webnovel

จดหมายจากแดนไกล

ริกิมีพี่ชายฝาแฝดชื่อริคุ สมัยเด็กๆ สนิทกันมากแต่พอเรียนจบทำงานต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองทั้งสองเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นตอนอายุเจ็ดขวบทั้งสองแยกทางกัน สองพี่น้องย้ายมาอยู่กับพ่อที่ไทยเรียกได้ว่าตอนนี้เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะดูเป็นญี่ปุ่นอยู่บ้างก็ตรงชื่อนี่แหละ ริกิทำงานอยู่บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคชื่อดังในตำแหน่งผู้จัดการภูมิภาค ความเก่งกาจทำให้ก้าวขึ้นระดับสูงทั้งที่อายุยังน้อย ส่วนริคุนั้นทำงานอยู่บริษัททำสารคดีชื่อดังในสิงคโปร เพราะอยู่ห่างกันมากเลยทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ตอนงานแต่งของริคุที่สิงคโปร

อีเมล์ที่ถูกส่งมาจากภรรยาของริคุทำให้ริกิอ่านทวนอยู่สองครั้งก่อนจะส่งข้อความและเบอร์ติดต่อกลับไป ถ้าเรื่องที่เขาอ่านอยู่เป็นเรื่องจริง ทำไมทางนั้นถึงได้พึ่งติดต่อมาทั้งๆ ที่ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้ว

มีสายคอลเข้ามาจากแอปดังที่ใช้กันไปทั่วโลก ริกิเอื้อมมือไปกดรับทันที แม้แอคจะไม่คุ้นแต่เขาเดาได้ว่าต้องเป็นหลินภรรยาของพี่ชายฝาแฝดนั่นเอง

"หลินค่ะ คุณริกิ" เธอเอ่ยบอก

"ริกิเฉยๆ ก็ได้ครับ สบายดีไหมครับ" ริกิย้อนถามไป

"สบายดีค่ะ หลินคิดอยู่นานว่าจะติดต่อคุณดีหรือไม่ ริคุเขาหายไปไม่ติดต่อมาจนหลินต้องไปถามที่บริษัท แต่เขากลับบอกว่าริคุไปทำสารคดี อยู่ในที่ๆ ติดต่อไม่ได้ หลินไม่เชื่อเพราะเขาไปทำสารคดีที่ไหนเมื่อไหร่เขาจะบอกหลินก่อนไปเสมอ" น้ำเสียงเธอดูกังวลจนริกิรู้สึกได้

"ใจเย็นๆ ครับ ไหนลองเล่ารายละเอียดให้ผมฟัง" ริกิเอ่ย

"ค่ะ เมื่อหกเดือนที่แล้ว ริคุได้จดหมายฉบับหนึ่งจากเพื่อน คุณรู้ใช่ไหมคะว่าริคุชอบเรื่องลึกลับ พวกผีสางอะไรอย่างนี้" เธอย้อนถาม ทำให้เขาอดนึกไปถึงสมัยเรียนมหาลัยไม่ได้ เพราะหมอนี่ชอบเรื่องแบบนี้แบบสุดๆ ที่ไหนที่เขาว่าเฮี้ยนหรือแรงมักจะลากเขาไปเสมอ โดยเฉพาะการไปเยี่ยมแม่ทุกหน้าร้อนที่ญี่ปุ่น จริงๆ วัตถุประสงค์ไม่ได้ไปเยี่ยมแม่จริงๆ อย่างที่คิด แต่ไปร่วมแคมป์เปญท่องเที่ยวล่าผีที่มีทุกฤดูร้อนต่างหาก ทั้งนั่งแท็กซี่ไปตามจุดที่ว่าเฮี้ยนหรือนั่งรถไฟไปที่ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งรวม ตัวริกิเองก็มองสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงพลังงานอย่างหนึ่ง ดังนั้นเวลาถูกลากไปจึงไม่เคยปฏิเสธ

"ครับ"

"พอริคุอ่านก็ทำท่าตื่นเต้น บอกว่าจะไปเซอร์เวย์เสียหน่อย ตอนแรกหลินก็คิดว่าเขาพูดเล่นๆ อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาเขาก็มาบอกว่าบริษัทออกค่าเดินทางและที่พักให้ อาจจะตามไปทำสารคดีทีหลัง หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็เดินทางไป และหลินไม่ได้ข่าวเขาอีกเลย" ได้ยินเสียงเธอร้องไห้ผ่านมาทางโทรศัพท์

"เรื่องนี้เดี๋ยวหาข้อมูลก่อนได้ไหมครับ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย" ริกิบอกตามตรง เข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยจู่ๆ มาเล่าให้ฟังแบบนี้จะให้เขาแสดงความคิดเห็นทั้งที่ไม่รู้คงไม่ได้

