webnovel

ความห่วงใย

"ผมว่าพี่ดูสีหน้าไม่ค่อยดีนะ วันนี้กลับก่อนดีกว่าไหมครับ ฟ้าครึ้มๆ ดูเหมือนฝนใกล้จะตกหนักด้วยนะพี่"

หนุ่มผู้ร่วมงานรุ่นน้องกล่าวเตือนสิปรางค์อย่างห่วงใย ณัฐเฝ้าสังเกตหญิงสาวทำงานหนักดึกๆดื่นๆทุกคืน เขาได้พยายามช่วยอย่างเต็มความสามารถในส่วนของเขาแล้ว แต่รุ่นพี่คนนี้ต้องการทำรายงานฉบับนี้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ชายหนุ่มรู้ว่ามันเป็นไปได้ยากในเวลาจำกัดเช่นนี้ แต่พี่ปรางยังไม่ยอมแพ้ ต้องการจะทำให้ดีที่สุด

"มันใกล้จะเสร็จแล้วณัฐ คืนนี้ยังไงพี่ก็ต้องทำให้เสร็จดราฟต์แรกแล้วส่งให้พี่ป้องตรวจทานเลย เราไม่เหลือเวลาอีกต่อไปแล้ว"

รุ่นน้องก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว วันนี้เขาช่วยงานคนตรงหน้านี้มาทั้งวัน เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที

"ณัฐกลับได้แล้วนะ ส่วนของณัฐเรียบร้อยแล้ว พี่เหลือปรับส่วนภาษาอีกนิดหน่อย เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน" สิปรางค์พูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาจากจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า อีกนิดก็ใกล้จะเสร็จแล้ว หล่อนไม่คิดว่าณัฐจะต้องอยู่คอยแต่อย่างใด

"หรือรอกลับพร้อมกันดีพี่" ชายหนุ่มเกิดนึกลังเล มองไปข้างนอกหน้าต่างเห็นฝนเริ่มจะโปรยปรายมาบ้างแล้ว และทำท่าจะมีพายุเข้า หรือเขาควรจะขับรถไปส่งหญิงสาวให้ถึงรีสอร์ตจะดีกว่า ท่าทางของสิปรางค์วันนี้ดูอ่อนล้าพิกล

"ไม่ต้อง ไม่ต้อง กลับไปเถอะ เรื่องตรวจภาษาพี่ต้องใช้สมาธินิดนึง" สิปรางค์หมายความอย่างที่ว่าจริงๆ หล่อนจะรู้สึกไม่มีสมาธิหากต้องมีคนมานั่งคอยขณะหล่อนทำงาน

"ไปได้แล้ว พี่จะทำงานให้เสร็จ" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาโบกมือไล่เมื่อเห็นรุ่นน้องยังยืนละล้าละลังอยู่ตรงนั้น

"โอเค งั้นพี่อย่ากลับดึกมากนะ เดี๋ยวฝนตกหนักจะขับรถกลับลำบาก" ในที่สุดณัฐก็ตัดสินใจกลับ เขารู้นิสัยผู้ร่วมงานรุ่นพี่คนดีว่าดื้อแค่ไหน ก็ขอให้ฝนไม่ตกหนักอย่างที่เขากังวลก็แล้วกัน….

แต่กว่าสิปรางค์จะส่งอีเมลรายงานฉบับร่างไปให้ปกป้องได้ก็เกือบเที่ยงคืน ฝนกำลังตกหนักทีเดียวขณะที่หล่อนขับรถออกมาจากโรงงาน แต่หญิงสาวคอยให้ฝนซาไม่ไหวแล้ว หล่อนรู้สึกปวดหัวตุ๊บๆ อ่อนเพลียและหมดสิ้นเรี่ยวแรง คงจะเป็นเพราะเครียดและใช้สมองอย่างหนักตลอดระยะเวลาหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา แถมวันนี้ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย นอกจากกาแฟถ้วยเดียวเมื่อตอนสายๆ

หญิงสาวพยายามขับรถอย่างช้าๆเพื่อฝ่าสายฝนที่ตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ข้างทางเต็มไปด้วยกิ่งไม้ระเกะระกะที่หักโค่นลงมาเนื่องจากแรงพายุ และเมื่อรถเลี้ยวโค้งจากถนนใหญ่เข้าสู่ถนนสายเล็กที่ปะปนกันไปทั้งป่าโปร่ง ทุ่งนา และไร่ของชาวบ้าน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น รถของหล่อนเกิดกระตุกและดับไปเฉยๆอย่างนั้น

โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย! รถจะมาเสียอะไรกันตอนนี้

แล้วสิปรางค์ก็ต้องโกรธตนเองเมื่อเห็นไฟแดงกะพริบบอกว่า น้ำมันได้หมดลงเกลี้ยงถัง ความจริงหล่อนก็เห็นไฟนี้กะพริบๆเตือนมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่หล่อนได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งเพิกเฉยมันเสีย คิดว่าจะหาเวลาไปเติมน้ำมันเมื่อวันนี้ออกจากที่ทำงานเร็วหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีวันไหนที่หล่อนได้ออกจากที่ทำงานเร็วกว่าสามทุ่มเลย

เฮ้ย นี่เราปล่อยให้น้ำมันจนเกลี้ยงหมดถังได้อย่างไรหนอ แย่ชะมัด

หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย เพื่อที่จะพบในเวลาต่อมาว่าแบตเตอรี่มือถือก็หมดเกลี้ยงเช่นกัน แถมแบตสำรองก็ถูกลืมไว้ที่ทำงาน หล่อนเริ่มอารมณ์เสียจัด

โอ๊ย! วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย! เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว

สิปรางค์ซบหน้าลงกับพวงมาลัย น้ำตาจะไหลออกมาให้ได้ หล่อนเหนื่อย หล่อนหิว หล่อนปวดหัว หล่อนหมดเรี่ยวแรง แล้วหญิงสาวก็คิดถึงใครคนหนึ่งแทบขาดใจ

คิดไปถึงครั้งแรกที่รถมาเสียที่ถนนสายนี้ ตอนนั้นคนตัวสูงเผอิญผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้ในช่วงเวลาอันพอดิบพอดี สิปรางค์เผลอยิ้มอย่างเศร้าๆออกมาเมื่อนึกถึงผู้ชายใจดีคนนั้น ตอนนี้เค้าจะอยู่ไหนนะ วินคงจะโกรธมากที่หล่อนไปพูดอย่างนั้นกับเขาเมื่อครั้งที่แล้วที่เจอกัน ทำไมอะไรๆมันก็ผิดพลาดไปหมดหนอ… หญิงสาวเริ่มมีความรู้สึกเหมือนสติใกล้จะหลุดลอย

และแล้วสายตาของสิปรางค์ก็มองไปที่กระจกมองหลังโดยบังเอิญ หล่อนเห็นแสงไฟหน้ารถที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นไฟหน้าของรถมอเตอร์ไซค์กำลังสาดส่องมาจากด้านหลัง

หรือจะเป็นเขาที่เผอิญผ่านมาเหมือนครั้งที่แล้ว!

หญิงสาวมีความหวังขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม หล่อนใช้เรี่ยวแรงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดรีบเปิดประตูรถออกไปในทันที น้ำฝนจากด้านนอกสาดเข้ามาโครมใหญ่ทันที นี่หล่อนไร้สติจนลืมไปว่าฝนกำลังตกหนักอยู่เลยหรือ

แสงไฟนั้นสาดใส่เข้าหน้าสิปรางค์อย่างเต็มๆจนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้า แล้วหล่อนก็ได้ยินเสียงผู้ชายสองคนพูดขึ้น

"ไผมาจอดรถอยู่แถวนี้วะ" เสียงแรกนั้นมีความมึนเมาอยู่ไม่น้อย

"โห รถงามขนาด สัส รถคนรวยแต้ๆเลยว่ะ" และเสียงที่สองก็มึนเมาไม่ต่างกัน

แล้วก็ไม่ใช่เสียงของคนที่หล่อนกำลังโหยหา…

มอเตอร์ไซค์คันนั้นหยุดอยู่ที่ข้างๆรถคันหรูนั้น ไฟหน้าของรถมอเตอร์ไซค์ยังสาดส่องอยู่ที่พื้นถนน ชายคนที่นั่งซ้อนท้ายลงจากรถแล้วปราดเข้ามาหาหล่อน

ไม่ใช่ทั้งวิน และไม่ใช่คนของที่โรงงาน!

