"ผมขอขอบคุณทุกๆคน สำหรับสิ่งที่พวกเราตั้งใจทำกันมาตลอดทั้งปี คืนนี้ขอให้ทุกคนสนุกกันให้เต็มที่"
วิชิตพยายามกล่าวเปิดงานเลี้ยงปีใหม่ประจำปีให้สั้นที่สุด ผู้สูงวัยรู้สึกสะท้อนใจลึกๆ เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่สิปรางค์ได้พยายามทำในหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จ แต่เขาได้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหญิงสาวอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว วิชิตรู้สึกผิดในใจอย่างยากที่จะลบเลือน ส่วนหนึ่งมันคงเป็นเพราะตัวเขาเองที่เป็นคนทำให้โรงงานต้องมาถึงจุดจุดนี้
งานปีใหม่ในค่ำคืนนี้ถูกจัดขึ้นที่บริเวณถนนลานกว้างด้านหน้าของอาคารสำนักงาน เวทีไม้ยกพื้นขึ้นสูงพอสมควรถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรงโดยหันหน้าออกไปด้านตรงข้ามซึ่งเป็นบริเวณโรงจอดรถริมแม่น้ำ หน้าเวทีถูกเว้นระยะห่างเอาไว้สำหรับนักเต้นเท้าไฟทั้งหลาย สำรับอาหารบุฟเฟต์คาวหวานวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะด้านข้าง โต๊ะไม้ยาวจากโรงอาหารถูกนำลำเลียงมาให้ชาวโรงงานได้มีที่นั่งร่วมงานเลี้ยงอาหารเย็นด้วยกัน และก็แน่นอน ทุกคนมาร่วมงานด้วยความรื่นเริงในชุดเสื้อม่อฮ่อม
งานเลี้ยงครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่ผู้จัดการโรงงานแก่ๆคนนี้จะมีโอกาสได้ทำให้พนักงานที่รักของเขามีความสุข
"และงานนี้ถือเป็นการเลี้ยงส่งคุณณัฐด้วยนะพวกเรา คุณณัฐจะอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ขอเชิญคุณณัฐขึ้นมากล่าวอำลากับพวกเราหน่อยครับ"
แล้ววิชิตก็ผายมือไปทางนักบัญชีหนุ่มซึ่งกำลังยืนอยู่ด้านล่างข้างๆของเวที ทุกคนต่างมองด้วยความแปลกใจมาที่ชายหนุ่มเป็นจุดเดียว ข่าวนี้เป็นข่าวใหม่ที่ชาวโรงงานกาแฟมิตรแท้เพิ่งจะได้รับรู้พร้อมๆกัน
ณัฐหันหน้ามามองสิปรางค์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวยิ้มน้อยๆพยักหน้าให้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินนิ่งๆขึ้นไปบนเวที
"ผมขอบคุณทุกๆคนมากที่ให้ความร่วมมือในการทำงานกับผม"
ชายหนุ่มผู้มาจากกรุงเทพเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พยายามสะกดอารมณ์ให้เป็นปกติ แม้เขาจะคุ้นเคยกับการไปทำงานกับลูกค้าตามที่ต่างๆเป็นระยะเวลานานๆ แต่ที่นี่ก็ไม่เหมือนที่อื่นๆ ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองและความมีมิตรไมตรีของที่แห่งนี้ มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกผูกพันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ณัฐรู้สึกเศร้าใจผสมกับความรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดถึงหน้าที่ของเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็คือการทำร้ายทุกคนนั่นเอง
"ผมอยากจะบอกว่า..."
ณัฐหยุดไปชั่วครู่ มองไปที่บรรดาชาวกาแฟที่ยืนกันอยู่สลอนข้างล่างเวที ทุกคนมีใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มและกำลังตั้งใจฟังเขาพูด ชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆในใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเขากำลังหักหลังคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ทุกคน
"ผมขอให้ทุกคนโชคดี ขอบคุณครับ" แล้วชายหนุ่มส่งไมค์คืนให้คุณวิชิต ก่อนจะรีบเดินลงจากเวทีตรงเข้าไปยังที่หญิงสาวรุ่นพี่ยืนอยู่ทันที
"ขอบคุณคุณณัฐมากครับ เอ้า! พวกเราเต็มที่เลย! ขอเสียงหน่อย!"
คุณวิชิตนำเปิดงานพร้อมๆกับเสียงโห่ร้องด้วยความสนุกสนานของชาวโรงงาน
"ไชโย! ไชโย! ไชโย!"
