webnovel

ความลับ

"แม่มาแบบไม่ให้ผมตั้งตัวเลย"

ปัณณ์ได้รับโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิดจากมารดาในตอนบ่ายของวันอาทิตย์ นัดหมายให้มาเจอกันที่ห้องดื่มชาสุดหรูกลางสวนของโรงแรมชื่อดังในตัวจังหวัดเชียงใหม่

"แม่ก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมา เผอิญคุณน้าอรเค้ากลับมาจากอเมริกา คุณน้าอรเพื่อนสนิทแม่ไง จำได้ไหมลูก เนี่ย ลูกชายเค้าจะเปิดตัวห้องอาหารฝรั่งเศสเย็นวันนี้ แม่ก็เลยถือโอกาสบินมาเยี่ยมเยียน"

หนุ่มน้อยมองไปรอบๆสวนสวยของโรงแรมแห่งนี้ เขารู้ว่ามารดาชอบการสังสรรค์และการเข้างานสังคม การบินไปร่วมงานสังสรรค์ที่โน่นที่นี่โดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้านั้นไม่ใช่ปัญหาใดๆสำหรับมารดาเขา

"งานเลี้ยงคืนนี้น่ะจะมีคนสำคัญๆในวงการโรงแรมของเชียงใหม่มาเยอะแยะแน่นอน แม่ก็ถือโอกาสได้พบปะกับพวกคนในวงการไปด้วยไงลูก แม่ว่าแม่อาจจะมาลงทุนสร้างโรงแรมแถวเชียงใหม่ดูบ้างนะ ตอนนี้ครอบครัวเราก็มีแค่ยัยปริมเท่านั้นที่มีรีสอร์ตอยู่แถวนี้"

"แล้วพ่อล่ะฮะ ทำไมไม่มาด้วยกัน" เขานึกไปถึงบิดาผู้ซึ่งเป็นนายทหารระดับสูงของกองทัพบก

"อุ๊ย พ่อเราน่ะเหรอ ออกไปตีกอล์ฟกับก๊วนนายพลของเค้าตั้งแต่เช้ามืดแล้ว นี่เผอิญวันนี้แม่ไม่มีคิวงานที่ไหน พอเมื่อเช้าแม่โทรคุยกับคุณน้าอรเสร็จ แม่ก็รีบขึ้นเครื่องมาเลยเนี่ย ค้างแค่คืนเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็กลับแล้วล่ะ บ่ายแม่มีประชุมต่อที่บริษัท"

หนุ่มน้อยถอนหายใจ มารดาเขาตัดสินใจเร็ว ยิ่งถ้าเรื่องนั้นอาจเอื้อประโยชน์กับธุรกิจของครอบครัว มารดาของเขาก็จะยิ่งกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ต่างไปจากบิดาซึ่งเป็นข้าราชการ รายนั้นเน้นใช้้เวลาสังสรรค์เฮฮากับลูกน้องเพื่อนฝูงซะมากกว่า

แม้จะอยู่บ้านเดียวกันที่กรุงเทพ แต่เขาก็ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าหรือพูดคุยกับมารดาบ่อยนัก ปัณณ์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเสียมากกว่า เขาเป็นคนติดเพื่อน ซึ่งคาดว่านิสัยนี้เขาน่าจะได้มาจากบิดา กว่าหนุ่มน้อยจะกลับเข้าบ้านก็ดึกดื่นเกือบทุกวัน และตัวมารดาของเขาเองก็มีงานสังคมที่ต้องไปออกอยู่ทุกค่ำคืน

"แล้วงานที่โรงงานของพี่ป้องเป็นไงบ้างล่ะลูก นี่ได้เรียนรู้อะไรบ้างหรือเปล่าล่ะเรา" มารดาเขายังติดใจเรื่องที่เขาแอบนี้มาฝึกงานไกลถึงเชียงใหม่

"สนุกดีครับแม่ พี่ๆน่ารักทุกคนเลย" ปัณณ์อมยิ้มเมื่อพูดถึงโรงงานที่แม่ริม

"น่าจะไปที่โรงงานใหญ่ของพี่ป้องเค้ามากกว่า ที่นี่จะไปมีอะไรให้ทำ" คุณหญิงปิ่นอนงค์มีความเห็นเดียวกันกับปกป้องหลานชาย ซึ่งผู้เป็นบุตรลายก็ขี้เกียจจะอธิบาย