"เดี๋ยวหลินจะส่งรายละเอียดให้ทางเมล์ ยังไงรบกวนด้วยนะคะ หลินไม่รู้จะไปพึ่งใครจริงๆ"

"ครับ ทำใจให้สบายครับ ริคุเป็นพี่ชายผมเหมือนกัน" ริคุไม่รู้จะปลอบใจอะไรมากกว่านี้ เขาค่อยๆ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ นึกถึงเรื่องเก่าๆ สมัยที่ถูกริคุลากไปนั่นมานี่ตลอด ถึงเขาจะไม่กลัวแต่บางครั้งที่ที่ไปทั้งเปลี่ยวทั้งอันตราย รอดมาได้ถือว่าบุญสุดๆ แล้ว

ริกิจบบริหารและริคุจบโบราณคดี ไม่แปลกที่เขาจะชอบเรื่องพวกนี้ ชอบจนกลายเป็นหลงใหล แถมยังได้เพื่อนดีชักนำไปทำงานบริษัทดังจนกระทั่งได้แต่งงานอยู่ที่นั่น เวลาเจอริคุทีไรเขามักจะเล่าเรื่องที่ไปเจอะเจอให้ฟังอยู่เสมอ เล่าจนริกิรู้สึกรำคาญแต่ก็ยังตั้งใจฟังจนหมอนั่นเงียบไปเอง ริกินึกไม่ออกว่าคนอย่างหมอนั่นจะหายไปได้ยังไง ปกติเป็นคนรอบคอบเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ฟังจากที่หลินเล่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง ตอนนี้เขาชักเป็นห่วงพี่ชายฝากแฝดเขาเสียแล้ว เซนต์สัมผัสที่เขาเคยมีพอโตขึ้นมันก็หายไปเซนต์ที่ว่าก็คือความรู้สึกเวลาที่แฝดอีกคนหนึ่งเกิดเรื่องอุบัติเหตุหรืออะไรสักอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ห่างไกลกันเป็นเวลานานจึงทำให้ไม่มีเซนต์แบบนั้นอีกแล้ว

ริกิเคลียงานที่คั่งค้างอยู่จนเสร็จยื่นใบขอลาพักงานกับผู้ดูแลโดยตรงหลังจากที่ได้อ่านรายละเอียดต่างๆ ที่หลินส่งให้ มันไม่ธรรมดาอย่างที่หลินสงสัย เขาปรึกษาพ่อและพ่อเองเป็นคนจัดการเรื่องเอกสารให้ พ่อพอมีเส้นสายอยู่บ้างอยู่บ้านนี้เมืองนี้มีเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินไม่เสียหาย ริกิติดต่อแม่ที่โตเกียวแม้แม่จะหย่ากับพ่อแล้วแต่แม่ยังอยู่คนเดียวเพราะแม่เป็นผู้หญิงทำงานการดูแลบ้านและลูกจึงไม่ค่อยดีนักทำให้พ่อขอหย่าและรับทั้งคู่มาเลี้ยงเอง

รออยู่เกือบเดือนกว่าเอกสารต่างๆ จะเรียบร้อยแต่ก็เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางบริษัทเองไม่มีปัญหาอะไรอนุมัติให้ริกิพักงานตามที่ขอมา

เขาบินจากกรุงเทพมาที่โตเกียวในอาทิตย์ถัดมาช่วงปลายฤดูหนาว หิมะกำลังเริ่มละลายเพื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แม่ขับรถมารับเขาที่สนามบิน

"ดีใจที่ลูกมา" แม้เข้ามากอดกริกิที่ไม่เจอกันนาน ครั้งสุดท้ายที่เจอกันทั้งคู่สูงเลยหัวไปนิดเดียวแต่ตอนนี้มันเลยไปมากแล้ว

"ดีใจที่เจอแม่เหมือนกัน" กอดร่างเล็กของแม่เอาไว้

"ไปกันเถอะแม่จอดรถเอาไว้ที่ลานจอดรถ" เดินนำริกิออกจากอาคาร แม้แม่อายุมากแล้วแต่ยังปราดเปรียวว่องไวไม่ต่างจากสมัยสาวๆ สักนิด แม่ของริกิเป็นคนเก่งมีลูกน้องอยู่ในทีมเก่งๆ หลายคนเช่นกัน ตั้งแต่เขาจำความได้ก็เห็นแม่ใส่เสื้อกาวน์สีขาวมาตลอด

