webnovel

ความเป็นมา

รถสปอร์ตสีดำสัญชาติยุโรปรุ่นใหม่ล่าสุดเลี้ยวผ่านประตูรั้วเข้ามาภายในบริเวณโรงงาน และเคลื่อนมาจอดหน้าอาคารหลังแรกที่อยู่ถัดไปจากประตูรั้วใหญ่นั่น หญิงสาวท่าทางสวยเก๋สวมแว่นตาดำก้าวลงมาจากรถ รูปร่างโปร่งบางมาด้วยชุดสูทกางเกงเรียบหรู สะพายกระเป๋าเอกสารสีดำทำจากหนังแกะชั้นดี หล่อนถอดแว่นตาดำออกและมองไปรอบๆบริเวณโรงงานด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา

เก่า เชย ล้าสมัย นี่ชั้นอยู่ในยุคไหนกันเนี่ย!

ขณะที่หญิงสาวกำลังตัดสินใจจะก้าวเท้าเข้าไปในอาคารตรงหน้าหล่อนนั้น หล่อนก็ปะทะเข้ากับชายวัยใกล้เกษียณที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากประตูใหญ่ของอาคารที่เปิดกว้างไว้

"สวัสดีครับคุณสิปรางค์ เดินทางเรียบร้อยดีนะครับ" เขาเอ่ยต้อนรับปนเสียงหอบหายใจ

"สวัสดีค่ะคุณวิชิต" ผู้มาไกลทักทายเขาพร้อมกับถอนหายใจ

"ก่อนอื่น ขอนิดนึงค่ะ ดิฉันว่าป้อมยามที่นี่ไม่โอเคนะคะ ไม่มีระบบเซฟตี้เลย"

หญิงสาวบุ้ยหน้าไปทางประตูเข้าของโรงงาน วิชิตมองตามไปก็เห็นชายสูงอายุกำลังนั่งสัปหงกอยู่ในป้อมยามไม้หลังเล็กที่อยู่ติดกับประตู

"สงสัยมื้อเช้าคำตั๋นแกจัดข้าวเหนียวหนักไปหน่อยครับ"

ชายตรงหน้าหล่อนพูดขำๆอย่างไม่ถือสาหาความ หลังจากนั้นจึงยกมือป้องปากแล้วตะโกนไปทางป้อมยาม

"คำตั๋น ป้าศรีมาหา"

ยามสูงวัยสะดุ้งตื่นด้วยอาการตระหนกตกใจกับเสียงร้องเรียก เหลียวซ้ายมองขวาหน้าตาเลิ่กลั่ก

วิชิตหัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า "เชิญคุณสิปรางค์เข้าข้างในดีกว่าครับ"

พูดพลางเดินนำหน้าหญิงสาวเข้าไปยังด้านในซึ่งเป็นลักษณะอาคารหลังคาสูงครึ่งไม้ครึ่งปูนซึ่งอยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่ สมองของสิปรางค์เริ่มทำการเก็บข้อมูลที่ตาเห็นทันทีเมื่อเดินผ่านประตูของอาคารเข้าไป

คุณวิชิต ผู้ใหญ่ใจดี มีความสุภาพ ผู้จัดการโรงงานคนเก่าแก่ ร่วมก่อร่างสร้างโรงงานนี้มากับคุณพ่อของพี่ป้อง

อือม์ ส่วนของสำนักงานน่าจะอยู่บนชั้นสองด้านขวามือของหล่อน ส่วนชั้นล่างนี้ก็คงเป็นส่วนของแผนกต้อนรับ และก็ถูกจัดให้เป็นห้องเล็กๆสำหรับจัดแสดงโปรดักท์ของโรงงานด้วย ทางซ้ายมือของด้านในอาคารเป็นห้องโล่งขนาดใหญ่ก็คงเป็นที่สำหรับใช้เก็บสต๊อกสินค้าระหว่างรอการส่งออกให้ลูกค้า

คุณวิชิตได้แนะนำให้ผู้มาใหม่รู้จักกับราณี หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้น ผิวขาวแบบคนเหนือแท้ ใบหน้าหวานน่ารัก ตากลมโต ผมยาวตรงสลวย พนักงานหนึ่งเดียวผู้เป็นทั้งแผนกต้อนรับและแผนกประชาสัมพันธ์ของโรงงาน ชายผู้เป็นผู้จัดการโรงงานแนะนำว่า สิปรางค์เดินทางมาจากสำนักงานใหญ่เพื่อช่วยจัดระเบียบข้อมูลต่างๆของโรงงาน

