน นอกจากจะไม่ได้ถือโทษโกรธซูลี่เลยสักนิด ออกจะรู้สึกว่าซูลี่จริงใจและไม่มีพิษภัยสำหรับเขาเลยสักนิดเดียว

"ไปเอาของว่างมาที จางหมิ่น" กุนหรงมองดูซูลี่ เธอดูหิวจริงๆ เขาหันไปสั่งขันทีรับใช้

"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" จางหมิ่นรับคำและรีบไปที่ห้องเครื่อง

ซูลี่นอนแพร่บนพื้นวาดแขนขาไปกันพื้นเหมือนตั้งใจช่วยนางในถูกพื้นที่สะอาดสะอ้านมากอยู่แล้ว จากนั้นก็ขยับมานอนตระแคงชันขาขึ้นข้างหนึ่งและชี้นิ้วไปที่แท่นบรรทมก่อนจะพูดออกมา "หึ! ฉันจะไม่ไปขึ้นไปบนเตียงนั้นแน่ๆ" สายตาราวกับตั้งใจจะต่อสู้กับแท่นบรรทมตรงหน้า

กุนหรงที่เห็นกิริยามารยาทของซูลี่ก็ตกตะลึงเพราะเขาไม่เจอผู้หญิงที่มีท่าทางแบบนี้มาก่อน สตรีในวังทุกคนล้วนมากิริยามารยาทเรียบร้อย แม้จะไม่สง่างามเท่าฮองเฮาแต่ก็ไม่มีใครทำท่าทางประหลาดได้อย่างซูลี่อีกแล้ว เขาเกือบหลุดหัวเราะเสียงดังหลังจากที่ยินซูลี่คุยกับแท่นบรรทม

หลังจากคุยกับแท่นบรรทมเป็นวรรคเป็นเวรและเดินวนรอบแท่นบรรทมอีกสองสามรอบแล้ว ซูลี่ก็เบื่อ เธอจัดแจงเสื้อให้เรียบร้อยและกลับมานั่งคุกเข่าที่เดิม แต่ก็ไม่เกินสามนาทีเธอก็เบ้ปากแล้วเริ่มบ่น "เมื่อไรฮ่องเต้จอมเจ้าชู้จะมานะ รอเมื่อยแล้วง่า~~"

"มาแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" จางหมิ่นปรากฏตัวพร้อมกับขนมในถาดหลายชนิด

"อืม" กุนหรงยังไม่ละสายตาจากซูลี่ จางหมิ่นที่รู้ใจเจ้านายดีก็วางถาดขนมไว้ที่โต๊ะบริเวณนั้นก่อนจะหายออกไปรอนอกห้อง

"หิวอ่า~~" ซูลี่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "มาได้แล้วฮ่องเต้!!"

"เจ้ายังไม่ได้รับการแต่งตั้งยศก็ออกคำสั่งฮ่องเต้ซะแล้วงั้นหรือ?" กุนหรงหยิบจานขนมหนึ่งใบจากถาดขนมที่จางหมิ่น เดินมาที่แท่นบรรทมแล้วนั่งลง

"คารวะฝ่าบาท หม่อนฉันจิ้นซูลี่เพคะ" เพียงแค่เห็นชุดสีทองลายมังกร ซูลี่คำนับลงไปกับพื้นและไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าตาของจักรพรรดิกุนหรงเลย

"ตามสบายเถอะ" กุนหรงใช้มือที่ว่างอยู่ตบลงบนที่ฟูกข้างตัว เขาอยากจะรู้ว่าซูลี่จะทำอย่างที่ประกาศไว้ได้ไหม "มานี่สิ"

ซูลี่ยังคงอยู่ในท่าทางเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน "ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องเพคะ ขอฝ่าบาทรับฟังหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ" น้ำเสียงของซูลี่จริงจังมาก ทำให้กุนหรงที่เฝ้าสังเกตุซูลี่มาทั้งวันสงสัยว่าซูลี่ต้องการอะไร

ในตอนแรกเขาคิดว่าเธอเป็นสตรีที่สงบเสงี่ยมอยู่ในโอวาท แต่เมื่อกี่พอได้เห็นท่าทางของเธอเขาก็คิดว่าจริงๆ แล้วเธอคงเป็นคนน่ารักสดใส และจริงใจ ทั้งสองด้านที่กุนหรงได้เห็นจากตัวซูลี่ไม่มีด้านไหนที่บ่งบอกว่าเธอฝักไฝ่ในอำนาจเลย ความต้องการมาเป็นสนมและอำนาจน่าจะมาจากความต้องการของพี่ชายเธอมากกว่า

แต่พอมาตอนนี้เธอมีน้ำเสียงจริงจัง กล้าขอร้องจักรพรรดิอย่างเขา ทั้งทีเจอกันครั้งแรกและเธอยังไม่ได้รับการแต่ตั้งยศอย่างถูกต้องก็ไม่ต่างจากเป็นคนธรรมดา

"หึ! คนตระกูลจิ้นนี้ ข้อเรียกร้องเยอะเหลือเกินนะ" กุนหรงมีสีหน้าเอื้อม แต่ก็ยอมรับฟัง "ไหนลองว่ามาสิ?"

