"มะปรางอยากเห็นทะเลหมอกไหมครับ"
คำเอ่ยชวนของชายหนุ่มทำให้สิปรางค์ลังเลใจ…
วันนี้เป็นวันสิ้นปี สำหรับหลายๆคนคงเป็นวันพักผ่อนเตรียมการฉลองรับศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ แต่สำหรับหญิงสาวแล้ว มันไม่สำคัญว่าจะเป็นวันอะไร หล่อนอยากจะสิงตัวอยู่ที่บ้านมากกว่า หล่อนต้องการจะเตรียมตัวให้พร้อมในการที่จะไปรายงานผลการสำรวจโรงงานกับผู้ถือหุ้น
พรุ่งนี้จะได้เวลาที่หล่อนจะลงกรุงเทพเพื่อไปคุยกับปกป้องถึงรายงานฉบับร่างที่ส่งไปให้เขาก่อนหน้านี้ การประชุมผู้ถือหุ้นจะเกิดขึ้นภายในสองสามวันข้างหน้า แม้ความหวังจะมีน้อยนิด แต่สิปรางค์ก็ยังคงหวังสุดใจ
ตราบใดที่สงครามยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งนับศพทหาร….
ชายหนุ่มยื่นหมวกกันน็อคให้หล่อนโดยไม่ปริปากพูดอะไร เหมือนต้องมนต์สะกด หญิงสาวรับมันมาสวมอย่างว่าง่าย แล้วก็อดที่จะจ้องมองหน้าเขาผ่านหมวกกันน็อคไม่ได้ หล่อนรู้ว่าคนตัวสูงบนมอเตอร์ไซค์กำลังยิ้มสดใส แม้ใบหน้าของเขาจะถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกกันน็อคแต่ดวงตายิ้มได้ของชายหนุ่มมันฟ้อง หล่อนคิดถึงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มนี้เหลือเกิน วันนี้วินปล่อยให้หญิงสาวได้ทำงานทั้งวัน ก่อนที่จะมารับหล่อนที่บ้านในตอนหัวค่ำ
"อยากพามะปรางไปเค้าท์ดาวน์บนดอย" คนตัวสูงเค้าว่างั้น
สิปรางค์กอดเอวของชายหนุ่มแน่นขณะที่เขาพาหล่อนลดเลี้ยวไปตามถนนในความมืด หญิงสาวซบตัวลงกับแผ่นหลังกว้างของเขาไปตลอดทาง ไม่ว่าคืนนี้วินจะพาไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน หล่อนก็เต็มใจจะไปกับเขาทุกที่
รู้ตัวดีว่าเวลาของหล่อนและเขาเหลืออีกไม่มากแล้ว…
ในเมื่อวันนี้มีโอกาส หล่อนก็อยากจะฟังเสียงแหบทุ้มนั่น อยากจะจ้องมองแววตาอมยิ้มได้คู่นั้น อยากจะได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆเบาๆของเขา ขอแค่เวลาที่เหลือนี้ได้อยู่ใกล้ๆคนตัวสูงคนนี้ให้ได้นานที่สุด…
"ดอยม่อนล่อง ชื่อแปลกจังเลยวิน"
"อย่ารู้ความหมายเลยครับ เดี๋ยวมะปรางจะกลัวซะเปล่าๆ"
อากาศหนาวเย็นบนดอยทำให้หญิงสาวที่นอนหนุนแขนชายหนุ่มอยู่ห่อตัวคุดคู้เข้าหาเขา วินเอื้อมมือมาจัดผ้าห่มให้คลุมร่างเล็กๆนั้นให้แน่นหนาขึ้น
"ทำไมเหรอ ม่อนล่อง แปลว่าอะไรเหรอ" คนตัวเล็กถามตาแป๋ว
"เอาไว้พรุ่งนี้ลงดอยไปแล้วผมจะเล่าตำนานให้ฟัง ตอนนี้มะปรางดูดาวก่อนดีไหมครับ ดาวสวยมากเลยนะครับ"
แสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าที่ใสกระจ่างปราศจากเมฆในคืนข้างแรมนี้ ทำให้สิปรางค์เบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องความหมายของชื่อดอยไปได้