"สวัสดีค่ะ เรียกเบลล่าก็ได้นะคะ คุณสิปรางค์ต้องการอะไรบอกได้เลยค่ะ"

ราณีทักทายหล่อนด้วยอาการยิ้มแย้มบวกกับน้ำเสียงหวานใสน่ารัก สิปรางค์มองตอบด้วยสายตาเป็นมิตร

คุณราณี… น่ารักใสๆ อือม์ น่าจะเป็นสายแบ๊วตัวท้อปขวัญใจของหนุ่มๆที่นี่…

หลังจากนั้นคุณวิชิตก็ได้พาหญิงสาวผู้มาใหม่ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ซึ่งมีส่วนด้านหน้าเป็นระเบียงไม้กว้างสำหรับสองคนเดินสวนกันได้อย่างสบายๆ ส่วนของสำนักงานที่เป็นห้องกระจกกั้นเป็นห้องๆนั้นตั้งอยู่เป็นแนวยาวแถวเดียวขนานไปกับระเบียงไม้ ห้องทำงานของคุณวิชิตเป็นห้องเล็กๆถูกจัดไว้อยู่ด้านขวามือสุด ถัดมาเป็นห้องที่ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยมีโต๊ะทำงานว่างๆสองโต๊ะจัดเตรียมรออยู่แล้ว ห้องนี้น่าจะถูกจัดไว้ให้เป็นห้องทำงานของหล่อน เพราะเมื่อคุณวิชิตพาหล่อนเข้าไปในห้องก็มีพนักงานคนหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว

"นี่คือคุณดนัยครับ เลขาของผมเอง แต่ต่อไปเขาจะมาช่วยคุณประสานงานในเรื่องต่างๆ"

ผู้จัดการโรงงานสูงวัยแนะนำให้สิปรางค์รู้จักกับผู้ช่วยของหล่อน

ดนัยยิ้มให้หล่อนอย่างสำรวจตรวจตรา สายตาเรดาร์และสมองของการวิเคราะห์ของสิปรางค์ก็เริ่มทำงานต่อไป

คุณดนัย หนุ่มใหญ่วัยกลางคนท่าทางตุ้งติ้ง เสื้อเชิ้ตอาร์มานี่ เนกไทเวอร์ซาเช่ นาฬิกาข้อมือแอปเปิ้ลวอช อือม์ รสนิยมแปรผกผันกับสภาพโรงงานจริงๆ

ถัดมาจากห้องทำงานของหล่อนก็คือห้องประชุมใหญ่ขนาดโต๊ะสำหรับสิบคนนั่งล้อมรอบได้ ปลายสุดด้านซ้ายของห้องประชุมใหญ่มีประตูอีกบานสำหรับเปิดไปยังห้องกาแฟที่อยู่ติดกัน และอีกด้านหนึ่งของห้องกาแฟก็จะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งพนักงานในแผนกต่างๆในส่วนของสำนักงานจะนั่งทำงานรวมกันที่ห้องนี้ ส่วนห้องเล็กๆปลายสุดด้านซ้ายมือจะเป็นส่วนของแผนกไอที ซึ่งมีพนักงานดูแลอยู่เพียงคนเดียว

หลังจากได้ทำความรู้จักกับทุกคนในสำนักงานรวมไปถึงแผนกบัญชีและจัดซื้อแล้ว คุณวิชิตมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับแผนกบัญชีอีกเล็กน้อย หญิงสาวจึงออกมายืนรออยู่บริเวณราวระเบียงของชั้นสอง สิปรางค์กวาดสายตาไปรอบๆ อาคารไม้หลังนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพาหล่อนย้อนอดีตไปสักยี่สิบปีที่แล้ว

ปิดไปซะก็ดี โรงงานเก่าๆไร้อนาคตแบบนี้…

"ไงคะพี่ ทำงานวันแรก กลับมาซะเย็นเชียว นี่ถ้าไม่โทรตามว่าอาหารพร้อมแล้ว สงสัยจะยังไม่ยอมกลับ"

ปริมน้องสาวของหล่อนหันหน้ามาทักทายเมื่อเห็นสิปรางค์เดินเข้ามาในบริเวณสวนของรีสอร์ตที่หล่อนกำลังดูแลคนสวนให้ตัดเล็มต้นไม้อยู่