"แล้วนี่พี่ปรางเค้าเป็นไงบ้าง ได้เจอกันบ้างหรือเปล่า"

"อ้าว แม่รู้ด้วยหรือครับ ว่าช่วงนี้พี่ปรางเค้ามาทำงานที่นี่น่ะครับ" ปกติมารดาของเขาไม่ใคร่จะมีเวลามาสนใจเรื่องของญาติพี่น้องนัก หล่อนมีธุระยุ่งมากอยู่เสมอ แถมบ้านของเขากับบ้านของพี่ปรางอยู่ห่างกันคนละฝั่งของแม่น้ำ ทำให้ไม่ค่อยได้พบปะกันสักเท่าไหร่

"ก็แม่เจอลุงของปัณณ์ที่งานเปิดตัวคอนโดใหม่ย่านทองหล่อน่ะสิ ลุงปริญบอกว่าช่วงนี้พี่ปรางเค้ามาอยู่ที่นี่ มาจัดการเรื่องปิดโรงงานที่แม่ริมของตาป้องนี่แหละ"

อะไรนะ ปิดโรงงาน! ปิดโรงงานอะไรที่ไหนนะ!

มารดาเขาพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่อง พี่ปรางก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย

"แม่ก็เลยยิ่งเสียดายแทนปัณณ์ไงลูก โรงงานจะถูกปิดอยู่แล้ว แล้วลูกจะมาเสียเวลาอยู่แถวนี้ทำไม" ผู้เป็นมารดายังคงพูดต่อไปโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าตัวลูกชายเริ่มจะมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

"ปิดโรงงานอะไรที่ไหนฮะแม่" ปัณณ์ยังไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง

"อ้าว ก็โรงงานกาแฟที่แม่ริมที่ลูกกำลังฝึกงานอยู่ไง ที่นี่เป็นโรงงานเก่าแก่แห่งแรกของลุงปราณเค้า มันไม่ทำกำไรมาหลายปีแล้ว ที่ยังมีอยู่ก็เกรงใจลุงปราณกะเพื่อนเค้านั่นแหละ จนตาป้องเค้าอยากเอาที่ดินมาพัฒนาเป็นอย่างอื่นมากกว่าแล้ว"

และเมื่อเห็นบุตรชายอึ้งไป คุณหญิงปิ่นอนงค์เลยเกิดความสงสัย

"นี่ไม่รู้เรื่องอะไรกะเค้าเลยหรือลูก พี่ปรางเค้าไม่ได้คุยให้ลูกฟังหรือ นี่แม่ก็นึกว่าคุยกันแล้วนะเนี่ย"

หนุ่มน้อยนั่งนิ่งครุ่นคิด ทำไมเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย พี่ปรางไม่เคยแย้มพรายอะไรให้เขาฟังสักนิด ตอนที่พี่ป้องมาเยี่ยมโรงงานช่วงก่อน พี่ป้องก็ไม่ได้พูดอะไร พี่ปริมก็ด้วย นี่ทุกคนกำลังพร้อมใจปิดบังอะไรเขาอยู่หรือ…

ปัณณ์ร้อนใจจอดรถไว้ที่หน้าประตูทางเข้าสำนักงานแทนที่จะไปจอดไว้ที่โรงจอดรถอีกฝั่งหนึ่งเหมือนเคย เมื่อคืนเขาต้องอยู่ร่วมงานสังสรรค์กับมารดากว่าจะได้กลับที่พักก็ดึกโข เช้านี้หนุ่มน้อยจึงรีบขับรถตรงมาหาสิปรางค์ที่ห้องทำงานของหญิงสาวแต่เช้าตรู่

"อ้าว ปัณณ์ โห มาซะเช้าเลย ไง ฝึกงานเป็นไงบ้าง" สิปรางค์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่วันนี้ญาติผู้น้องของหล่อนเข้ามาหาหล่อนถึงที่ห้องทำงานแต่เช้า ปกติหนุ่มน้อยจะอยู่แต่ที่ส่วนของโรงงาน ไม่ค่อยได้เดินมาแถวนี้เท่าไหร่