สิปรางค์มองไปรอบๆด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เมื่อได้เห็นบรรยากาศความรื่นเริงของชาวโรงงานในวันนี้แล้ว หญิงสาวก็ได้แต่สะท้อนใจ เฉกเช่นเดียวกับหนุ่มรุ่นน้อง
"ทำใจยากว่ะพี่ เหมือนหักหลังพวกเค้ายังไงไม่รู้" เขาพูดก่อนจะยกแก้วเบียร์ที่รับมาจากคนงานคนหนึ่งขึ้นดื่มอึกใหญ่ เมาๆไปเสียเลยดีไหมวะวันนี้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่อย่างนี้
"ก็หวังว่าพวกผู้ถือหุ้นเค้าจะฟังเราบ้างนะ" หญิงสาวเองก็มีสีหน้าหนักใจไม่น้อย
"ผมขอโทษด้วยจริงๆพี่ ที่ไม่สามารถอยู่ช่วยพี่ได้จนถึงวันสุดท้าย" ชายหนุ่มหันมามองสิปรางค์ด้วยสายตาเสียใจ ก่อนจะหัวเราะแค่นๆ "ผมว่านะที่คุณป้องแกรีบเรียกผมกลับ แกอาจจะกลัวว่าถ้าผมยังอยู่ เดี๋ยวผมเกิดจะไปขัดขวางอะไรแกอีก"
"ไม่หรอก พี่ป้องแกแค่อยากให้เธอไปช่วยดูปิดบัญชีก่อนสิ้นปีก็แค่นั้นเอง" คนเป็นรุ่นพี่พูดเหมือนไม่อยากให้รุ่นน้องคิดมาก ทั้งๆที่ในใจก็แอบคิดเช่นนั้นไม่ได้ ปกป้องเรียกตัวณัฐกลับบริษัทใหญ่ที่กรุงเทพทันทีหลังจากชายหนุ่มส่งรายงานบัญชีของโรงงานนี้เรียบร้อย ส่วนสิปรางค์นั้นจะอยู่ต่อจนกระทั่งปิดโรงงานวันสุดท้าย
"แล้วพี่จะลงกรุงเทพเมื่อไหร่ครับ"
"ก็อาทิตย์หน้าเลย หลังวันหยุดปีใหม่"
"แต่จะว่าไปนะ คิดอีกที ผมว่าผมโคตรโชคดีเลยที่บริษัทเค้าเรียกตัวผมกลับก่อน ไม่ต้องอยู่จนถึงวันปิดโรงงาน ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลยถ้าพวกเค้ารู้ความจริง"
ชายหนุ่มถอนหายใจและหัวเราะแค่นๆกับตัวเอง สิปรางค์หันหน้ามามองเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง หล่อนไม่เคยเห็นอารมณ์หม่นหมองอย่างนี้ของณัฐมาก่อน หนุ่มหล่อผู้ไม่เคยยี่หระกับอะไรทั้งสิ้น ณัฐไม่ใช่คนที่จะมาใส่ใจความรู้สึกของใครง่ายๆ
"มันก็เป็นแค่เรื่องของหน้าที่การงาน อย่าคิดมากเลย"
สิปรางค์ก็ปลอบใจเพื่อนรุ่นน้องไปเช่นนั้นเอง ในขณะที่ตัวรุ่นพี่เองก็รู้สึกผิดไม่ต่างกัน และที่หนักกว่าก็คือหญิงสาวรู้ดีว่าความรู้สึกนี้คงจะตามหลอกหลอนหล่อนไปอีกตราบนานเท่านาน
"ว่าแต่เรื่องของเธอเหอะ นี่เคลียร์ตัวเองเรียบร้อยรึยัง" หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง หล่อนเเอื้อมมือไปตบไหล่ชายหนุ่ม รู้ว่าเขารู้ว่าหล่อนหมายถึงเรื่องอะไร "คุยกับเค้าให้รู้เรื่องนะ อย่าหายไปเฉยๆ เห็นใจผู้หญิงบ้าง"
ในฐานะเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่หล่อนคงเตือนเขาได้เพียงเท่านี้ หญิงสาวไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของใคร ณัฐหันมามองหล่อนด้วยสายตาประหลาดใจ สิปรางค์รู้เรื่องเขากับราณีด้วยหรือนี่ ชายหนุ่มทำได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้กับเพื่อนสาวรุ่นพี่อย่างยอมจำนน…
หลังจากที่ทุกคนอิ่มหนำจากอาหารเย็นกันแล้ว ก็ได้เวลาของความบันเทิงอันเป็นจุดประสงค์หลักของงานนี้ บรรดาโต๊ะไม้บางส่วนถูกยกออกไป เพื่อขยายลานหน้าเวทีให้กว้างขึ้น แล้วดนัยจึงก้าวขึ้นบนเวที เขามาด้วยแฟชั่นชุดเดิม คือเสื้อม่อฮ่อมคอจีน ถูกผูกปลายด้วยโบว์ขนาดใหญ่สีรุ้ง และกางเกงทรงเลสีครามปลายบานกว่าปกติ
"และเพื่อเป็นการอำลาส่งท้ายให้คุณณัฐนะฮ้า กลุ่มสาวน้อยในโรงงานของเราจึงขอมอบการแสดงสุดพิเศษนี้ให้กับคุณณัฐคนดียวเลยฮ้า และณ บัดนี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับสาวๆเกิร์ลกรุ๊ปBNK68 ที่จะมาในเพลงของลำไยไหทองคำฮ้า"
"ซอมเบิ่งอยู่เด้อ ถ้าหากว่าเธอ นั้นเลิกกันกับเขา เรื่องของสองเฮาสิเป็นไปได้บ่….