"เชียงใหม่นี่ดีนะ รถยังไม่เยอะเท่ากรุงเทพ ไปไหนมาไหนง่าย" ผู้เป็นพี่สาววางกระเป๋าทำงานลงที่โต๊ะ หยิบแก้วน้ำส้มที่พนักงานของรีสอร์ตยกมาบริการขึ้นมาจิบพลางมองไปรอบๆ "สวนสวยจังเลย เธอนี่มีฝีมือนะปริม"

"ชอบใช่มั้ยล่า สวนก็สวยอากาศก็ดี อยู่ไปนานๆแล้วจะติดใจค่ะพี่ มันยังไม่วุ่นวายเหมือนกรุงเทพ"

ปริมพูดพลางเดินกลับเข้ามาหาหล่อนที่โต๊ะ น้องสาวเลื่อนเก้าอี้ตรงข้ามหล่อนพร้อมหย่อนตัวลงทำหน้าสนอกสนใจกับ

"ว่าแต่ที่โรงงานเป็นไงบ้างคะ"

"ก็โรงงานเล็กๆ คนงานร้อยกว่าคน น่าจะปิดได้ง่าย สามเดือนก็น่าจะเรียบร้อย เฮ้อ…" สิปรางค์ตอบคำถามของน้องสาวอย่างไม่ใส่ใจนักพร้อมกับทำท่าบิดขี้เกียจ วันนี้หล่อนเริ่มงานด้วยการนั่งดูเอกสารต่างๆที่คุณดนัยขนมาให้ หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อว่าในยุคสมัยนี้แล้วยังจะใช้เอกสารเป็นกระดาษกันอีก

"ถือว่ามาสำรวจที่ดินแถวนี้ละกันค่ะพี่" ปริมดึงความสนใจของพี่สาวกลับไปยังเรื่องของที่ดิน "ถึงที่ทางแถวเชียงใหม่จะเริ่มแพงแล้ว แต่ถ้าหาดีๆก็น่าจะเจอที่น่าสนใจอยู่นะคะ"

น้องสาวหล่อนช่างรู้ใจหล่อนจริงๆ ในชีวิตนี้ของสิปรางค์ไม่เคยสนใจอะไรมากไปกว่าเรื่องของธุรกิจและการประสบความสำเร็จ และอันที่จริง การที่หญิงสาวตกลงรับปากมาทำงานที่เชียงใหม่ในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะหล่อนต้องการจะมาสำรวจตลาดที่ดินในเชียงใหม่ให้กับครอบครัวด้วย…

สิปรางค์นึกไปถึงตอนที่หล่อนเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าหล่อนคงต้องไปช่วยงานบริษัทที่เชียงใหม่เป็นเวลาสามเดือน

"หนูไม่ค่อยอยากจะไปเลย โรงงานเล็กๆ ไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจ"

ตอนนั้นใจหญิงสาวคิดว่า งานเล็กๆแบบนี้ไม่น่าต้องถึงมือวิศวกรฝีมือดีอย่างหล่อน ส่งเด็กจบใหม่ไปทำก็ได้ แค่โรงงานเล็กๆ ดูแค่บัญชีคร่าวๆแล้วปิดไปเลยก็น่าจะได้

"ป้องเค้าคงอยากให้ลูกจัดการน่ะ ให้เกียรติคุณวิชิตแล้วก็ลุงปราณแกด้วยมั้ง"

บิดาของหล่อนพอจะรู้จักและเข้าใจความเป็นไปของโรงงานนี้ดี

"ลูกไปดูเองน่ะดีแล้ว เดี๋ยวนี้ที่ดินเชียงใหม่ไม่ใช่ถูกๆแล้วนะ เราเอาที่ดินของโรงงานมาพัฒนาอย่างอื่นดีกว่า" มารดาของหล่อนสนับสนุนเต็มที่

ปกป้องมาคุยเรื่องนี้ที่บ้านของหญิงสาวในตอนแรกโดยมีบิดาและมารดาของหล่อนนั่งฟังอยู่ด้วย ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนโน้มน้าวให้สิปรางค์เป็นคนไปทำงานนี้เอง เพราะรู้ว่าครอบครัวของน้องสาวอาจสนใจพัฒนาที่ดินของโรงงานนี้ต่อไป ชายหนุ่มต้องการให้หล่อนมาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดทั้งหมดเพื่อประเมินสถานการณ์ของโรงงานที่เชียงใหม่นี้ ซึ่งโรงงานนี้เป็นสาขาแรกของบริษัทกาแฟของครอบครัวเขา