"วินจำวันที่เรานั่งดูดาวกันที่บ้านของลุงแปงได้ไหม วันนั้นดาวสวยมาก แต่วันนี้ดาวสวยกว่ามากมากมาก มากที่สุด"
น้ำเสียงของหญิงสาวที่ซาบซึ้งกับบรรยากาศตรงหน้าเป็นที่สุดนั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องพลิกตัวตะแคงขึ้นมาจ้องมองใบหน้าสวยๆนั้น มะปรางของเขาดูมีความสุขมาก คนตัวเล็กนอนจ้องมองท้องฟ้าตาเป็นประกาย
"ผมจำทุกสิ่งที่เกี่ยวกับมะปรางได้" ท่ามกลางเสียงของความเงียบนั้น หญิงสาวได้ยินเขากระซิบเบาๆ
สิปรางค์หันหน้ามาหาคนตาเชื่อมอย่างช้าๆ หล่อนรู้ว่าวินไม่ได้พูดเล่น
"มะปรางร้องเพลงสาวเชียงใหม่ได้จนจบเพลง ไม่ดื่มกาแฟ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ผมเป็นครั้งแรกในชีวิต ชอบกินผัดผักหนาม กินเหล้าไม่เก่ง ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่ก็เล่นสนุกเกอร์แพ้ผม"
คนพูดน้อยเป็นปกติอย่างเขา กลับจำเรื่องของหล่อนได้ยาวเหยียด
ทั้งสองต่างสบตากันนิ่งๆอยู่อย่างนั้น แสงสลัวๆจากตะเกียงส่องให้ใบหน้านวลของหญิงสาวดูมีเสน่ห์เปล่งปลั่งจับใจ วินลูบไล้ใบหน้าสวยหวานนั้นอย่างเบามือ แล้วริมฝีปากอิ่มแดงเรื่อนั้นก็ถูกประกบแนบชิดแผ่วเบาจากริมฝีปากบางของชายหนุ่ม
สิปรางค์หลับตาลง สอดมือโอบรอบลำคอเขาไว้ หล่อนเผยอปากตอบรับความอ่อนโยนของเขาด้วยความเต็มใจ ปล่อยใจให้ลอยละล่องไปกับความสุขสมที่วินบรรจงมอบให้…
หญิงสาวนอนลืมตาร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ในวงแขนแข็งแรงท่ามกลางความมืดภายในเต็นท์ วินกำลังจ้องมองมะปรางของเขาด้วยสายตายิ้มๆตามเคย ทว่าคราวนี้คนสวยกลับรู้สึกเขินกับสายตาเปื้อนยิ้มทว่าคมกริบนั่น หล่อนจึงพลิกตัวหันหลังเพื่อหลบซ่อนใบหน้าอันร้อนผะผ่าว ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือมาโอบร่างบางๆจากทางข้างหลัง อากาศหน้าหนาวยามดึกอย่างนี้เป็นใจให้เขาต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า แล้วก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงสูดกลิ่นหอมของซอกคอขาวผ่องในอ้อมกอดนั้นเข้าฟอดใหญ่ แล้วใบหน้าคร้ามก็เริ่มซุกไซร้อย่างซุกซนไปทั่วผิวกายเนียนละมุมนั่น
ความวาบหวามก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในร่างบาง จนทำให้หล่อนต้องพลิกตัวหันหน้ากลับมาหาชายหนุ่ม พลันดวงตาคู่สวยก็บังเอิญไปสะดุดตาเข้ากับลวดลายของผีเสื้อตัวน้อยที่บนต้นแขนซ้ายที่ล่ำสันนั้น หญิงสาวจำได้ว่าเคยเห็นรอยสักนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านสวนของวิน นึกแล้วก็เขินที่ตอนนั้นหล่อนตั้งใจแอบดูเขาอาบน้ำ สิปรางค์แก้เขินด้วยการลูบไล้รอยสักบนผิวคร้ามนั้นไปมาเบาๆ