"เดินทางเป็นยังไงบ้าง" แม่เอ่ยถาม ขณะที่เลี้ยวรถออกจากลานจอดรถ

"นอนไม่ค่อยหลับครับที่นั่งแคบ" ริกิบอกตามตรง

"เดี๋ยวถึงบ้านก็นอนหลับให้เต็มที่" แม่บอกยิ้มๆ

การที่มีบ้านหลังใหญ่อยู่กลางเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แม่ของริกิสามารถซื้อบ้านหลังนี้ได้ แม่เป็นนักวิจัยและเป็นอาจารย์อยู่ในมหาลัยชื่อดัง ริกิเคยคิดว่าถ้าได้เรียนที่นี่น่าจะดีกว่าแต่พ่อกลับบอกว่าการที่มีแม่อยู่ในตำแหน่งสูงคนอื่นๆ จะพลอยคาดหวังกับตัวเราแล้วเมื่อเราทำไม่ได้หรือทำไม่เท่าสิ่งเหล่านั้นมันจะกลับมาทำร้ายตัวเอง ดังนั้นพ่อจึงเลือกที่จะพาทั้งคู่ไป

ตอนเด็กๆ เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้ง แม่เขาเก่งเกินกว่าจะเป็นแค่แม่บ้านที่คอยดูแลพวกเขา

"เอากระเป๋าเข้ามา" ทุกอย่างในบ้านสั่งด้วยมือถือ เป็นบ้านที่เต็มไปด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สมกับเป็นบ้านของแม่

"รหัสแม่คงไม่ต้องบอกลูกนะ" เพราะแม่ยังรักทั้งสองคนดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านนี้เกี่ยวข้องกับทั้งคู่

"ตอนลูกบอกว่าให้แม่ช่วยทำเอกสารเรียกตัวลูกมา ตอนนั้นแม่ยังงงๆ โชคดีที่มีเส้นสายอยู่เลยไม่ยุ่งยาก" แม่หยิบน้ำน้ำชาส่งให้ริกิ

"แม่ครับ ผมมาตามหาริคุ" ริกิไม่รีรอรีบบอกทันที

"มาตามหาริคุ เด็กนั่นไม่ได้อยู่กับลูกเหรอ" แม่ยังไม่รู้ว่าริคุแต่งงานแล้ว

"แม่ริคุไปทำงานที่สิงคโปร ทำงานบริษัทสารคดี เขาหายตัวไปหกเดือนแล้ว" ริคุบอกกับแม่ สีหน้าแม่ดูตกใจริมฝีปากสั่นระริก ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

"ทำไมแม่ไม่เคยรู้เรื่อง" น้ำเสียงน้อยใจ

"ผมเองก็พึ่งรู้เรื่อง" ริกิระบายลมหายใจ

"ริคุชอบเรื่องลึกลับ เรื่องผี เรื่องเหลือเชื่อ แม่ก็รู้" ริกิทวนความจำ

"อึ่ม" เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่ซับน้ำตา

"มีคนส่งจดหมายไปหาเขา เชิญเขามาที่นี่" ส่งเอกสารที่ปริ้นออกมาให้แม่ดู

"เขามาที่นี่และไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย จนกระทั่งภรรยาเขาโทรมาหาผม" ริกิถอนหายใจ แม่หลับตาลงเรื่องของลูกชายที่แม่ไม่รู้มีเพิ่มมาอีกแล้ว

"ผมจะไปตามหาจากข้อมูลที่ผมมี จริงๆ อยากได้คนในพื้นที่ แม่พอจะแนะนำได้ไหมครับ" ตอนนี้เขามีแต่จะต้องขอความช่วยเหลือจากแม่เท่านั้น

"ได้สิลูก เดี๋ยวแม่จะหาคนที่ไว้ใจได้และสามารถพาลูกไปตามหาพี่เขาได้อย่างปลอดภัย" แม่เอ่ยเสียงเครือเดินไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย

"นายอยู่ไหน ชั้นมีเรื่องขอให้ช่วยหน่อย ชั้นช่วยนายมาหลายครั้ง นายก็ต้องช่วยชั้นบ้างสิ" เสียงแม้แข็งเสียจนริกิสะดุ้ง

"ลูกชายชั้นหายตัวไป เออนั่นแหละ แฝดคนพี่ นายมีคนไว้ใจไหม ได้สิถ้าเป็นหมอนั่นอาจจะเป็นเพื่อนลูกชั้นก็ได้" เสียงแม่หัวเราะ

"ให้มาที่บ้าน มาคุยรายละเอียดกัน ตามหาคนหายคิดว่าระดับนายคงจัดการได้ไม่ยาก หวังว่าเจ้าเด็กนั่นคงไม่พาลูกชั้นไปทำอะไรห่ามๆ นะ" แม่กดวางโทรศัพท์ไปแล้ว

"หาได้แล้ว ลูกชายเพื่อนแม่เอง เป็นนักสืบ คงช่วยลูกได้เยอะ" แม่ยิ้มบางๆ

"ขอบคุณครับ" ริกิถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยตอนนี้เขาก็วางใจได้ในระดับหนึ่ง