"ใช่ เผื่อปรางจะได้มีโอกาสไปสำรวจที่ทางอื่นๆในเชียงใหม่ด้วย ไปทั้งที่ก็ไปเก็บข้อมูลมาให้หมด" คุณปริญบิดาของหล่อนสนับสนุนมารดาอย่างเต็มที่อีกแรง

แม้ในใจลึกๆหญิงสาวจะไม่อยากไป แต่คำพูดของบิดาและมารดาที่เกี่ยวกับที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าการขึ้นไปทำงานที่เชียงใหม่ในครั้งนี้อาจจะนำมาซึ่งโอกาสอื่นๆซึ่งเป็นประโยชน์กับครอบครัวหล่อนได้อีก

และอีกอย่าง ปกป้องก็เป็นลูกพี่ลูกน้องที่หล่อนนับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆ หล่อนคงไม่สามารถจะปฏิเสธปกป้องได้…

หลังจากวันที่ปกป้องไปคุยกับหล่อนที่บ้าน หญิงสาวจึงได้เจอคุณวิชิตพร้อมๆกับพนักงานคนหนึ่งจากแผนกการเงินของบริษัท พี่ชายของหล่อนต้องการปรึกษาหารือกับทุกคนให้เร็วที่สุดถึงเรื่องแผนการปิดโรงงาน

การประชุมวางแผนจึงเกิดขึ้นในห้องประชุมของสำนักงานใหญ่ของบริษัท The Coffee บนตึกสูงระฟ้าใจกลางกรุงเทพ

"คร่าวๆคือ คุณสิปรางค์จะขึ้นไปเชียงใหม่ก่อนเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เผอิญคุณณัฐติดงานด่วนตรงนี้ อีกสองสามวันถึงค่อยตามขึ้นไป ส่วนผมคงจะขึ้นไปดูเดือนสุดท้ายตอนประเมินรายงานสำหรับส่งให้ผู้ถือหุ้น"

"เราต้องรอการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นด้วยหรือคะ"

สิปรางค์สงสัยในขั้นตอนที่ซับซ้อน ก็ในเมื่อปกป้องเห็นควรแล้วว่าควรปิดโรงงานนี้และบริษัทนี้ครอบครัวเขาก็ถือหุ้นใหญ่ เรื่องราวมันควรจะดำเนินไปง่ายๆไม่ใช่หรือ

"ครับน้องปราง เพราะเรากำลังจะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น เพราะฉะนั้นทุกขั้นตอนระหว่างนี้ เราต้องรายงานผู้ถือหุ้นรายใหญ่"

"แล้วทำไมทุกอย่างคงต้องเป็นความลับครับ" ณัฐชายหนุ่มจากแผนกการเงิน หนึ่งในผู้ร่วมทีมถามด้วยความสงสัย

"ผมไม่อยากให้ข่าวนี้รั่วไปข้างนอกก่อนงานสำเร็จ เดี๋ยวพวกสื่อจะเอาเรื่องนี้มาโจมตี มันจะไม่เป็นผลดีกับราคาหุ้นของเราตอนเข้าตลาด" ปกป้องเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ

เมื่อเห็นทุกคนกำลังตั้งใจฟัง ชายหนุ่มจึงพูดต่อไป

"จะมีก็แต่คุณสิปรางค์ คุณวิชิต และคุณณัฐเท่านั้นที่รู้ เรื่องนี้ต้องเป็นความลับสุดยอด ข่าวจะแพร่งพรายออกไปไม่ได้ กรณีปิดโรงงานอย่างนี้ กฎหมายแรงงานอนุญาตให้บอกล่วงหน้าอย่างช้าสุดหนึ่งเดือน ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรถ้าเราจะแถลงข่าวเรื่องนี้ในตอนหลัง"

"แล้วอย่างนี้พนักงานจะไม่สงสัยหรือครับ อยู่ๆก็มีคนจากสำนักงานใหญ่ขึ้นไปตั้งสองคน" ณัฐถามอีกด้วยความสงสัย แม้เขาเองจะเคยได้ยินชื่อโรงงานนี้มาก่อน แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาโรงงานนี้จะถูกลืมเลือนจากบริษัทแม่ไป ณัฐไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนเองจะถูกส่งไปทำงานที่นั่น