ผู้เป็นน้องไม่สนใจคำถามทักทายของญาติผู้พี่ เขาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปปิดประตูห้องทำงานของผู้เป็นพี่สาว ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ๆหล่อน

"พี่ปราง เมื่อวานผมเจอแม่ แม่บอกว่าโรงงานนี้จะถูกปิด" หนุ่มน้อยมุ่งเข้าสู่ประเด็นทันที เขาสนใจใคร่รู้เรื่องที่มารดาเล่าให้ฟังมากกว่าว่าจะะมีข้อเท็จจริงเพียงไร เขาอยากฟังจากปากของคนตรงหน้านี่

"อ้าว คุณหญิงอามาเชียงใหม่เหรอนี่ ไม่เห็นบอกกันเลย" สิปรางค์เสไปถามไถ่ถึงเรื่องการมาของมารดาน้องชาย

แต่เมื่อเห็นปัณณ์ไม่ตอบและกลับจ้องหน้าหล่อนเขม็ง หนุ่มน้อยคงกำลังรอคำตอบที่เขาได้ถามหล่อนค้างเอาไว้อย่างใจจดใจจ่อ หญิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจ

"ปัณณ์ เรื่องนี้ซีเรียส เราเอาไว้พูดเรื่องนี้กันที่รีสอร์ตจะได้ไหม" ถึงแม้ว่าห้องทำงานของหล่อนจะปิดประตูสนิทและไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไปได้ แต่สิปรางค์ก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ในที่ทำงาน

แต่ในเมื่อปัณณ์เกิดระแคะระคายแล้ว และหนุ่มน้อยก็เป็นคนในครอบครัว ยังไงหล่อนก็คงต้องอธิบายให้น้องฟัง

"งั้นเย็นวันนี้ผมกลับไปที่รีสอร์ตกับพี่ด้วยละกัน ผมอยากรู้เรื่อง" น้ำเสียงนั้นจริงจัง

"พี่ขอร้องนะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ออกไป ที่โรงงานนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย พี่เองก็กำลังพยายามหาทางช่วยอยู่" คนเป็นพี่พยายามบังคับตนเองไม่ให้แสดงอาการสับสนออกไป หล่อนจะอธิบายเรื่องนี้ให้น้องชายเข้าใจอย่างไรดี ในเมื่อตัวหล่อนเองก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ

ปัณณ์มองหน้าญาติสาวผู้พี่อย่างระแวง มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่รู้…

"แล้วทุกคนต้องโดนออกจากงานเหรอพี่"

หนุ่มน้อยตกใจเป็นอย่างมากเมื่อญาติผู้พี่ของเขายอมรับว่าเรื่องที่มารดาเขาพูดมาเป็นความจริง วันนี้หลังจากเลิกงานเขาก็อยู่รอเพื่อจะตามหญิงสาวจากที่โรงงานกลับมาที่รีสอร์ตพร้อมกัน

สิปรางค์พยักหน้า หล่อนคิดว่าหล่อนเข้าใจความรู้สึกของน้องชาย

ปัณณ์ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง หน้าเสียโดยไม่รู้ตัว แม้เขาจะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน แต่บรรยากาศที่เป็นมิตรและเป็นกันเองที่โรงงานทำให้เขารู้สึกผูกพันอย่างช่วยไม่ได้

"แกจะอินอะไรกับโรงงานนักหนานายปัณณ์ แค่มาฝึกงานแป๊บๆ" ปริมดักคอ หล่อนรู้สึกว่าพี่สาวของหล่อนก็แปลกๆไปคนนึงแล้ว นี่น้องชายก็มาทำท่าแปลกๆไปอีกคน

"ผมใจหายน่ะพี่ ผมมีความรู้สึกว่าโรงงานนี้เหมือนบ้านของพวกเค้า" เด็กหนุ่มพูดไปตามที่ใจคิด เขารู้สึกได้ถึงความรักของบรรดาคนงานที่มีต่อโรงงานแห่งนี้