"ตอนสักเจ็บมากมั้ยวิน" หล่อนยื่นหน้าไปจูบลงที่ผีเสื้อสีสวยตัวนั้นด้วยความละมุน ผิวของคนเหนือนี่เค้าเนียนดีจังเลย ถึงแม้ผิวของวินจะคร้ามแดด แต่ก็นับว่าเป็นผู้ชายที่มีผิวเนียนนุ่มไม่เป็นรองใคร
"ก็เหมือนมดกัดนะ" เสียงแหบทุ้มกระซิบตอบเบาๆที่ข้างหูของหล่อน "แต่กัดพันครั้ง"
สิปรางค์อดหัวเราะไม่ได้ มือน้อยๆของหล่อนยังคงวนเวียนไปมาที่รอยสักรูปผีเสื้อนั้น
"แล้วนึกยังไงถึงสัก จะได้เท่ๆแมนๆ แบบเป็นหัวหน้าแก๊งงั้นสิ แล้วไม่กลัวติดเชื้อเหรอเนี่ย แล้วพ่อแม่ว่าไหม แล้ว…"
"พอก่อนครับ ทีละคำถาม" เขามองหล่อนอย่างเอ็นดู เอื้อมมือไปเขี่ยปลายผมของหล่อนเล่น
"งั้นคำถามแรก ทำไมวินถึงอยากจะมีรอยสัก"
"เปล่า ผมไม่เคยนึกจะสักนะ" เขาตอบยิ้มๆ
"อ้าว" หญิงสาวสงสัย ไม่นึกอยากจะสัก แล้วไหงได้ผีเสื้อสวยๆมาหนึ่งตัว
"เผอิญตอนนั้นเพื่อนผมมันอยากจะสัก เลยชวนให้ผมไปเป็นเพื่อนมัน แต่พอไปถึงมันเกิดกลัว มันก็เลยให้ผมสักด้วยกัน"
"ก็เลยสักเป็นเพื่อนเพื่อนงั้นเหรอ โอ้โห รักเพื่อนจังเลย"
"ก็ไม่รู้ สงสารมันมั้ง เห็นมันอยากสักมานานแล้ว เอ้อ รำคาญด้วย สักๆไป จะได้จบๆ กลับๆ"
วินเป็นคนง่ายๆเช่นนี้เอง สิปรางค์ชอบชายหนุ่มก็ตรงนี้ เขาทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เป็นเรื่องง่ายดายไปหมด หล่อนแทบจะไม่เคยเห็นเขาทุกข์ร้อนใจเรื่องใดเลย เขากินง่าย อยู่ง่าย ดูมีความสุขง่ายๆกับทุกสิ่งรอบๆตัวเสมอ
"แล้วทำไมถึงสักเป็นรูปผีเสื้อล่ะ ไม่สักเป็นรูปยันต์ รูปมังกร หรือรูปปลาตะเพียนแบบยากูซ่าญี่ปุ่นเหรอ"
"เอ้อ ปลาของยากูซ่านั่นไม่ใช่ปลาตะเพียนมั้งครับ ปลาตะเพียนเค้าสานเอาไว้แขวนบนเปลเด็ก ปลาของญี่ปุ่นน่าจะเป็นปลาคาร์ฟมากกว่าครับ"
"อ้าว อือ นั่นสิ เราก็ว่านะ ว่าไม่น่าใช่ปลาตะเพียน"
อาการยอมรับง่ายๆของหญิงสาวทำให้วินหัวเราะเบาๆ ซึ่งก็ไม่รู้เป็นอะไรทุกครั้งที่สิปรางค์ได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้ หล่อนจะรู้สึกอบอุ่นใจและผ่อนคลายเสมอ เหมือนว่าโลกทั้งใบจะมีแต่ความสุขที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆจากคนใจดีคนนี้
"แล้วทำไมเป็นรูปผีเสื้อล่ะ" คนตัวเล็กถามต่อไป หล่อนอยากฟังเสียงของเขาทั้งคืน อยากฟังชายหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองบ้าง
"ทีแรกผมก็ไม่รู้ว่าจะสักรูปอะไรดี ที่นี้ทางร้านเค้ามีแค็ตตาล็อกรูปรอยสักมาเปิดให้ดู ใต้รูปมันจะมีเขียนความหมายของรอยสักแบบต่างๆอยู่ด้วย ผมเห็นความหมายของผีเสื้อมันดูเท่ดี"