ริกิพึ่งรู้เหมือนกันว่างานที่แม่ทำนั้นเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตมากมาย ทั้งช่วยเหลือและเอาผิด งานวิจัยของแม่มีส่วนช่วยเหลือสังคมมากโข เมื่อก่อนเขาเคยเกลียดแม่ที่ไม่ดูแลเขาแต่ตอนนี้เขาภูมิที่มีแม่แบบนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่แม่ก็ยังคือแม่อยู่ดี

"เดี๋ยวแม่ทำเนื้อผักพริกหยวกให้นะ" เมนูอาการที่ฝาแฝดทั้งคู่ชอบกิน

"ครับ" ยิ้มกว้าง ไม่ได้กินฝีมือแม่มานานแล้ว แม่เดินไปที่ตู้หยิบพริกหยวกกับเนื้อออกมา แม้จะเป็นนักวิจัยเก่งขนาดไหนก็ยังเป็นแม่บ้านอยู่ดี เมื่อสมัยเด็กๆ ริกิชอบมองแม่ที่ใส่ผ้ากันเปื้อนทำสงครามอยู่กับอาหาร ที่เป็นแบบนั้นเพราะแม่มักหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาเลือกวัตถุดิบมาทำอาหาร เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะเหมือนเสียงดนตรี ริกิค่อยๆ เอนกายพิงพนักโซฟาจนกระทั่งผล็อยหลับไป

"โอ๊ะเจ้าเด็กคนนี้" แม่ยิ้มออกมา เอาที่ครอบมาครอบอาหารเอาไว้ เดินไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้ เดินทางมาหลายชั่วโมงคงเพลียอยู่ไม่น้อย ปล่อยให้หลับเต็มอิ่มเดี๋ยวตื่นมาค่อยอุ่นให้ใหม่

เสียงแม่คุยอยู่กับใครบางคนทำให้ริกิลืมตาตื่นขึ้นมา ตรงหน้ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวเข้มตัดผมสั้นจนเกือบจะเป็นสกิลเฮดนั่งคุยกับแม่อยู่ เขาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นปิดปากหาว

"ตื่นแล้วเหรอ นี่คนที่จะมาช่วยลูก เป็นลูกชายเพื่อนแม่ เจ้าหนูอะโซ" แม่แนะนำ

"ผมโตเลยคุณไปแยะแล้วครับ" คนถูกแนะนำทำเสียงขุ่น

"ก็ยังเป็นเจ้าหนูอะโซของชั้นอยู่ดี" แม่หัวเราะ

"นี่แฝดน้องริกิ ส่วนคนที่หายไปแฝดพี่ริคุ"

"ผมคุยรายละเอียดกับคุณแม่คุณแล้ว ก่อนหน้านี้เคยมีคนมาให้ผมตามสืบเหมือนกัน แต่ไม่กี่วันก็มาขอยกเลิก ผมเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่งได้เห็นวันนี้" เขาเอ่ยบอกกับริกิ

"คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายใช่ไหม แค่ตกเขา หลงป่า หรืออะไรแบบนี้" ริกิไม่อยากคิดถึงเรื่องที่มันร้ายแรงกว่านี้ เขายังเชื่อว่าริคุต้องติดอยู่ที่ไหนสักที่และหมอนั่นกำลังลำบากจึงออกมาไม่ได้

"ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ จนกว่าจะไปเห็นกับตา" เขายิ้มที่มุมปาก ดูแล้วเป็นผู้ชายที่อวดดีชะมัด

เสียงท้องของริกิคำรามไม่ไว้หน้าเจ้าของเลย แม่หัวเราะออกมาขำๆ รีบลุกเอาเนื้อผักกับข้าวเข้าเวฟอุ่นให้ มาถึงนอนเลยจะไม่ให้หิวได้ยังไง หมอนั่นยังกล้ันขำอยู่ริกิถลึงตาใส่

"ผมไปล้างหน้าก่อน" ลุกจากโซฟาเดินเข้าห้องน้ำไป

"น่ารักใช่ไหมลูกชายชั้น" แม่เอ่ยบอกกับอะโซ

"ครับ" สุดท้ายก็ปล่อยก๊ากออกมา

"ดูแลดี ไม่งั้นชั้นเอานายตายแน่" แม่ขู่

"ไปขู่ตาแก่นั่นเถอะ" อะโซย้อน

"นายก็รู้ชั้นเอาจริง ทั้งคู่นั่นแหละ" เสียงเตาไมโครเวฟดังกริ๊งอาหารที่อุ่นไว้ได้ที่แล้ว ริกิออกมาจากห้องน้ำหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าเช็ดตาเดินตรงไปหาแม่ที่โต๊ะอาหาร ไม่ได้กินฝีมือแม่มานานจนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังจำรสชาติมันได้ดี