webnovel

ความเป็นไป

ร่างสูงยืนหันหลังมองเหม่อไปยังหุบเขาที่คุ้นเคย เบื้องหน้าที่เห็นคือไร่กาแฟขนาดใหญ่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่สลับกันไป ที่นี่คือที่ที่เขาผูกพัน ที่ที่เขาคุ้นเคยและไม่คิดจะจากไปไหน เสียงของผู้หญิงที่เขารักดังก้องขึ้นในโสตประสาท

อย่างน้อย การจากไปของเราในวันนี้ มันก็ไม่ทำให้เราต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตนะ วิน…

บรรยากาศของเชียงใหม่บริเวณริมแม่น้ำปิงในยามเย็นเช่นนี้ช่างผ่อนคลายยิ่งนัก หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางกำลังเดินทอดน่องอย่างช้าๆเลาะเลียบทางเดินริมน้ำ แสงแดดอ่อนๆยามเย็นที่ตกกระทบส่งให้ผิวขาวอมชมพูที่ละมุนอยู่แล้วนั้นดูงามตายิ่งขึ้นไปอีก สิปรางค์รู้สึกสดชื่นไปกับธรรมชาติที่หล่อนไม่เคยคุ้น หญิงสาวเดินเรื่อยๆไปทางหลังรีสอร์ตตามทางที่น้องสาวของหล่อนบอก

จนเมื่อเดินมาถึงรั้วไม้ไผ่ที่กั้นแสดงขอบเขตระหว่างรีสอร์ตกับสวนผลไม้เอาไว้อย่างหลวมๆนั้น หล่อนจึงรู้ว่ามาจนถึงสุดปลายทางรีสอร์ตของน้องสาวแล้ว ผู้มาใหม่เหลียวซ้ายแลขวา และเมื่อไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้น หญิงสาวจึงแอบลอดรั้วไม้ไผ่เข้าไปด้วยความที่อยากจะไปสำรวจผืนดินริมน้ำแห่งนั้นด้วยสายตาตนเองใกล้ๆ สิปรางค์ไม่นึกกลัวข้อหาบุกรุก ด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเจ้าของรีสอร์ต ก็ปริมน้องสาวของหล่อนบอกเองว่าบ้านหลังนี้เจ้าของไม่ค่อยจะอยู่บ้าน เป็นบุคคลซึ่งตามหาตัวได้ยากมาก

ร่างโปร่งยังคงเดินเลียบริมแม่น้ำมาเรื่อยๆ หญิงสาวสังเกตได้ว่า สวนผลไม้นี้ได้รับการดูแลอย่างดี แม้ต้นไม้ถูกปล่อยไว้ให้ได้เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ แต่บริเวณสวนก็ไม่ได้รกหูรกตาแต่อย่างใด สิปรางค์มองไปเห็นต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำต้นหนึ่งกำลังออกดอกสีชมพูสวยจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และเมื่อเอี้ยวตัวมองไปยังข้างของหลังต้นไม้ใหญ่นั้น หล่อนจึงเห็นท่าน้ำซึ่งถูกบังอยู่มิดชิด

เอ จำได้ว่าถ้ามองมาจากทางรีสอร์ตจะไม่เห็นท่าน้ำนี้นี่นา

สิปรางค์นึกไปถึงคำบอกเล่าของน้องสาวก่อนหน้านี้

'เนี่ย ตอนแรกคุณธนาเค้าอยากจะสร้างรีสอร์ตไปจนถึงโค้งน้ำตรงโน้นแน่ะค่ะ แต่สวนข้างๆที่ติดน้ำนี้เค้าไม่ยอมขาย เห็นว่าเป็นที่ดินเก่าแก่อยากเก็บเอาไว้'

ในตอนนั้นหล่อนมองตามมือที่น้องสาวชี้ไปด้านข้างของรีสอร์ต แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่ดินริมแม่น้ำข้างๆรีสอร์ตของน้องสาวหล่อนนั้นเป็นสวนผลไม้ที่มีขนาดไม่เล็กเลย