"ไม่ใช่ว่าตัวเธอเองมาหลงรักสาวโรงงานเข้าหรอกนะ" เจ้าของรีสอร์ตเย้าน้องชายเล่นๆ ขณะกำลังยกถาดผลไม้เข้ามาให้

ปัณณ์สะดุ้งเฮือก หรือพี่ปริมจะรู้เรื่องกับเค้าด้วย เขาหันไปมองพี่ปรางบ้าง ไม่แน่ใจว่าพี่สาวที่ไปทำงานที่โรงงานทุกวันคนนี้รู้เรื่องเขากับเอื้องคำหรือไม่

สิปรางค์ยักคิ้วเหมือนจะบอกน้องชายเป็นนัยๆว่าหล่อนรู้เรื่องดี และหล่อนก็ยังไม่ได้บอกปริม

"อะไรกันพี่ สาวอะไรที่ไหน ไม่มี้" หนุ่มน้อยเลยยังพยายามปฏิเสธหน้าตาย เผื่อว่าพี่ปริมจะยังไม่รู้จริงๆ และเขาเองก็ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องระหว่างเขากับเอื้องคำ ถึงแม้พี่ปรางจะรู้ไปแล้วก็เถอะ

"จ้าพ่อหนุ่ม ให้จริงเถอะ ไม่งั้นคุณหญิงอาเอาเธอตายแน่ ดีไม่ดีพระมารดาเธอหมายตาพวกลูกสาวนายพล หรือลูกสาวนักธุรกิจหมื่นล้านเอาไว้ให้เธอแล้วด้วยมั้ง" ปริมจ้องหน้าญาติผู้น้อง พูดเชิงทีเล่นทีจริง

"อย่างปัณณ์น่ะ สเป็คเค้าต้องประมาณลูกคุณหนูไฮโซเท่านั้น" สิปรางค์ก็เอาด้วย หล่อนหันมายักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนให้น้องชาย

อันที่จริงเรื่องของปัณณ์กับเอื้องคำก็อยู่ในสายตาของหล่อนมานานแล้ว ทำไมหล่อนจะไม่สังเกตเห็น ก็คนทั้งโรงงานออกจะแซวกันและเอาใจช่วยกันซะขนาดนั้น…

หลังเสร็จจากอาหารเย็นร่วมกับบรรดาญาติพี่ๆ คนงานของรีสอร์ตขับรถกลับมาส่งหนุ่มน้อยที่โรงงาน ปัณณ์ทิ้งรถไว้ที่นี่ตอนออกไปที่รีสอร์ตกับพี่สาว

และขณะที่เด็กหนุ่มกำลังไขกุญแจรถเพื่อเปิดประตูอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮามาจากทางโรงซ่อมบำรุง ปัณณ์อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองไปทางต้นกำเนิดเสียง ตอนนี้ก็สี่ทุ่ม คงจะเลิกงานกะเย็นกันแล้วสินะ ถ้าเสียงดังแบบนี้แสดงว่าวันนี้ช่างวินคงเข้ากะและเลี้ยงเหล้าพวกพี่ๆตามเคย

ปัณณ์ยังรู้สึกเศร้าใจกับสิ่งที่ได้ยินมาจากสิปรางค์ แม้ผู้เป็นพี่สาวจะยังให้ความหวังกับเขาว่ากำลังหาทางช่วยโรงงานไม่ให้ถูกปิดอยู่ แต่เขาก็ยังรู้สึกใจหาย และก่อนที่เขาจะจากมาพี่ปรางก็ยังได้กำชับแล้วกำชับอีกไม่ให้เขาบอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะกับช่างวินหัวหน้าของเขาเองและกับเอื้องคำสาวน้อยที่เขากำลังติดพันอยู่

หนุ่มฝึกงานจากกรุงเทพตัดสินใจเดินไปทางโรงซ่อมบำรุงซึ่งอยู่ด้านที่ติดกับแม่น้ำ และเมื่อไปถึง พบว่าเบื้องหน้าก็เป็นดังที่เขาคาดไว้ ครบทีมเลย ช่างวิน ช่างอู๊ด ช่างโต้ง และคนงานอีกสองคนนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าประตูโรงซ่อมบำรุง พวกเขากำลังนั่งดื่มและคุยกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ปัณณ์เดินเข้าไปนั่งร่วมวงด้วย