ถ้าเป็นในยามปกติหญิงสาวคงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด และหล่อนก็คงมีสติพอที่จะป้องกันตนเองได้ แต่ในยามนี้ ยามที่ฝนกำลังตกหนัก และหล่อนกำลังจะหมดแรง สิ่งที่สิปรางค์ทำได้ก็เพียงพยายามจะร้องออกมาให้เสียงดังที่สุด

"จะทำอะไร ออกไป๊!" หล่อนจับประขอบประตูรถไว้แน่น

"ขอดูในรถน่อยลอ มีอะหยังฮื้อเอาไปได้พ่อง" ชายคนนั้นผลักหล่อนออก พยายามจะเข้าไปค้นข้างในรถ สิปรางค์พยายามยื้อยุดฉุดกระชากชายคนนั้นด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด หล่อนไม่ยอมหรอก หญิงสาวจะไม่ยอมให้ใครมารังแกกันง่ายๆ

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเจ้าของรถทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการค้นหาทรัพย์สินในรถ ชายคนดังกล่าวจึงหันมาจับไหล่บางๆนั้นแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างแรง สิปรางค์รู้ตัวดีว่าหล่อนแทบไม่สามารถจะประคองตัวเองไว้ได้แล้ว ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง เนื้อตัวของหล่อนเปียกปอนไปหมด อาการปวดหัวก็รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ และสติของหล่อนก็กำลังเลือนรางเต็มทน

แต่ก่อนที่ร่างบางจะปล่อยตัวเองให้ล้มลงไปนอนกับพื้นถนน พลันก็มีแขนของใครคนหนึ่งมาอุ้มหล่อนไว้ เขาประคองหล่อนให้ไปนั่งพิงอยู่ที่ด้านข้างของรถอย่างรวดเร็ว แล้วตัวเขาเองก็รีบเข้าไปฉุดตัวของชายแปลกหน้าที่กำลังพยายามจะมุดเข้าไปรื้อค้นรถของหญิงสาว

สิปรางค์พยายามเพ่งตามดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ หญิงสาวจำแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนนี้ได้แม่นยำ คนตัวสูงกำลังกระชากชายแปลกหน้าคนนั้นออกมาจากรถของหล่อน ก่อนที่จะชกเข้าที่หน้าคนบุกรุกโดยไม่ยั้ง จนกระทั่งชายคนนั้นทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นถนน

แล้วชายหนุ่มคนคุ้นเคยของสิปรางค์ก็ลากคนที่ถูกชกจนอาการป้อแป้นั้นออกมาให้ห่างจากตัวรถ เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไปยังชายอีกคนที่ยังอยู่บนมอเตอร์ไซค์ และกำลังตกอกตกใจกับสิ่งที่เห็นจนแทบจะหายเมาเป็นปลิดทิ้ง

"มาเก็บเอาเพื่อนมึงกลับไปด้วย!"

ชายบนรถมอเตอร์ไซค์รีบลนลานลงจากรถเข้ามาหาอีกคนที่นอนหมอบอยู่กับพื้น

สิปรางค์ยิ้มหวานเมื่อชายหนุ่มคนที่หล่อนกำลังโหยหาถึงกำลังปราดเข้ามาหาหล่อน หญิงสาวพูดด้วยเสียงอ่อนหวานที่สุดเท่าที่หล่อนเคยพูดมา

"วินเท่สุดๆเลย"

ก่อนจะหมดสติไป…

วินมองหน้าหญิงสาวที่นอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียงอย่างกังวลใจ ชายหนุ่มกำลังนั่งเช็ดตัวให้หล่อนอยู่ไม่ห่าง สิปรางค์ตัวร้อนจัดและนอนกระสับกระส่ายมาเป็นชั่วโมงแล้ว

หลังจากกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของตนเองแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมานั่งเฝ้ามะปรางของเขา เขายังคงใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มบางเบาเช็ดตามหน้าตาเนื้อตัวให้หล่อนอยู่เรื่อยๆ ตั้งใจว่าหากสิปรางค์ยังคงตัวร้อนจัด อาการไข้ไม่ลด เขาก็พร้อมที่จะพาหล่อนไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่แล้วก็นึกใจหาย นี่ถ้าเขามาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้เขาเผอิญไปซ้อมดนตรีที่ผับในตัวเมืองจนถึงดึกดื่น ชายหนุ่มพยายามจะใช้ดนตรีเป็นเครื่องบำบัดความรู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดของสิปรางค์เมื่อครั้งนั้น วินคิดว่า หากเขาห่างหายไปจากหญิงสาวสักพัก เขาอาจจะตัดใจจากหล่อนได้