'ที่ดินตรงนั้นดูท่าทางสวยมากเลยนะ ติดโค้งน้ำด้วย ถ้าเราได้มาเสริมอีกหน่อย ก็แจ๋วเลย'

หญิงสาวเองก็เห็นด้วยกับน้องสาว รู้สึกสนใจที่ดินตรงนี้ขึ้นมาตามประสาคนที่ใจจดใจจ่ออยู่กับธุรกิจ

'พี่ปรางเดินไปดูก็ได้นะคะ เผื่อฟลุ๊คเจอคุณเจ้าของสวน พี่ปรางจะได้เจรจาเลย น้องรู้ว่าเรื่องธุรกิจนี่พี่เจ๋งกว่าใคร' ปริมยักคิ้วหลิ่วตา

'อือม์ น่าสนใจนะ อยากรู้ราคาประเมินของที่ดินริมน้ำของเชียงใหม่อยู่เหมือนกัน จะได้ลองเปรียบเทียบกับราคาที่ของโรงงาน' คำยุยงของน้องสาวทำให้หล่อนต้องครุ่นคิดและในที่สุดก็เดินมาจนถึงที่นี่…

เสียงดนตรีที่ดังมาจากท่าน้ำดึงเอาสิปรางค์กลับมาจากภวังค์ คนบุกรุกเดินเข้าไปหาเสียงดนตรีใกล้มากขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น และจึงได้ตระหนักว่าเสียงอันไพเราะนั้นคือเสียงกีตาร์ที่ถูกบรรเลงโดยชายหนุ่มท่าทางสบายๆ เขานั่งหันหลังให้หล่อนอยู่ที่ขั้นบันไดท่าน้ำ เงาสูงโปร่งของเขาทาบยาวขนานไปกับขั้นบันไดไม้ผุๆนั่น

แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าส่งให้ภาพเบื้องหน้านั้นดูเหมือนอยู่ในความฝันอันเลือนราง ลานกว้างที่ปูด้วยพื้นไม้นั้นทอดต่อพาสายตาหล่อนไปยังบ้านไม้สองชั้นที่อยู่ด้านหลัง บ้านไม้ที่ล้อมรอบไปด้วยความเขียวชอุ่มของต้นไม้น้อยใหญ่

เสียงกีตาร์และเสียงทุ้มแหบที่ร้องเพลงเหงาๆบ่งบอกถึงความคิดถึงคนไกลนั้น ทำให้หล่อนยืนฟังอย่างตะลึงงัน มันเป็นบรรยากาศอ่อนหวานเศร้าสร้อยที่ทำให้สิปรางค์ไม่อาจหันหลังเดินจากไปได้ นอกจากเดินใกล้เข้าไปอีกนิดเพื่อที่จะฟังเสียงร้องนั้นให้ชัดขึ้น

"ยังคงคิดถึงเสมอ ยังคงรักเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ยังคงจำเรื่องราวทุกวินาที ที่มีเธอร่วมเดินร่วมสร้างความฝัน

ฉันยังคงคิดถึงทุกครั้ง ยามลืมตาขึ้นมาตื่นมาจากฝัน

แม้รู้ว่าคงไม่มีวัน แต่ฉันยังคงแอบยิ้มทุกครั้ง คราวนึกถึงเธอ…"

แต่แล้วอยู่ดีๆน้ำเสียงนั้นก็พลันขาดหายไป

"อ้าว"

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เพลงนี้จับใจหล่อนจริงๆ หากแต่เสียงอุทานคงลอยไปกระทบเจ้าของเสียงเพลง เขาหันขวับมาทางหล่อนทันที

"เอ่อ…คือ สวัสดีค่ะ..."

หล่อนตะกุกตะกักทักออกไปด้วยความเก้อเขินในฐานะของผู้บุกรุกที่ถูกเจ้าของบ้านจับได้คาหนังคาเขา แถมยังไม่พอ ยังมาแอบยืนฟังเขาร้องเพลงอีก

"..."