"เหรอ หมายความว่าอะไร เดี๋ยวนะวิน เราขอเดาก่อน อือม์ หมายถึง… ความอิสระหรือเปล่า"
"ในนั้นเค้าเขียนไว้ว่า ผีเสื้อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต จิตวิญญาณ และความฝัน" เขายิ้มน้อยๆให้กับคนสวยในอ้อมกอด ดูเหมือนวันนี้หล่อนจะสนอกสนใจเรื่องของเขาเสียเหลือเกิน
"โอ้โห ทรีอินวันเลย"
"ครับ เห็นมีความหมายเยอะดี ผมก็เลย…เอาผีเสื้อล่ะวะ"
สิปรางค์นิ่งคิดในสิ่งที่ได้ยินจากชายหนุ่ม
ชีวิต จิตวิญญาณ และความฝัน งั้นหรือ
หญิงสาวรู้ว่าวินคงไม่เคยคิดถึงเรื่องความหมายของคำพวกนี้อย่างจริงๆจังๆหรอก หนุ่มชาวเหนือคนนี้ไม่ใช่คนคิดมาก หรือแทบไม่ค่อยคิดอะไรที่มันซับซ้อนเลยมากกว่า
"แล้ว…ชีวิต ของวินคืออะไร"
"ห้ะ อะไรครับ ชีวิตอะไร" คนหล่อข้างกายทำหน้างงงวย
ว่าแล้วไง อย่ามาปรัชญากับพ่อหนุ่มคนนี้
"ก็คำว่าชีวิต ของวินหมายถึงอะไร" แต่หล่อนก็ยังอยากรู้ความคิดของชายหนุ่มคนนี้
"หูย ถามอะไรเนี่ย" เหมือนคนตัวสูงจะยังไม่ยอมตอบ
"เอาน่า ช่วยคิดนิดนึง เราอยากรู้จักวินให้มากขึ้น แบบ อะไรที่วินคิดว่าวินขาดมันไม่ได้ในชีวิตนี้" หญิงสาวทำหน้าตาคาดคั้นจริงจัง
"เอ้อ…" อาการจริงจังของคนตัวเล็กทำให้ชายหนุ่มจึงพยายามต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดเขาก็ตอบออกมาแบบขอไปที
"ก็ดนตรี แล้วก็งานที่โรงงานมั้ง"
สิปรางค์นิ่งอึ้ง แม้หล่อนจะพอเดาคำตอบได้อยู่บ้าง แต่เมื่อได้ฟังจากปากของเขาชัดๆอีกครั้ง หล่อนก็สะท้อนใจ นีเขาคงรักโรงงานนี้จริงๆ
"แล้วจิตวิญญาณของวินล่ะ" หญิงสาวจึงรีบข้ามไปคำถามที่สอง
คราวนี้คนตัวสูงนิ่งไปอีกหนึ่งพักใหญ่ ซึ่งคนตัวเล็กก็พยายามรอด้วยความอดทน ด้วยอยากจะรู้ความคิดที่ซับซ้อนของชายหนุ่มคนนี้บ้าง แต่แล้วในที่สุดคนตัวสูงก็ส่ายหน้า
"โอย ยาก ถามอะไร ไม่รู้เรื่อง"
"โอเค งั้นผ่านข้อนี้ไป มาถึงข้อสุดท้าย ความฝันของวินคืออะไร"
แต่ไม่ว่าจะเป็นคำถามไหน ชายหนุ่มก็นิ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอีกเช่นเคย
"ไม่รู้สิ ไม่เคยฝันอะไร"
หญิงสาวยอมใจคนตรงหน้าเหลือเกิน เหมือนช่างวินจะไม่ยอมคิดอะไรที่มันลึกซึ้งเกินไป
"เช่น ฝันอยากเป็นนักดนตรีไง" หล่อนพยายามช่วย
"ก็เป็นอยู่"
"อ่อ งั้นอยากเป็นเจ้าของโรงงานกาแฟ"
"ไม่อยากเป็น" คำตอบสั้นๆนี้ตอบออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องคิดนาน
"งั้นอาจจะอยากเป็นเจ้าของไร่กาแฟ" สิปรางค์ยังพยายามต่อไป คนเราต้องมีความฝัน มีจุดมุ่งหมาย มีความทะเยอทะยานสิ ชีวิตต้องไม่ง่ายขนาดนั้น
"ก็ไม่รู้ ช่างเถอะครับ ว่าแต่มะปรางเถอะ ไม่คิดจะไปหาหมอบ้างเหรอ ปวดหัวบ่อยๆอย่างนี้ไม่ดีนะ"