"อ้าว ปัณณ์ มาจากไหนนี่ มามา ซักแก้วนึง"

วินหันหน้ามาเห็นน้องชายของเจ้าของโรงงานพอดี ชายหนุ่มขยับที่ขยับทางให้หนุ่มน้อยได้นั่งข้างๆตัวเขา แล้วคนงานคนหนึ่งก็ชงเหล้ายื่นมาให้หนุ่มน้อย ปัณณ์รับมาดื่มพรวดเดียวไปหมดแก้ว

"เฮ้ย ปกติไม่ดื่มไม่ใช่เหรอ" ช่างโต้งผู้เป็นเสมือนพี่เลี้ยงของเขาตกใจ เด็กฝึกงานคนนี้ที่เขาปั้นมากับมือปกติเป็นเด็กเรียบร้อย วันนี้เกิดอะไรขึ้น

"อ้าว นี่ดื่มจริงเหรอ" วินเองก็เพิ่งตระหนักได้ ในตอนแรกนั้นเขาก็ชวนปัณณ์ดื่มไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้ว่ายังไงปัณณ์ไม่ใช่ก็เด็กดื่มเหล้า เขาแค่คิดว่าเด็กหนุ่มก็คงจะปฏิเสธเหมือนเช่นเคย

"ผมอยากเมาพี่ กลุ้มใจ" หนุ่มน้อยพึมพำพลางยื่นแก้วไปให้คนงานคนนั้นชงเหล้าให้เขาต่อ

ปัณณ์มองรุ่นพี่ทุกๆคนในแผนกแล้วก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างมหันต์ เขารู้เรื่องซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับทุกคน แต่เขากลับบอกใครไม่ได้เลย หนุ่มน้อยรู้สึกแย่อย่างที่สุด เขาไม่น่าไปรับรู้เรื่องนี้เลย

"เป็นหยังน้อง เรื่องน้องเอื้องคำก่อสำเร็จเสร็จสมประดีไปแล้ว มีเรื่องหยังแหม" ช่างอู๊ดยื่นหน้าเข้ามาทำหน้าล้อเลียนเด็กหนุ่มใกล้ๆ

"ช่างมันเถอะพี่"

ปัณณ์ไม่รู้จะพูดอะไร เขารับแก้วมาจากคนงานแล้วยกขึ้นดื่มอีกรวดเดียวหมดแก้ว พยายามอย่างยิ่งที่จะกลบเกลื่อนนัยน์ตาที่กำลังแดงๆด้วยน้ำตาที่เริ่มจะรื้นขึ้นมา

"ขออีกแก้ว อ้ายต๊ะ" แล้วปัณณ์ก็ยื่นแก้วไปทางคนงานที่มีหน้าที่ชงเหล้าอีกรอบ

เอ๊ะ วันนี้เค้ามาแปลก

วินมองญาติผู้น้องของสิปรางค์อย่างแปลกใจ ปกติปัณณ์จะไม่ค่อยได้มานั่งดื่มกับพวกเขา หรือนานๆทีหากจะมานั่งร่วมวงด้วย ปัณณ์ก็จะดื่มแต่น้ำเปล่าหรือน้ำอัดลม และหนุ่มน้อยคนนี้เองที่จะอาสาเป็นคนขับรถพาพรรคพวกคณะของเขาไปส่งบ้านยามที่แต่ละคนเมามายกันมากเกินขีดจำกัด

"เออ งั้นมาว่าเรื่องของฮากันดีกว่า คือพี่น้องครับ รถเครื่องคันใหม่ที่กระผมเพิ่งถอยมา แฮงมันดีขนาดเลยครับ" นายช่างรุ่นใหญ่เลิกสนใจอาการของเด็กน้อยตรงหน้า แล้วหันมาอวดถึงมอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่เขาเพิ่งจะซื้อแทน

"ผมก็ว่านาช่างอู๊ด คันเก่าของช่างน่ะ น่าจะขว้างไปเมินละ" คนงานคนหนึ่งผสมโรง เขาเห็นนายช่างคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆมาหลายปี อาการสามวันดีสี่วันไข้ของมอเตอร์ไซค์คันนั้นมันทำให้เขาอยากจะขโมยไปทิ้งมาก