เจ้าของเสียงทุ้มนั้นไม่ได้เอ่ยตอบอะไร นัยน์ตายาวรีอันคมกริบที่จ้องมองมาที่หล่อนนั้นแสดงถึงความฉงนฉงายกับการปรากฏตัวของหล่อน การปรากฏตัวขึ้นของหญิงสาวแปลกหน้าที่ท่าน้ำในบริเวณบ้านของเขายามใกล้พลบค่ำ

"เอ่อ…คือ…" ผู้มาเยือนโดยไม่ได้บอกก่อนยิ้มแหยๆแก้เก้อ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

"เผอิญเดินดูอะไรมาเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ รู้ตัวอีกทีก็บุกรุกซะแล้ว"

สิปรางค์พยายามจะทำลายบรรยากาศอันอึมครึมนั้น

นักดนตรีหนุ่มยังคงไม่ตอบอะไร ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นัยน์ตายาวรีคู่นั้นก็ยังคงจ้องมองมาทางหล่อนอยู่เช่นเดิม หญิงสาวเดาความรู้สึกของชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่ออกจริงๆ แต่จากลักษณะการแต่งกายด้วยเสื้อยืดคอกลมสีขาว และกางเกงยีนซีดๆเก่าๆตัวนั้น มันทำให้หล่อนคิดไปเองว่าเขาน่าจะเป็นคนสบายๆ ดูไม่ถือตัว และอือม์… น่าจะเป็นคนงานในสวน

"คือต้องขอโทษจริงๆค่ะ"

คนร่างบางมองไปรอบๆนึกหาข้อแก้ตัว ยังไม่อยากให้ชายหนุ่มตรงหน้ารู้ว่าความจริงแล้วหล่อนตั้งใจมาสำรวจบริเวณสวนนี้ และก็กำลังหมายปองที่ดินผืนนี้ ขณะที่หญิงสาวกำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่นั้น สายตาสิปรางค์ก็เหลือบไปเห็นไม้ใหญ่สีชมพูที่ดึงดูดให้หล่อนเดินตามเข้ามา แล้วก็พลันนึกออก

"คือเห็นต้นสีชมพูๆนั่นมันสวยมาก เลยแอบเข้ามาดูใกล้ๆ แล้วเพิ่งเห็นว่ามีท่าน้ำอยู่ข้างหลัง แล้วได้ยินเสียงเพลง แล้วก็เลยตามมาฟังใกล้ๆ แล้วก็จะกลับละค่ะ"

รีบอธิบายด้วยความรวดเร็ว พูดจบด้วยความเหนื่อย และก็ตั้งท่าจะหันหลังกลับ

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย"

แต่น้ำเสียงทุ้มๆแหบๆที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆนั้นทำให้หญิงสาวต้องหันกลับมา แล้วหล่อนก็เห็นนัยน์ตายาวรีที่กำลังจ้องตอบหล่อนนั้นมีแววตาของความขี้เล่นอยู่เต็มเปี่ยม

และที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือ แววตาคู่นั้นยิ้มได้!

คะเนเอาจากหน้าใสๆและเสียงหัวเราะใสๆแล้ว ท่าทางเขาน่าจะยังคงอายุน้อยกว่าหล่อนแน่ๆ อายุอานามน่าจะไม่ถึงสามสิบ แผ่นหลังกว้างและไหล่ที่ผึ่งผายนั้น บ่งบอกว่าเขาน่าจะเป็นคนแข็งแรงอยู่ทีเดียว ส่วนผมที่ปัดมาที่หน้าผากยิ่งช่วยส่งให้ใบหน้าของพ่อหนุ่มคนงานในสวนคนนี้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

"สาวที่ไหนก็ชอบฟังผมร้องเพลงทุกคนแหล่ะ"