"ผมถึงคิดว่า คุณณัฐตามไปทีหลังก็ดีอย่างนะครับ จะได้ไม่ดูเอิกเกริก คุณน้าวิชิตเห็นด้วยใช่ไหมครับ" ปกป้องหันมาทางคุณวิชิตซึ่งนั่งเงียบมาโดยตลอดตั้งแต่ต้น

"ก็… ครับ" ชายสูงวัยตอบด้วยท่าทางขรึมๆ สิปรางค์มองท่าทางนั้นของวิชิตอย่างไม่ใส่ใจนัก หล่อนยังไม่หายข้องใจอีกเรื่อง

"แล้วพี่ป้องจะให้ปรางบอกพวกพนักงานว่ายังไงคะ ถ้ามีคนถามว่าปรางกับณัฐไปทำอะไรที่นั่น"

"คุณน้าวิชิตมีความเห็นว่ายังไงครับ" ซีอีโอหนุ่มลูกพี่ลูกน้องของสิปรางค์หันมาทางผู้จัดการสูงวัย

วิชิตถอนหายใจ โรงงานเขาเป็นโรงงานเล็กๆ การที่จะมีคนจากสำนักงานใหญ่เข้าไปร่วมทำงานด้วยถึงสองคนย่อมเป็นที่น่าสงสัยแน่ๆ

"ก็… คงจะต้องบอกว่า มาช่วยเรื่องจัดระเบียบข้อมูลน่ะครับ" ผู้จัดการโรงงานค่อยๆเอ่ยออกมาอย่างไตร่ตรอง

วิชิตนึกไปถึงบรรดาพนักงานและคนงานในโรงงานของเขา เรื่องนี้ไม่น่าจะปิดกันง่ายๆ ทุกคนในโรงงานของเขาสนิทสนมกันหมด แล้วนี่เขาจะปิดเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบกับชีวิตทุกคนให้เป็นความลับได้อย่างไร

"ขอย้ำกับทุกคนอีกครั้งนะครับ งานนี้ต้องเป็นความลับมากที่สุด เพื่อไม่ให้พนักงานแตกตื่น"

เสียงปกป้องยังก้องเข้ามาในหูของผู้จัดการโรงงานผู้สูงวัย…

หลังการประชุมเรื่องปิดโรงงาน ปกป้องขอคุยกับสิปรางค์เป็นการส่วนตัวที่ห้องทำงานของเขา

"ว่าไงเรา หนักใจไหม" ลูกพี่ลูกน้องหล่อนถามด้วยท่าทางสบายๆ

"แค่โรงงานเล็กๆ ไม่ต้องให้น้องไปก็ได้มั้งคะ ความจริงคุณณัฐไปคนเดียวก็อยู่แล้ว" สิปรางค์ยักไหล่ ยังไม่วายรู้สึกว่าหล่อนไม่จำเป็นสำหรับงานสเกลล่างๆระดับนี้

"เอาจริงพี่ก็คิดงั้นนะ แต่เกรงใจคุณพ่อกับคุณน้าวิชิตน่ะสิ ทั้งสองคนเค้ารักของเค้า สร้างกันมากับมือตั้งแต่ยังเป็นที่ดินเปล่าๆ เฮ้อ ก็น่าเห็นใจอยู่นะ" คนเป็นพี่ถอนหายใจ

"ก็เลยจะให้ปรางไปทำรายละเอียดมางั้น" ส่วนคนเป็นน้องมองบน

"ถ้าได้น้องปรางมาช่วยชี้แจงยืนยันกับคุณพ่ออีกแรง แกก็คงรู้สึกสบายใจขึ้น ว่าเราตัดสินใจไม่ผิด"

ปกป้องถอนหายใจอีกรอบ อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยกับการปิดโรงงานครั้งนี้ โรงงานแห่งแรกของครอบครัวเขา ชายหนุ่มเองก็รู้สึกผูกพันกับที่นี่ไม่น้อย เขายังจำได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ตามบิดาขึ้นเครื่องบินไปเชียงใหม่อยู่บ่อยๆ เพื่อไปตรวจตราโรงงานแห่งนี้