"อย่างที่ฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้วว่าที่หม่อมฉันถูกส่งมาเป็นสนมของพระองค์เพราะไท่เฮาต้องการหาตัวคนร้ายที่วางยาพิษองค์จักรพรรดิเฟยหรงและฟางหรง รวมทั้งองค์ฮ่องเต้ด้วย หากหม่อมฉันช่วยฝ่าบาท หาตัวคนร้ายได้แล้ว ขอฝ่าบาทช่วยให้หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระที่หัวเมืองที่สงบสุขด้วยเถอะเพคะ"

"ดีจริงๆ พอเห็นข้าตามใจเข้าหน่อย พวกเจ้าก็เรียกร้องมากมายจนน่ารำคาญ" กุนหรงลุกขึ้นยืนและเดินวนรอบซูลี่ที่คุกเข่าแนบพื้น เขาเจอความเยอะของฟางชงมามากมายและคิดว่าซูลี่คงจะว่าง่ายแต่กลายเป็นเรียกร้องมากกว่าเสียอย่างงั้น

"หม่อมฉันไม่ได้เรียกร้องแต่กำลังขอร้องฮ่องเต้ผู้เป็นที่รักของประชาชน ฝ่าบาทไม่สามารถหาผู้ที่มีความสามารถแบบหม่อมฉันมาได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน เพียงแค่ฝ่าบาทรับปากหม่อมฉันก็ยินดีจะกินยาพิษแทนฝ่าบาทอย่างเต็มใจ แต่หากพระองค์ไม่รับปาก หม่อมฉันจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ลุกไปไหนเพคะ" ซูลี่ใช้วิธีการพูดที่หนิงเหอสอนมาแต่ผิดจุดประสงค์ที่คนสอนตั้งใจมา

"คนตระกูลจิ้นนี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ" กุนหรงเดินกลับมานั่งที่แท่นบรรทมต่อ เขาเงียบและรอดูว่าซูลี่จะทนได้สักแค่ไหน

เวลาผ่านไปครึ่งคืนหรือราวสามชั่วยามซูลี่ก็ยังคงคุกเข่าแนบพื้นไม่ได้ขยับไปไหน เหงื่อที่ขมับไหลซึมและขาเริ่มสั่น กุนหรงที่เห็นรู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบเห็นผู้หญิงเจ็บปวดโดยเฉพาะผู้หญิงสวย แต่เขาก็ไม่สามารถใจอ่อนได้ ไม่อย่างนั่นคนตระกูลจิ้นก็คงได้ใจ ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา ได้วาคงจะเอาทั้งแปลง

กุนหรงเริ่มง่วงนอนและมองไปบนฟูกหนานุ่มที่มีจานใส่ขนมชิ้นหน้าตาน่ากินแล้วก็นึกออกว่าซูลี่กำลังหิวอยู่ด้วย เขานึกอะไรดีๆ ออกและหยิบจานขนมนั้นขึ้นมา

"ขนมวันนี้หอม หวาน อร่อยจังน้า" กุนหรงกินขนมนั้นเข้าไป

ซูลี่ที่ได้ยินเสียงเคี้ยว กลิ่นหวานๆ และถั่ว ก็ทำให้เธอข่มใจได้อย่างอยากเย็น

"อร่อยจริงๆ แต่ทำน้อยไปหน่อยนะ เหลือแค่ชิ้นเดียวเอง" เขาเหลือบมองซูลี่ที่รอดูท่าทีของเธอ

ในที่สุดซูลี่ก็เงยหน้ามองกุนหรงจนได้จนได้ เธอสบตากับเขาแล้วก็ลืมหิวไปเลย [นั่นมันทหารผู้นั้นที่มากับรถม้า] ซูลี่คิดและนิ่งอึ้งไป กว่าจะเรียบเรียงความคิดได้ก็เกือบนาที

"หม่อมฉันขอรับโทษของหม่อมฉันและรับโทษแทนสาวใช้ที่ล่วงเกินเพคะฝ่าบาท" ซูลี่ก้มลงไปแนบพื้นอีกครั้ง

"เจ้ารู้แล้วรึว่ากำลังทำกิริยาไม่เหมาะสมกับข้า" กุนหรงอมยิ้มที่ได้เห็นสีหน้าซีดของซูลี่

'โครก!!'