เขาเย้าหล่อนด้วยอาการยิ้มๆหน้าตาย พลางปัดผมที่ระมาปรกหน้าผากขึ้นไปแบบไม่ใส่ใจนัก

สิปรางค์สะดุ้งไปเล็กน้อยที่ชายหนุ่มตรงหน้าอวยตัวเองอย่างไม่ขัดเขิน และหล่อนเริ่มชักจะหมั่นไส้พ่อหนุ่มหน้าตายแต่ตาระยับคนนี้แล้ว คนต่างจังหวัดเขาเป็นกันเองกับคนแปลกหน้ากันง่ายๆแบบนี้เลยหรือ แต่ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็รู้สึกแปลกใจตัวเอง ที่ในความอหังการ์ของเขานั้นหล่อนกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างประหลาด

ในเมื่อเป็นกันเองมาขนาดนี้ ก็ได้ จัดไป

"แปลว่า คุณร้องเพลงให้สาวๆฟังบ่อยๆงั้นสิ"

หล่อนเริ่มต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้บ้าง

เจ้าถิ่นหัวเราะกว้างพลางหันตัวกลับไปทางแม่น้ำ วางกีตาร์ลงข้างตัว ชันเข่าขึ้นมากอด แล้วเอื้อมมือหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ นัยน์ตาเหม่อมองไปที่แม่น้ำ และดูเหมือนจะไม่สนใจหญิงสาวผู้มาเยือนคนนี้อีก

อ้าว เลิกสนใจกันง่ายๆอย่างนี้นี่นะ อะไรของเค้าเนี่ย

สิปรางค์ลังเลรีรอ แต่ภาพดวงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะลับขอบฟ้านั้นมีเสน่ห์สำหรับหล่อนอย่างบอกไม่ถูก แม้ผู้ชายคนนี้จะดูแปลกๆ แต่เขาก็มีท่าทางเป็นมิตรอยู่ไม่น้อย

เอาน่า เผื่อจะได้แอบถามเรื่องที่ดิน

ผู้มาเยือนตัดสินใจถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งที่ขั้นบันไดข้างๆเจ้าถิ่น แต่ก็ไม่เห็นเขาจะสนใจอะไรหล่อน ยังคงสูบบุหรี่ด้วยท่าทางสบายๆต่อไป สิปรางค์จึงถือโอกาสชมวิวแม่น้ำยามเย็นไปเงียบๆ นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่สามารถนั่งเงียบๆข้างๆคนแปลกหน้าได้โดยไม่รู้สึกขัดเขินหรืออึดอัด

แต่ก็นะ นี่ไม่คิดจะสนใจถามไถ่กันบ้างหรือ ว่าหล่อนมาจากไหนอะไรยังไง

"เดินมาจากทางรีสอร์ตสิครับเนี่ย"

เหมือนรู้ใจว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆคนข้างๆก็หันหน้ามาถาม แล้วก็อัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ก่อนที่จะพ่นควันออกมาเฉียดหน้าหล่อนไปนิดเดียว

"ฮ้าดเช้ย!" อดไม่ได้ที่จะจามเสียงดัง หล่อนแพ้ควันบุหรี่อย่างรุนแรง

"เฮ้ย" ชายหนุ่มตกใจกับเสียงจามที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว ยกมือข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นปิดหู

"คือ แพ้ควันบุหรี่น่ะค่ะ ฮ่ะ ฮะ ฮะ ฮ้าด! ฮ้าดเช้ย!" คำอธิบายนั้นกระท่อนกระแท่นก่อนจะตามมาด้วยการจามอีกรอบใหญ่

"อ้าว โทษทีครับ" เจ้าของบุหรี่ลนลานควานหาที่เขี่ยบุหรี่ข้างตัว

"ความจริงบุหรี่นี่ก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรนะคะ เลิกได้ก็น่าจะดีอยู่นะคะ"