ฟ่าวเลิกกันแหน่เถาะ ผู้สาวขาเลาะ อยากเป็นผู้สาวอ้าย…"
แม้เพลงที่คัดเลือกมานั้นจะมาจากนักร้องสาวอีสาน แต่ความต่างของวัฒนธรรมภาษานั้นก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อความครื้นเครงของเหล่าบรรดาชาวโรงงานไม่ จะอีสานหรือเหนือ เราก็เว้าก็อู้กันรู้เรื่อง อาจจะเป็นด้วยแรงเชียร์จากบรรดาชาวโรงงานข้างล่างเวที ทำให้สาวน้อยบนเวทียักย้ายส่ายสะโพกกันเต็มที่อย่างพร้อมเพรียงตามที่ซ้อมมา แม้อายุอานามส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยเกินหกสิบปีแล้ว…
"ผมว่าคุณคงเข้าใจ ชีวิตผมไม่ได้อยู่ที่นี่"
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มนักรักอย่างณัฐต้องพูดอย่างกระอักกระอ่วนใจเมื่อเขาต้องการตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิง ชายหนุ่มต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานพอควรที่จะตัดสินใจบอกยุติความสัมพันธ์ของเขากับราณี
และเขาคิดว่า ในงานปีใหม่นี้ล่ะที่เหมาะที่สุดที่จะดำเนินการ ในบรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมแบบนี้ เขาน่าจะจบเรื่องได้เร็ว และราณีก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้ยืดเยื้อมาก เขารู้นิสัยของผู้หญิงคนนี้ดี หล่อนห่วงภาพลักษณ์ของตนเองมาก และจะไม่มีวันทำเรื่องที่จะให้ตนเองได้เสียหน้าเป็นอันขาด
แม้ชายหนุ่มจะชอบคนสวยคนนี้เอามากๆ แต่ชีวิตของเขาก็อยู่ที่กรุงเทพ ที่นั่นมีทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว และแฟนสาวที่น่ารักเพียบพร้อมและเหมาะสมกับเขารอคอยเขาอยู่
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผ่านมามันไม่ได้ยากเหมือนครั้งนี้…
ครั้งนี้ชายหนุ่มรู้สึกผิดมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน อาจเนื่องด้วยเขารู้ว่าตนเองกำลังทำร้ายราณีสองต่อ ทั้งเรื่องปิดโรงงานและเรื่องของความรัก แต่ณัฐก็รักตัวเองเกินกว่าที่จะจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้
"เราจบกันด้วยดีเถอะนะครับ ผมจะกลับกรุงเทพมะรืนนี้แล้ว"
ณัฐเลือกมุมสงบบริเวณริมแม่น้ำไกลออกมาจากโรงจอดรถเล็กน้อยเป็นสถานที่บอกตัดความสัมพันธ์ ราณีน้ำตาไหลอาบแก้ม หญิงสาวเม้มปากแน่น ได้แต่มองหนุ่มรูปหล่อตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บช้ำ ถึงแม้ว่าหล่อนจะรู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องมาถึง วันที่เขาจะบอกลาหล่อน แต่เมื่อเวลานั้นมันมาถึงจริงๆ มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำใจ
ทำไมราณีจะไม่เคยสังเกตเห็นว่าหนุ่มกรุงเทพคนนี้ไม่เคยคิดจะจริงจังกับหล่อน คุณณัฐเองก็เคยบอกตรงๆกับหล่อนว่าเขามีแฟนแล้ว หากแต่หญิงสาวเผลอใจปล่อยกายให้กับเขาเพราะหล่อนรักเขามาก คุณณัฐเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่ราณีหาได้ไม่ง่ายนักในโลกรอบๆตัวหล่อน
"ผมขอโทษจริงๆ แต่ยังไงเรื่องของเราก็คงไปต่อไม่ได้"
ณัฐมองหน้าหญิงสาวสวยตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสารหล่อนจับใจ ดวงตาแสนสวยคู่นั้นบ่งบอกความเจ็บช้ำอย่างเหลือประมาณ เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าราณีจะเสียใจมากมาย เคยคิดแค่ว่าราณีคงเป็นผู้หญิงที่ใจง่าย รักสนุก ก็แค่นั้น
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปหมายจะไปป้ายน้ำตาบนใบหน้าขาวสวยนั้น แต่ราณีกลับเบือนหน้าหนีทั้งๆที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
และแล้วหญิงสาวก็เชิดหน้าขึ้นแม้น้ำตาจะคงไหลอาบแก้ม ใช่ว่ามันจะคือความผิดของเขาแต่เพียงผู้เดียว หล่อนต่างหากที่เดินเข้ากองไฟนี้เองตั้งแต่ในตอนแรก
"ช่างมันเถอะค่ะ มันก็แค่ความรักของผู้หญิงใจง่ายคนนึง"
ความรักมันเป็นเช่นนี้เอง มันทำร้ายหล่อน ทำให้หล่อนเจ็บปวดจนแทบขาดใจ หล่อนผิดเองที่ปล่อยให้มันทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"เบลล่า ผมขอโทษ…"
ณัฐพึมพำไม่กล้าสู้ตาของหญิงสาว ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าราณีจะเป็นแบบผู้หญิงคนอื่นที่โวยวายด่าทอเมื่อเขาบอกลา เขาคงจะไม่รู้สึกแย่เช่นนี้
"โชคดีนะคะ เบลล่าดีใจค่ะที่ได้รู้จักกับคุณค่ะ"
ราณียิ้มให้เขาทั้งน้ำตา แล้วหล่อนก็หันหลังให้เขาง่ายๆอย่างนั้นเอง ณัฐเอื้อมมือจะไปดึงแขนกลมกลึงนั่นเอาไว้ แต่หญิงสาวก็เดินจากเขาไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มทิ้งแขนลงข้างตัวอย่างหมดแรง มองตามหลังหญิงสาวไปด้วยสายตาที่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป การจากลาแบบง่ายดายอย่างนี้ไม่ใช่หรือที่เขาหวังเอาไว้
แต่ทำไมเมื่อถึงเวลาที่มันเกิดขึ้นจริง เขากลับรู้สึกแย่มากขนาดนี้…
"รอนแรมมาเนิ่นนาน เพียงหนึ่งใจ กับทางที่โรยเอาไว้ด้วยขวากหนาม…
แต่หัวใจของคน ยังยืนยันจะไม่ถอดใจ..."
ชายหนุ่มนายช่างใหญ่มาในชุดเครื่องแบบเสื้อยืดกางเกงยีนอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา วินเปิดวงดนตรีด้วยเพลงฮึกเหิมให้กำลังใจของพี่ตูน เรียกเสียงกรี๊ดจากชาวโรงงานถ้วนหน้า และก็ถึงคราวของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ด้านล่างเวทีที่ต่างลุกขึ้นมาโชว์สเต็ปกันตามถนัดของแต่ละคน
"ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาว อยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป…
ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไรจะไปจนถึงแสงสุดท้าย..."