และชายหนุ่มก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้… เขายังตัดใจจากมะปรางของเขาไม่ได้…

วินจำรถคันหรูของหญิงสาวได้ในทันทีแม้จะเห็นมาจากไกลๆในขณะที่ฝนกำลังตกหนัก เขานึกขอบคุณตัวเองที่ได้พยายามที่จะขี่รถฝ่าสายฝนกลับบ้าน เมื่อตอนเขาออกมาจากผับนั้นฝนยังแค่ตกปรอยๆ และมาตกหนักเมื่อเขาขี่รถมาได้ครึ่งทางแล้ว ตอนนั้นเขายังลังเลอยู่เลยว่าจะหาที่หลบฝนแถวนั้นก่อนดีไหม แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจขี่รถต่อมา จนกระทั่งได้มาเจอกับเหตุการณ์เมื่อครู่

ชายหนุ่มหันไปเห็นยาแก้ไข้ที่วางอยู่ที่หัวเตียงแล้วเขาก็รู้สึกเป็นห่วงหล่อนจับใจ

นี่คงปวดหัวบ่อยๆสินะ ถึงได้มียาพาราติดไว้ที่หัวเตียง

เป็นครั้งที่สองแล้วที่สิปรางค์หมดสติต่อหน้าเขา ชายหนุ่มลังเลอยู่ชั่วขณะที่กำลังอุ้มหญิงสาวขึ้นรถของรีสอร์ตที่เขาโทรถึงปริมขอให้มารับ เขาควรจะพาหล่อนตรงไปโรงพยาบาลเลยดีไหม แต่ด้วยฝนที่ตกหนักและการขับขี่ที่ต้องระมัดระวัง กว่าจะขับรถไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก็อาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมง ในขณะที่หากขับรถกลับรีสอร์ตเลยก็จะใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพาหล่อนกลับมาที่นี่ เขากลัวว่าหล่อนจะมีอาการปอดบวมไปเสียก่อนหากเนื้อตัวเปียกโชกแบบนี้นานเกินไป

"วิน… ยกโทษให้เรานะ เราไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น" หญิงสาวพึมพำเพ้อถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ หากดวงตายังปิดสนิท มือไม้ป่ายไปมาเปะปะในอากาศเหมือนกำลังพยายามจะไขว่คว้าสิ่งใด

ชายหนุ่มรีบรวยมือทั้งสองของหล่อนไว้แล้วนำมาแนบแก้ม มือน้อยๆทั้งสองนั้นยังคงร้อนผ่าว แต่ก็ไม่เท่าเมื่อตอนมาถึงรีสอร์ตใหม่ๆ นี่ไข้คงจะลดไปบ้างแล้ว เขาค่อยโล่งอก

วินมองใบหน้านวลขาวนั้นด้วยความสงสารจับใจ

"ไม่เป็นไรแล้วครับมะปราง ผมอยู่นี่แล้ว ผมอยู่ข้างๆมะปรางแล้ว"…

"วิน… เราหิวน้ำ"

คนเฝ้าไข้ลืมตาขึ้นมาทันทีที่ได้ยินหญิงสาวพึมพำชื่อเขาด้วยเสียงแหบแห้ง เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชายหนุ่มขยี้ตามองลอดผ้าม่านออกไปนอกเรือนพัก

กี่โมงกันแล้วนี่ น่าจะสายแล้ว แดดจ้าเชียว

"มะปรางเป็นไงบ้างครับ" เขารีบลุกขึ้นเอามือไปอังหน้าผากหล่อน ตัวไม่ร้อนจัดแล้ว ค่อยยังชั่ว

"หิวน้ำ…" เสียงนั้นดังออกมาแผ่วๆ คนหน้าสวยตอนนี้กลับกลายเป็นหน้าซีดเซียว นัยน์ตาคมสวยที่กำลังมองมายังเขานั้นยังปรือๆกึ่งหลับกึ่งตื่น