สิปรางค์พูดลอยๆไม่มองเขา ทำเป็นว่าหล่อนกำลังสนอกสนใจแม่น้ำอยู่อย่างจริงจัง แต่เมื่อแอบมองเขาด้วยหางตา ก็เห็นเขาเหลือบมองหล่อนแวบๆแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะขยี้บุหรี่ในมือกับที่เขี่ยบุหรี่

แต่… ช้าก่อน… หล่อนต้องเป็นมิตรกับเขาเข้าไว้ ที่ดินผืนนี้สวยมากๆ ถ้าปริมน้องสาวของหล่อนได้มันไป จะเป็นผลดีกับที่รีสอร์ตขึ้นอีกหลายเท่า

"ค่ะ พักอยู่ที่รีสอร์ต เผอิญออกมาเดินเล่น แล้วเห็นต้นไม้ตรงโน้นมีดอกสีชมพูมันสวยมากเลย ก็เลยแอบลอดรั้ว เข้ามาดูใกล้ๆ" ต้องพยายามเบี่ยงเบนจุดประสงค์การมาของหล่อนไปที่ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ

เขาพยักหน้ารับรู้คำตอบของหญิงสาวแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่นั่งมองแม่น้ำเงียบๆอย่างนั้น คนร่างบางอดไม่ได้ที่จะแอบมองคนข้างๆอีกรอบ ชายหนุ่มมีท่าทางเรื่อยๆสบายๆ มองจากท่านั่งก็รู้ได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนรูปร่างสูงเพรียวอยู่ไม่น้อย ผิวคร้ามแดดที่โผล่พ้นปลายแขนเสื้อออกมานั้นก็ช่างเป็นสีผิวที่มีเสน่ห์ชวนมอง

อือม์ ที่เค้าบอกกันว่าคนเหนือผิวสวยนั้น ท่าจะจริง…

แต่ไม่นานสิปรางค์ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดที่ชายหนุ่มข้างๆไม่มีท่าทีว่าจะชวนหล่อนพูดคุยอะไรต่อเลย คนตัวเล็กๆเริ่มอยู่ไม่สุข มองไปทางเขาที มองไปทางแม่น้ำที หญิงสาวเป็นคนที่อยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของหล่อนมีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำอยู่เสมอ การนั่งเฉยๆว่างๆไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่วิถีของสาวเจ้าพลังอย่างหล่อน แม้แต่จะหาเวลาสักห้านาทีสิบนาทีเพื่อที่จะอยู่เฉยๆ สิปรางค์ก็ไม่เคยมี

จะชิวไปไหนเนี่ย หรือเราควรจะเข้าเรื่องขายที่ดินเลยดี

"อยากฟังเพลงอะไร ขอได้นะ"

จู่ๆเขาก็คว้ากีตาร์ข้างกายขึ้นมาแนบตัวอีกครั้ง ตั้งท่าเตรียมบรรเลงเพลงต่อ คนตัวเล็กหันไปมองหนุ่มตัวสูงข้างๆอย่างประหลาดใจ ชายหนุ่มหันมาเลิกคิ้วให้ ทำท่าตั้งใจฟังรอคำตอบจากหล่อน

อือม์ ให้ขอเพลงได้เหรอ เพลงอะไรดีล่ะ ช่วงหลังก็ไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยซะด้วย เอ… แล้วคนท้องถิ่นอย่างเขาจะร้องเพลงฝรั่งได้ไหมนะ

วันเวลาของหญิงสาวส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน การพักผ่อนก็คือการเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในไทยและในต่างประเทศ หากจะออกไปสังสรรค์บ้างก็เพื่อสายสัมพันธ์ทางธุรกิจทั้งสิ้น ที่ที่หล่อนไปเป็นประจำก็เห็นจะเป็นแต่ที่สนามกอล์ฟ หรือไม่ก็ร้านอาหารหรูๆมีรสนิยม สิปรางค์ไม่ค่อยมีเพื่อนในเมืองไทยมากนักเพราะโตที่ต่างประเทศตั้งแต่เล็ก เพื่อนๆที่หล่อนมีส่วนใหญ่ก็เป็นลูกๆของเพื่อนบิดาและหรือของเพื่อนมารดา