แล้วชายหนุ่มก็เข้าสู่โหมดปกติของเขาอีกครั้ง คือเขาไม่ชอบพูดไม่ชอบคิดอะไรเกี่ยวกับตนเอง หญิงสาวสังเกตได้ว่าผู้ชายคนนี้มักจะใส่ใจความเป็นไปของคนอื่นมากกว่า หลายครั้งที่เขาทำเหมือนกับว่าชีวิตเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไร
สิปรางค์ก้มลงจูบที่เจ้าผีเสื้อตัวน้อยบนไหล่เนียนของชายหนุ่มอีกครั้งอย่างรักใคร่ รอยสัมผัสอันนุ่มนวลของคนสวยทำให้วินกอดหล่อนแน่นขึ้น อันที่จริงเขาอยากจะตอบคำถามข้อสุดท้ายของหล่อนว่า
ความฝันของผม ก็คือการที่ได้นอนกอดมะปรางอย่างนี้ไง
หญิงสาวหลับตาลง ปล่อยใจให้กับความหนาวเย็นของอากาศบนดอยสูง ไม่อยากจะให้เวลาผ่านไปแม้แต่เพียงเสี้ยววินาที อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ทำให้หล่อนรู้สึกอบอุ่นเป็นที่สุด คนตัวสูงนัยน์ตายิ้มได้คนนี้… คนที่ใส่ใจคนอื่นมากกว่าใส่ใจตนเอง
เป็นคืนส่งท้ายปีเก่าคืนแรกในชีวิตของสิปรางค์ที่ไม่ได้ยินเสียงจุดพลุ หากได้ยินแต่เสียงของความสุข…
ริ้วแสงสีแดงเรื่อๆที่ฝ่าทะเลหมอกบนขอบฟ้าด้านตะวันออกนั้น กำลังสลัดความสลัวยามรุ่งอรุณของเช้าวันแรกแห่งปีออกไป หมอกที่เรียงรายกันเหมือนกับคลื่นแห่งท้องทะเลไม่มีผิด แสงอุ่นๆกระจายเต็มทั่วบริเวณ แล้วทอแสงแรกของปีนี้ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีทองจัดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์ทั้งดวงโผล่พ้นสันเขาที่สูงทะมึนสลับซับซ้อน
"สวยมากกกกกก ก. ไก่ล้านตัว!" สิปรางค์พึมพำอย่างไม่ขาดปาก รู้สึกสดชื่นกับกลิ่นหอมอ่อนๆของอากาศบริสุทธิ์ที่นานๆทีจะได้มีโอกาสสัมผัส
"ขอบคุณนะคะวินที่พาเรามาที่นี่ ขอบคุณจริงๆที่พาเรามาที่นี่" หญิงสาวหันไปจูบแก้มเขาเบาๆ
หล่อนกำลังนั่งชมความงดงามของกลิ่นอายของทะเลหมอกยามเช้าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับชายหนุ่มตาคมคนนั้น คนที่ทำให้ค่ำคืนที่ผ่านมาของหล่อนเป็นค่ำคืนที่งดงามที่สุดค่ำคืนหนึ่งในชีวิต
"ที่นี่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยที่สุดแล้วครับ" ชายหนุ่มอวดอ้างยิ้มๆ
"สวยที่สุดในประเทศไทยเลยเหรอ"
มะปรางของวินไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทยนัก หล่อนรู้สึกตื่นเต้นกับการรังสรรค์ของธรรมชาติที่ได้เห็นในเช้านี้มาก
"อ๋อ สวยที่สุดในอำเภอแม่ริมครับ" วินตอบหน้าตาย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