"วิน… วินยกโทษให้เรานะ"

ชายหนุ่มรีบยกแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาจ่อไปที่ปากของหญิงสาว "โอย เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ มะปรางกินน้ำก่อนนะ"

หากสิปรางค์กลับเม้มปากแน่นพลางส่ายหน้า "ถ้าวินไม่ยกโทษให้เรา เราก็จะไม่กินน้ำ"

"อ้าว แล้วบอกว่าหิวน้ำ" ชายหนุ่มอมยิ้ม อาการดื้อของคนตัวเล็กข้างหน้าเริ่มกลับมาแล้ว แสดงว่ายังไม่เข้าขั้นป่วยหนัก เขาค่อยโล่งใจหน่อย

"ไม่ วินต้องยกโทษให้เราก่อน" แม้น้ำเสียงจะยังคงอ่อนละโหยแหบแห้ง แต่คนป่วยก็คงยังมุ่งมั่น

"โอเคครับ งั้นก็ไม่ต้องกิน" วินหัวเราะเบาๆ หันไปวางแก้วน้ำลงที่ข้างโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะหันหน้ามาจ้องมองหญิงสาวด้วยสีหน้ายิ้มๆแววตาอ่อนโยน

สิปรางค์ยิ้มอ่อนตอบกลับ มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาอ้อนวอนและสำนึกผิดเหลือหลาย

วินจ้องเด็กดื้อตรงหน้าด้วยอารมณ์ตัดพ้อ เขาจะทำอย่างไรกับหล่อนดี ความรู้สึกสับสนพลุ่งพล่านในใจ รู้ตัวดีว่ายังไงเขาก็ต้องยอมหล่อน

แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกโกรธหญิงสาวมากในวันนั้น ผิดหวังระคนน้อยเนื้อต่ำใจจนไม่อยากที่จะเจอหล่อนอีก แต่ขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์ตามรถของรีสอร์ตที่มารับสิปรางค์กลับมาบ้านขณะที่หล่อนไม่ได้สติ เขากลับรู้สึกเป็นห่วงหล่อนจับใจ ชายหนุ่มไม่อยากจะอยู่ห่างจากหญิงสาวเลยแม้แต่วินาทีเดียว

"วิน…" หญิงสาวเอื้อมมือมายังของเตียง หล่อนจับมือเรียวเขาทั้งสองข้างไปแนบแก้มตนเองเอาไว้

"เราเสียใจจริงๆที่พูดกับวินอย่างนั้น เราปากไม่ดีเอง วินเป็นผู้ชายที่เจ๋งที่สุดแล้ว เราเองที่ห่วย เราเหนื่อย เราเครียด ความจริงแล้วมันไม่เกี่ยวกับวินเลย วินอย่าเข้าใจผิดนะ วินอย่าเกลียดเรานะ"

น้ำเสียงอ่อนแรงที่รีบพูดประโยคยาวเหยียดนั้นทำเอาชายหนุ่มใจอ่อนยวบ นี่แน่ใจนะว่าป่วยอยู่ พูดยาวเหมือนยามปกติเลย เขากุมมือหล่อนเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำมาจ่อที่ปากหญิงสาวอีกครั้ง

"กินน้ำก่อนครับ เดี๋ยวเสียงไม่หวาน" ชายหนุ่มยิ้มทั้งตาและปากอีกแล้ว

หลังจากที่หญิงสาวยอมดื่มน้ำแต่โดยดี เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง

"มะปรางก็รู้… ว่าผมไม่มีวันเกลียดมะปราง"

วินมองสิปรางค์ด้วยสายตาอ่อนหวาน เขายอมแพ้หล่อนอย่างศิโรราบ อันที่จริงเขาก็ไม่ใช่คนที่จะคิดผูกใจเจ็บกับใครง่ายๆอยู่แล้ว ชีวิตที่ต้องต่อสู้มาเพียงลำพังบ่มเพาะความมั่นใจในตัวเองให้ชายหนุ่มพอควร จริงอยู่ที่สถานะทางสังคมเขาอาจด้อยกว่าหญิงสาวตรงหน้า แต่ลึกๆในใจแล้วเขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น เขามีวิถีชีวิตของเขาเอง