สิปรางค์น้ำตารื้นขณะยืนดูบรรยากาศที่สนุกสนานสุดเหวี่ยงนั้น บรรยากาศแบบนี้อาจจะไม่มีให้ได้เห็นอีกแล้ว ภาพต่างๆในอดีตทยอยกันผ่านเข้ามาในความทรงจำของหญิงสาว ตั้งแต่ภาพชาวไร่บนดอยเก็บเมล็ดเชอรี่ของกาแฟ ภาพรถสองแถวกำลังทยอยเข้ามาส่งชาวโรงงานในยามเช้า ภาพกลุ่มแม่บ้านหยอกเอินกันขณะกำลังนั่งคัดเมล็ดกาแฟ และภาพของนายช่างหนุ่มแห่งโรงซ่อมบำรุงกำลังใจจดใจจ่อกับการทดลองพัฒนาเครื่องคั่วกาแฟสูตรใหม่ๆ
"คุณสิปรางค์ฮ้า งานนี้จะยืนนิ่งเดี่ยวไม่ด้ายนะฮ้า ขอดูสเต็ปเทพๆหน่อยฮ้า"
ดนัยปราดเข้ามาฉุดแขนหญิงสาวให้เข้าไปหน้าเวที สิปรางค์แอบยกมือขึ้นเบือนหน้าหนีไปเช็ดน้ำตาด้วยความรวดเร็ว แล้วก็หันกลับมาหาเลขาหนุ่มใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริง
แม้ในใจจะกำลังเศร้าสร้อยมากมาย หากสิปรางค์ก็พยายามร่วมวงร้องเล่นเต้นระบำไปกับบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ชาวโรงงานอย่างสนุกสนานครื้นเครงเต็มที่
หากคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้สนุกด้วยกัน ก็ขอให้เป็นค่ำคืนที่สนุกที่สุด…
หัวหน้าช่างซ่อมบำรุงถือโอกาสลงจากเวทีเมื่อเขาเปิดนำไปได้สองสามเพลง ชายหนุ่มปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชาวโรงงานคนอื่นๆได้แสดงฝีมือกันต่อไป เรื่องร้องรำทำเพลงเป็นสิ่งถนัดของชาวโรงงานกาแฟมิตรแท้อยู่แล้ว เขาหลบออกมาสูบบุหรี่กับคำตั๋นที่ป้อมยาม
"ช่างวินเป็นผู้ชายที่น่ารักใช่ไหมฮะ"
สิปรางค์ได้ยินเสียงดนัยดังขึ้นที่ข้างหู ขณะที่หล่อนกำลังยืนดูวินนั่งยองๆคุยกับคำตั๋นอยู่ไกลๆ ยามสูงวัยนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หัวกลมข้างนอกป้อมยาม เขากำลังแลกเปลี่ยนบุหรี่สูบกันกับนายช่างวิน หญิงสาวยกมือขึ้นโบกไม้โบกมือให้นายช่างหนุ่มซึ่งบังเอิญหันมาทางหล่อนพอดี ชายหนุ่มยิ้มกว้างโบกมือกลับก่อนจะหันไปคุยกับคำตั๋นต่อไป
คนสวยของช่างวินจึงหันมากลับทางดนัย หล่อนพบแววตาอมยิ้มรู้ทันของเลขาคนสนิทรออยู่ก่อนแล้ว สิปรางค์คิดว่าดนัยรู้ดีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับวิน หล่อนคงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป
"ค่ะ น่ารักมาก"
หญิงสาวยอมรับตรงๆอย่างเปิดเผย พร้อมกับปรายตามองที่คนน่ารักคนนั้นอีกครั้ง วินกำลังคุยอยู่กับคำตั๋นอย่างออกรส อยากจะรู้นักว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน ปกติวินเป็นคนพูดน้อย แต่ทำไมเวลาอยู่กับคำตั๋นชายหนุ่มจึงหัวเราะเฮฮาได้ปานนั้น
แต่แล้วสิปรางค์ก็กลับรู้สึกรันทดใจขึ้นมาขณะจ้องมองภาพนั้น หล่อนเข้ามาที่นี่ เพื่อที่จะจากไปในวันหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่หล่อนต้องทิ้งหัวใจไว้กับคนร่างสูงที่กำลังนั่งยองๆหัวเราะกว้างคนนั้น
"พวกเราทุกคนรักช่างวิน" คราวนี้ดนัยหันหน้ามาทางคุณคนสวยโดยตรง
"ถ้าคุณคิดจะมาล้อเล่นกับหัวใจของหนุ่มเชียงใหม่คนนี้ล่ะก็ ดาน่าขอร้องล่ะฮ่ะ อย่าทำ"
คำพูดนั้นออกมาจากปากของดนัยอย่างช้าๆชัดถ้อยชัดคำ เป็นคำพูดจริงจังในแบบที่คนที่กำลังตั้งใจฟังไม่เคยได้ยินจากปากของเลขาคนนี้มาก่อน
สิปรางค์หัวใจแทบสลาย หล่อนไม่เคยคิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกใคร หล่อนมาที่นี่เพื่อมาทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา แต่หัวใจที่ดื้อด้านดวงนี้มันกลับไม่เชื่อฟังเจ้าของ หล่อนผิดเองที่ปล่อยปละหัวใจให้โบยบินไปตามปรารถนาครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่างวินคงจะเป็นเหมือนสายลมสมกับชื่อ ที่พัดผ่านเอาความสดชื่นเข้ามาให้หญิงสาวชั่วขณะ
และเพียงเพื่อรอเวลาที่จะพัดออกไป…