หญิงสาวอยากจะให้ทุกเช้าเป็นเหมือนเช้าวันนี้ วันที่หล่อนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ และเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดใสจากการได้เห็นแววตาคู่นั้นยิ้มหวานและได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆของเขา
"ตรงโน้นคืออำเภอแม่ริมไงครับ แล้วรีสอร์ตของมะปรางก็อยู่ตรงนั้น" แล้วเขาก็ชี้ไปที่หุบเขาตรงหน้า
"จริงอะ งั้นก็คือบ้านของวินด้วยสิ" คนสวยของวินเชื่อเขาอย่างสนิทใจ พยายามเพ่งตามองไปยังจุดเล็กๆที่คนขี้เล่นชี้มือไป
"แต่บ้านของเราติดแม่น้ำกันไม่ใช่เหรอ ตรงนั้นมันคือแม่น้ำเหรอวิน ว้า เสียดายไม่ได้มีกล้องส่องทางไกลมาด้วย ถ้าส่องไปจะเห็นสมเพชรไหมน้า" สิปรางค์ทำมือเป็นกล้องส่องทางไกล ท่าทางของหล่อนจริงจังมาก
"อื้อ ครับ บ้านของเราติดแม่น้ำ บ้านของเรา…"
วินพึมพำ มองคนข้างๆด้วยสายตาเอ็นดู ผมเผ้าของหล่อนรุงรังจากการนอนคุดคู้ในเต็นท์มาหลายชั่วโมง
สิปรางค์หันมาสบตากับชายหนุ่มอย่างอาลัยอาวรณ์ อยากจะเก็บความทรงจำที่แสนหวานนี้เอาไว้ให้ลึกสุดขั้วของหัวใจ อยากจะฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มเชียงใหม่คนนี้ให้นานเท่านาน
แต่เมื่อหญิงสาวตระหนักว่ามันเป็นแค่ความปรารถนาที่อาจจะไม่มีวันเป็นไปได้ ถ้าหล่อนทำไม่สำเร็จล่ะ ถ้าโรงงานจะต้องถูกปิดจริงๆ วินคงจะต้องเกลียดหล่อนมากมาย ชายหนุ่มรักโรงงานออกปานนั้น เขาคงจะไม่มีวันเข้าใจการกระทำของหล่อนแน่ๆ
และอีกอย่าง ถึงอย่างไรวันนึงหล่อนก็ต้องกลับกรุงเทพ ชีวิตของหล่อนอยู่ที่นั่น ชีวิตของเขาและหล่อนไม่มีหนทางจะมาบรรจบกัน
เมื่อคิดถึงวันนั้นที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ น้ำตาของสิปรางค์ก็รื้นขึ้นมาทันที…
และน้ำตาของสาวกรุงเทพก็ไม่รอดพ้นจากการสังเกตของหนุ่มเหนือที่นั่งอยู่ข้างๆ วินคิดไปเองว่ามะปรางของเขาคงกำลังเศร้าเมื่อคิดถึงอนาคตของเขาและหล่อน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะลงเอยอย่างไร
ชายหนุ่มรู้แต่เพียงว่า ณ วินาทีนี้เขามีความสุขมากมายที่มีคนสวยคนนี้อยู่ในอ้อมกอด วินบอกตัวเองได้ว่าเขารักหล่อน ไม่รู้ว่าทำไมถึงรัก ไม่ใช่เพราะความสวยของหล่อนเพียงอย่างเดียวแน่ๆ เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
หรือว่าความรักจะไม่มีเหตุผลจริงๆ…
วินก้มลงจูบซับน้ำตาที่หางตาของมะปรางของเขา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาทั้งน้ำตาก่อนที่จะซุกตัวเข้ากอดเขาแน่นพร้อมสะอื้นฮัก สิปรางค์รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่แน่ใจนักว่าจะมีโอกาสเห็นแววตาสดใสคู่นี้อีก
มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ความสุขแบบนี้จะไม่มีอีกแล้ว…