หากผู้เป็นน้องสาวไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย สิปรางค์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก

"โลกของธุรกิจมันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ใครปรับตัวก่อนก็รอดไป"

"พูดจากสมกับจบมาจากมหาลัยชื่อดังทางธุรกิจเลยนะเรา" ปกป้องมองลูกพี่ลูกน้องคนสนิทอย่างเอ็นดู ใครๆก็รู้ว่าสิปรางค์เรียนเก่ง ทำงานเก่ง สำหรับหญิงสาวแล้วเรื่องของงานต้องมาอันดับหนึ่งเสมอ แต่ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ไม่วายที่จะกำชับน้องสาวอีกที

"อ้อ แล้วอย่าลืมที่บอกนะ อย่าไปสนิทสนมกับพวกพนักงานมากนัก เพราะเดี๋ยวเราจะพาลลำบากใจเอา"

"พี่ป้องสบายใจได้ ตอนอยู่อเมริกา ปรางก็เคยปิดมาหลายโรงงานแล้วค่ะ มืออาชีพค่ะ" สิปรางค์ตกปากรับคำญาติผู้พี่อย่างมั่นเหมาะ

หล่อนไม่ใช่คนใจอ่อน หล่อนรู้จักตัวเองดี…

สิปรางค์เกิดในตระกูลใหญ่ที่มีอันจะกิน หญิงสาวเกิดมาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบ หลังจากจบชั้นประถมจากโรงเรียนนานาชาติ ครอบครัวก็ส่งหล่อนไปอยู่อเมริกาตั้งแต่ชั้นไฮสคูล จนจบปริญญาตรีทางวิศวกรรมอุตสาหการจากมหาวิทยาลัยเอ็มไอที ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยทางวิศวกรรมชั้นนำของอเมริกา และก็ยังจบปริญญาโทบริหารธุรกิจเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากฮาวาร์ด ซึ่งก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการบริหารธุรกิจอีกด้วย ในวันรับปริญญาของสิปรางค์ พ่อแม่และปริมน้องสาวของหล่อนบินไปแสดงความยินดีถึงที่ บรรยากาศที่ชื่นมื่นของครอบครัวทำให้หญิงสาวภูมิใจในตัวเองอย่างเป็นที่สุด

หลังจากสิปรางค์จบปริญญาโทและทำงานในบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจอยู่ที่อเมริกาได้ห้าหกปี คุณลุงปราณซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของบิดาหล่อน ก็ได้ชักชวนให้หญิงสาวมาช่วยบริหารงานในบริษัทผลิตกาแฟของครอบครัว สิปรางค์ตัดสินใจกลับมาประเทศไทยโดยไม่ลังเล เพราะในใจหล่อนก็นึกเบื่ออเมริกาอยู่บ้างแล้วเนื่องจากเติบโตและอยู่ที่นั่นมาจนเกือบทั้งชีวิต

ส่วนคุณปริญบิดาของหญิงสาวและคุณหญิงอาปิ่นอนงค์น้องสาวคนสุดท้องของครอบครัวต่างช่วยกันบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณหญิงอาดูแลธุรกิจโรงแรมต่างๆในเครือ ส่วนบิดาหล่อนดูแลด้านอสังหาริมทรัพย์ซื้อขายและบริหารจัดการที่ดิน

และที่ดินเป็นรีสอร์ตของน้องสาวหล่อนในปัจจุบันนี้ บิดาของสิปรางค์ก็ซื้อไว้นานแล้ว ในตอนหลังเมื่อน้องสาวของหล่อนแต่งงานกับธนาลูกชายของนักธุรกิจชื่อดังของเชียงใหม่ ทั้งสองจึงช่วยกันสร้างรีสอร์ตแห่งนี้ขึ้นมาและก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นรีสอร์ตที่มีบรรยากาศดี อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และที่สำคัญคืออยู่ติดริมแม่น้ำปิง ซึ่งหากได้ที่ดินบริเวณสวนผลไม้ตรงโค้งน้ำนั้นเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งจะทำให้รีสอร์ตของน้องสาวหล่อนเป็นที่น่าพิสมัยมากขึ้น

แต่สิปรางค์หารู้ไม่ว่า การมาเชียงใหม่ครั้งนี้ จะเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนวิถีชีวิตของหล่อนไปตลอดกาล…