เสียงท้องของซูลี่ร้องดังจนก้องไปทั่วห้อง เธอเขินหน้าจนใบหน้าเป็นสีแดงไปหมดและร้อนฉ่า ตอนนี้พื้นเป็นสิ่งเดียวที่ซูลี่อยากจะมองดู

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" กุนหรงทำหน้าตกใจก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา

"เจ้าลุกขึ้นแล้วกินนี่ก่อนเถอะ" จานขนมถูกส่งไปหน้าซูลี่

"ขะ...ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท" แม้ซูลี่จะอายมากแต่เธอก็ทนหิวต่อไปไม่ไหวแล้ว

กุนหรงมองดูซูลี่กินขนมบนจานด้วยสีหน้า เขินอาย ดวงตาโตสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบเทามีน้ำตาคลอเพราะอับอาย เขายิ้มจนตาเป็นเส้นตรงเท้าคางมองดูหญิงสาวน่ารักตรงหน้ากินขนม [ราวกับเด็กเล็กที่กินขนมไปงอนไป] เขาคิด

"เจ้านั่งสบายๆ ก็ได้" กุนหรงบอก "ข้ามีเรื่องจะถาม"

"เชิญถามเถิดเพคะฝ่าบาท" ซูลี่กลืนขนมลงไปก่อนจะพูด

"ทำไมเจ้าถึงไม่อยากอยู่ในวัง?" กุนหรงจ้องมองหน้าซูลี่เพื่อบอกว่าเขาต้องการคำตอบที่จริงจังและตรงไปตรงมา

"เพราะหม่อมฉันรักการขี่ม้า" ซูลี่ตอบไปตามตรง

การที่สตรีขี่ม้าเป็นเรื่องต้องห้ามตั้งแต่สมัยของจักรพรรดิเฉิงเฉียน บิดาของจักรพรรดิเฟยหรง ฟางฟรงและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หลังจากที่มีคำทำนายว่าสตรีจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เหล่าขุนนางที่กังวลกับคำทำนายนั้นก็กำหนดข้อห้ามสำหรับสตรีมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการขี่ม้า

"แค่การขี่ม้าแลกกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูล อำนาจและทอง มันไม่คุ้มอย่างนั้นรึ?" กุนหรงยังคงรอคำตอบด้วยใบหน้าแบบเดิม

"สำหรับหม่อมฉัน นั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการเพคะ" ซูลี่ตอบพร้อมสีหน้าโหยหา

"งั้นเจ้าต้องการอะไร?" กุนหรงถามตรงไปตรงมา

"หม่อมฉันต้องการอิสรภาพเพคะ การได้เดินทางและออกไปดูโลกว้าง เจอสัตว์แปลกใหม่ ได้กินของที่ไม่เคยลิ้มรส ทำที่อยากทำ ไม่มีกฏระเบียบมาบอกว่าต้องทำอะไร" ซูลี่มีดวงตาที่มุ่งมั่น

กุนหรงรู้สึกว่าซูลี่เป็นกระจกที่สะท้อนตัวเขาในวัยรุ่น เขาเคยมีความฝันแบบเดียวกันกับเธอก่อนพี่ชายทั้งสองของเขาจะตายจากไปด้วยยาพิษ และกว่าเข้าจะรู้ตัวว่าต้องทำอะไรบางอย่างเขาก็กลายเป็นฮ่องเต้ไปซะก่อน

"เจ้าตอบได้ดี" กุนหรงยิ้มออกมาและจับให้ซูลี่ยืนขึ้นพร้อมกับเขา "ข้าจะให้อิสระแก่เจ้า ถ้าหากเจ้าทำภารกิจสำเร็จและข้ายังไม่ตายซะก่อน"

"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท" ซูลี่จะก้มลงไปคำนับแนบพื้นอีกครั้งแต่กุนหรงหยุดเธอไว้ "หม่อมฉันรับปากว่า ถ้าหากหม่อมฉันไม่ตาย ฝ่าบาทไม่มีทางตายก่อนหม่อมฉันแน่นอนเพคะ"

"ข้ามีสิ่งหนึ่งที่จะขอให้เจ้าทำ ระหว่างที่เจ้าอยู่ในวังหลัง" กุนหรงจ้องมองดวงตาซูลี่เพื่อให้รู้ว่าเรื่องนี้จริงจัง "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องไม่ดูหมิ่นและทำลายเกียรติของฮองเฮาเด็ดขาด"

"ตามบัญชาเพคะฝ่าบาท" ซูลี่รีบรับคำทันที ไม่ว่าสั่งอะไรเธอก็ยอมทำอยู่แล้วเพื่ออิสระภาพของเธอ

"พูดได้ดี" กุนหรงดึงซูลี่ให้มายืนหันหลังให้แท่นบรรทม

ซูลี่แค่รอดูว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ นางไม่ได้แสดงสีหน้าใด แต่มือและร่างกายกำลังสั่นกลัวเบาๆ ใบหน้าของกุนหรงมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นและยื่นมือมาหลับไหล่ของนางไว้ ด้วยความกลัวซูลี่หลับตาลงแน่น ข่มใจและภาวนาให้สิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปจบไปโดยเร็ว