คนตัวสูงเอื้อมมือไปปัดผมที่ระอยู่บนหน้าผากของคนตัวเล็กบนเตียง ก่อนจะอังมือที่ผิวเนียนนุ่มนั้น

"ค่อยยังชั่ว ตัวไม่ร้อนเท่าเมื่อคืนแล้ว"

ชายหนุ่มกลับมายิ้มอย่างสดใสเหมือนเช่นเคย สิปรางค์น้ำตารื้น หญิงสาวเพิ่งจะรู้ใจตนเองก็คราวนี้ ว่าหล่อนเป็นห่วงความรู้สึกของเขามากแค่ไหน และหล่อนก็ยังรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่วินมีให้หล่อนเสมอมา แล้วทำไมวันนั้นหล่อนถึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจเขาเช่นนั้น

แต่หรือเพราะลึกๆแล้วตัวหล่อนก็ตระหนักดี ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ในที่สุดเขาก็จะยอมหล่อน เขายอมหล่อนเสมอมา วินไม่มีวันที่จะโกรธหล่อนได้นานหรอก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่คิดผูกใจเจ็บแบบนั้น วินเป็นคนอ่อนโยนและน่ารัก หล่อนรู้ดี

"แต่เดี๋ยวนะ" หากสิปรางค์ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ หญิงสาวก้มลงมองชุดนอนที่หล่อนใส่อยู่ นี่ใครเปลี่ยนชุดให้หล่อนกันนี่

"วิน!" หล่อนหันหน้าไปหาเขา ก็เห็นชายหนุ่มอมยิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

"ยังไงกัน นี่เห็นหมดเลยเหรอ" หญิงสาวหน้าแดงซ่านขึ้นมา รู้สึกอายจนไม่รู้จะอายยังไง

ตายแล้ว ตายแล้ว โอย อาย จะบ้าตาย วินเห็นเราหมดทุกส่วนเลยจริงๆเหรอนี่

"โอ้ย ทุบผมทำไมเนี่ย อุตส่าห์เปลี่ยนเสื้อผ้าให้" คนตัวสูงร้องเสียงหลง

สิปรางค์แก้เขินด้วยการลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วรวบรวมพลังทั้งหมดทุบไปทั่วตัวของชายหนุ่มเป็นพัลวัน แม้หล่อนจะยังคงไร้เรี่ยวแรง แต่หล่อนยอมไม่ได้ หญิงสาวอายมากจนสุดจะพรรณนา

"โอ้ย เจ็บ กลัวแล้วจ้า ไม่ได้เห็นอะไรเลย หลับตาอยู่ตอนนั้น" เจ้าตัวทำท่าปัดป้องเสมือนประหนึ่งเจ็บมาก แต่หากในเสียงโอดครวญนั้นกลับมีเสียงกลั้วหัวเราะปนอยู่ด้วยชุดใหญ่

"พี่ปราง เป็นยังไงบ้างคะ"

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับประตูเรือนพักของคนป่วยก็เปิดออก ปริมเดินเข้ามาพร้อมกับคนของรีสอร์ตที่ถือถาดไม้ที่มีถ้วยข้าวต้ม น้ำส้ม ขนมและผลไม้นานาชนิดวางเรียงกัน

"อ้าว ปริม รู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่สบาย" สิปรางค์ถอยห่างจากชายหนุ่มข้างเตียง หล่อนพยายามรีบจัดแจงเสื้อผ้าผมเผ้าให้ดูเรียบร้อย

"ก็คุณวินเค้าโทรมาถึงปริมให้ไปรับเมื่อคืนนี้ไงคะ ไม่รู้พี่ปล่อยให้รถน้ำมันหมดถึงขนาดนี้ได้ยังไง นี่มาถึงก็ตัวเปียกปอนกันทั้งคู่เลย ปริมก็เลยมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พี่ คุณวินเค้าก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านเค้า แล้วเค้าก็กลับมาอาสาอยู่เฝ้าพี่ทั้งคืน" ผู้เป็นน้องสาวรายงานอย่างละเอียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

หญิงสาวคนป่วยหันไปมองชายหนุ่มคนเฝ้าไข้อย่างหมันไส้เป็นที่สุด แววตายิ้มได้คู่นั้นกำลังยิ้มหวานมาก

ว่าแล้ว ว่าทำไมยิ้มไม่หยุด หลอกเราได้สำเร็จนี่เอง…