งั้นเอาเพลงที่เข้ากับบรรยากาศหน่อยละกัน

"ขอเพลงสาวเชียงใหม่"

คนผิวขาวจัดโพล่งออกไป คนผิวคร้ามแดดข้างๆถึงกับหัวเราะก๊ากออกมา

"ทำไม ร้องไม่เป็นเหรอ จรัล มโนเพชรน่ะ ไม่รู้จักรึไง" สิปรางค์ไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหน

"ได้ ได้ แต่ต้องช่วยร้องนะ"เขาตอบยิ้มๆ แววตายังมีความขบขันกับท่าทางของหล่อน แล้วก็เริ่มเล่นกีตาร์

"ข้าเจ้าเป็นสาวเจียงใหม่ แหมบ่เต้าใด ก็จะเป็นสาวแหล่ว..."

เขาเริ่มร้องนำหล่อนไปด้วยเสียงทุ้มๆแหบๆที่มีเสน่ห์ชวนฟังนั้น

"ตึงวัน มีบ่าวมาแอ่ว มาอู้มาแซว เป็นคนละปูน..."

สิปรางค์ร้องต่อด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ ไม่อยากจะอวดว่าหล่อนจำเนื้อของเพลงนี้ได้หมด เพราะตอนเด็กๆคุณลุงปราณเคยร้องให้หล่อนฟังบ่อยๆ หญิงสาวจำได้ว่าเวลามีการรับประทานอาหารรวมญาติมิตรที่บ้านของคุณลุงปราณ คุณลุงมักจะเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้เด็กๆฟังเสมอ ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยและการเริ่มต้นทำโรงงานกาแฟทำให้คุณลุงของหล่อนรักและมีความผูกพันกับจังหวัดเชียงใหม่นี้มาก…

"โอ้ย!"

เสียงเล็กๆร้องขึ้นมา และตามมาด้วยเสียงตบยุงหลังจากเพลงจบ

"อูย ยุงเชียงใหม่นี่กัดเจ็บจัง"

สิปรางค์รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัว หล่อนปัดมือปัดไม้ไปตามลำตัวพร้อมกับหันไปมองรอบๆ จึงสังเกตได้ว่าบรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดแล้ว ปริมน่าจะรอหล่อนกลับไปทานข้าวเย็นด้วยกัน

ผู้มาเยือนจึงรีบลุกยืนขึ้นแล้วถือโอกาสขอลากลับ ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยและเดินตามมาส่งหล่อนจนถึงริมรั้ว เขายืนอยู่รอจนหญิงสาวมุดรั้วไม้ไผ่กลับเข้าไปเรียบร้อย

"ขอบคุณค่า" สิปรางค์ตะโกนมาจากอีกฝั่งของรั้วพร้อมทั้งโบกมือโบกไม้

"ครับ ไม่เป็นไร"

เขาโบกมือกลับ ยิ้มน้อยๆตามเคย แล้วหันหลังเดินจากไป

อ้าว ลืมถามเรื่องขายที่ดินไปเลย ชื่อก็ไม่ได้ถาม มัวแต่ร้องเพลง เอ้อ!

ไม่เป็นไร หล่อนก็ไม่เห็นว่าเขาจะสนใจถามไถ่ชื่อของหล่อน เขาคงเป็นคนงานในสวน วันหลังคงได้เจอกันอีก สิปรางค์รีบเดินกลับเข้าไปในรีสอร์ตของน้องสาวรวดเร็ว

หารู้ไม่ว่า หลังจากที่หล่อนหันหลังเดินจากไป ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนนั้นก็หันกลับมามองหญิงสาวร่างเล็กอีกครั้ง คิ้วหนานั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

หากแต่รอยยิ้มบางๆนั้นก็ยังคงมีอยู่ที่มุมปาก...