"นี่ซื้อรถดามหัวใจที่อกหักอ่ะดิ" ช่างโต้งถือโอกาสทับถมเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่

"บ่แม่นเว้ย ฮาก็ซื้อของฮา บ่เกี่ยวกะไผ เอ้า ชน!" แม้จะมีสีหน้าที่สลดไปเล็กน้อยยามที่คิดถึงเรื่องความรักที่ไม่สมหวัง แต่ช่างอู๊ดก็พยายามปัดความรู้สึกนั่นออกไปจากใจ ในเวลานี้เขาควรจะเฮฮาต่อไปกับเพื่อนฝูงมากกว่า

"แล้วซื้อสดเลยกาอ้าย" ช่างโต้งยังคงสนใจมอเตอร์ไซค์คันใหม่ของช่างรุ่นพี่ เขาก็รู้สึกดีใจที่ช่างอู๊ดเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์เสียที

"ระดับนี้แล้ว ผ่อนสิคร้าบพี่น้อง เดี๋ยวก็สิ้นปีแล้วคร้าบ เดี๋ยวโบนัสก็ออกแล้วคร้าบ ไชโย!" นายช่างรุ่นใหญ่คิดถึงโบนัสปลายปีที่ได้ประจำกันทุกๆปีก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที

"ไชโย! ไชโย! ไชโย! โรงงานกาแฟมิตรแท้ของเราจงเจริญ!"

ทุกคนต่างร่วมไชโยโห่ร้องกันครื้นเครงอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งปัณณ์เห็นทุกคนกำลังมีความสุขกับโรงงานนี้ เขายิ่งรู้สึกแย่ ค่ำคืนนั้นหนุ่มน้อยจึงจงใจกระดกเหล้าเข้าปากอีกหลายแก้ว…

ตลอดค่ำนั้นวินสังเกตหนุ่มเห็นปัณณ์ดื่มแบบไม่ยั้ง ชายหนุ่มจึงต้องเพลาๆการดื่มของตนเองไปเพราะรู้ว่าเดี๋ยวเขาจะต้องเป็นฝ่ายขับรถพาปัณณ์มาส่ง หากเป็นลูกน้องหรือเด็กฝึกงานคนอื่น เขาก็คงปล่อยให้ต่างคนต่างนอนที่โรงงาน แต่ปัณณ์เป็นถึงน้องชายเจ้าของโรงงาน และที่สำคัญเป็นน้องชายของมะปรางด้วย มะปรางผู้หญิงที่พิเศษที่สุดสำหรับเขา วินจึงอยากดูแลหนุ่มน้อยคนนี้ให้ดีที่สุด

และก็เป็นดังที่ผู้เป็นหัวหน้าคาดการณ์ไว้ ท้ายสุดเมื่อวงเหล้าเลิกลา ปัณณ์เมามากจนแทบเดินไม่ไหว

ชายหนุ่มพยุงเด็กฝึกงานไฮโซมาส่งจนถึงบนห้องพักที่อพาร์ตเมนต์แห่งนึงไม่ไกลจากโรงงานมากนัก เขาเป็นฝ่ายเอากุญแจจากปัณณ์มาไขประตูห้องเสียเอง แล้วจึงประคองพาเด็กหนุ่มไปทิ้งตัวนอนบนเตียง หลังจากนั้นจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ก่อนจะกลับมาจัดท่าทางให้หนุ่มน้อยนอนสบายๆ

เด็กอะไรวะเนี่ย นึกจะกินเหล้าก็กินจนเมาเละ พรุ่งนี้จะได้ไปทำงานมั้ย

วินส่ายหน้าพร้อมกับวางกุญแจรถและกุญแจห้องลงบนโต๊ะทำงานตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างเตียง เขาเหลือบไปเห็นสมุดฉีกเล่มเล็ก จึงถือโอกาสเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้เด็กหนุ่มที่นอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่ใกล้ๆนั้น

"ถ้าตอนเช้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกแฮ้งค์ ก็ให้กินนมแก้อาการแฮ้งค์"

แต่แล้ววินก็ได้ยินเสียงตะโกนโวยวายมาจากร่างบนเตียงที่เขานึกว่านอนหลับพับไปแล้ว

"พี่ปรางใจร้าย พี่ป้องใจร้าย แมร่งใจร้ายกันหมดทุกคนเลย!"

ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปัณณ์เอ่ยถึงมะปรางของเขา

อะไรของมันวะ ไอ่เด็กนี่

และเมื่อเขาหันไปมอง ก็ปรากฏว่าเด็กน้อยเริ่มกรนดังสนั่นแล้ว

หรือว่าจะโดนกีดกันเรื่องความรัก?

วินมองหนุ่มน้อยบนเตียงอย่างขำๆ เขาเองก็นึกเอ็นดูญาติผู้น้องคนนี้ของสิปรางค์เป็นอย่างมาก ปัณณ์เป็นเด็กดี ตั้งอกตั้งใจทำงาน ฉลาดเฉลียวและขยันขันแข็ง คงได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาดี ลูกน้องในแผนกของเขาก็เอ็นดูหนุ่มน้อยคนนี้กันทุกคน

ก่อนจะออกจากห้อง ชายหนุ่มเผอิญสังเกตเห็นว่าคนบนเตียงยังไม่ได้ถอดรองเท้า วินจึงก้มลงไปถอดรองเท้าให้ ความรู้สึกเหมือนได้ดูแลน้องชายทำให้เขารู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด การมีพี่น้องมันทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างนี้นี่เอง

คนเป็นพี่ปลอมๆยิ้มน้อยๆ หยิบผ้าห่มมาคลุมให้น้องปลอมๆอย่างหลวมๆ ก่อนที่เดินจะออกจากห้องพักของหนุ่มน้อยไป…

ขณะที่ลิฟต์ที่จะลงไปที่ชั้นล่างนั้นกำลังเปิดรอรับชายหนุ่มให้ก้าวเข้าไปนั้น ประตูลิฟต์ตัวข้างๆก็เปิดออกในจังหวะเดียวกัน หญิงสาวกับชายหนุ่มคู่หนึ่งเดินตระกองกอดกันสวนออกมา ทั้งคู่ไม่ทันเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงลิฟต์ข้างๆ

"ไม่ยักจะรู้ว่า คุณณัฐเนี่ยนอกจากจะหล่อ แล้วยังร้องเพลงเพราะอีก" เสียงใสๆดังขึ้นอย่างเอาอกเอาใจ

"แต่ก็ยังเพราะน้อยกว่าคุณเบลล่านะครับ" ทั้งคู่เดินไปถึงหน้าห้องพักของฝ่ายหญิงซึ่งอยู่ตรงข้ามกับลิฟต์แล้ว

"คุณณัฐส่งเบลล่าแค่นี้พอแล้วค่ะ" เสียงออดอ้อนนั้นทำเอาฝ่ายชายยิ่งเข้าใกล้ร่างสวยๆนั้นเข้าไปอีก

ณัฐทำท่าเหมือนเมามาก มือไม้ของเขาปั่นป่วนไปที่ตัวของราณี เขาดันหญิงสาวไปติดผนังหน้าห้องนั้น

"คุณสวยมาก" แล้วเขาก็ก้มลงจูบหล่อนเปะปะไปทั่วใบหน้า คนสวยทำท่าเหนียมอาย ปัดป้องน้อยๆ

"อย่าค่ะ คุณณัฐ"

แต่หากหล่อนก็ไม่ได้ผลักไสเขาออก กลับเปิดประตูห้องแล้วดึงเขาเข้าไปด้วยในที่สุด…

ที่หน้าประตูลิฟต์ วินยังคงยืนนิ่ง ในตอนแรกที่โต้งมาเล่าให้ฟังเรื่องของคนทั้งคู่นั้น เขาเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่วันนี้เขาเห็นกับตาตนเองแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างณัฐและราณีเกินเลยไปไกลกว่าที่เขาคิด ชายหนุ่มนึกไปถึงคำบอกเล่าของสิปรางค์

ณัฐเค้ามีแฟนแล้ว กำลังจะแต่งงานกันด้วย!