"อะไรว้า คุยกันแต่เรื่องจัดงานปีใหม่"
วุฒิชัยรำพึงออกมาอย่างหัวเสียหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ออกมาจากลำโพงเล็กๆนั่น เขาอุตส่าห์เดินมาจากโรงงานเพื่อมาลักลอบนั่งฟังการประชุมของฝ่ายสำนักงานในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้เรื่องราวอะไรเลย
"ผมว่านะพี่ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เลิกเหอะ" เติ้ดเองก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ไมโครโฟนดักฟังตัวจิ๋วที่เขาอุตส่าห์ไปแอบติดตั้งในห้องห้องประชุมใหญ่นั้นไม่ได้ช่วยให้เขากับวุฒิชัยรู้อะไรมากขึ้นเลย
"เออ งั้นก็คอยฟังๆไว้ละกัน ถ้ามีเรื่องอะไรน่าสนใจก็ช่วยเก็บมาบอกพี่ด้วย แต่ก็คงไม่มีอะไรหรอก"
วุฒิชัยเองก็ไม่คิดว่าจะมีสิ่งอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่คุณสิปรางค์และคุณณัฐจะกลับกรุงเทพตามที่บอกกล่าวกันไว้แต่แรกแล้ว…
งานปีใหม่ประจำปีใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ทุกคนในโรงงานต่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นในการตระเตรียมงาน ดนัยได้รับมอบหมายให้เป็นโต้โผในการจัดงานเหมือนอย่างเช่นเคย เขาเรียกประชุมตัวแทนจากแผนกต่างๆเพื่อแบ่งหน้าที่กันในการจัดงาน ที่ประชุมลงมติกันให้ฝ่ายผลิตรับผิดชอบด้านเวที ส่วนฝ่ายช่างซ่อมบำรุงรับผิดชอบด้านวงดนตรีและเครื่องเสียง สาวๆในสำนักงานเตรียมการเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนสาวน้อยสาวใหญ่ในโรงงานเตรียมจัดแสดงโชว์บนเวที…
หากจะมีก็แต่หญิงสาวผู้มาจากกรุงเทพคนเดียวเท่านั้นที่ยังเก็บตัวเงียบ ระยะหลังนี้นอกจากสิปรางค์จะกลับรีสอร์ตก็เกือบสองสามทุ่มทุกคืน แถมหล่อนยังหอบงานไปทำต่อที่ที่พักด้วย หญิงสาวต้องการจะใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด เวลาของหล่อนเหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว หล่อนรับปากปกป้องว่าจะนำรายงานฉบับปรับปรุงไปเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยตนเองหลังปีใหม่ คงไม่สามารถจะยืดเวลาออกไปได้อีกแล้ว
หลายครั้งที่สิปรางค์ถามตัวเองว่าหล่อนทำไปเพื่ออะไร ทำไมหล่อนต้องมาทุ่มเทมาเหนื่อยมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่งานนี้ควรจะจบไปแล้ว และหล่อนก็ควรจะกลับกรุงเทพไปดำเนินชีวิตตามปกติของหล่อนได้แล้ว หญิงสาวเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยทั้งกายและใจ แต่เมื่อนึกไปถึงใบหน้าของบรรดาชาวโรงงานแล้วก็ล้มเลิกไม่ได้จริงๆ
และที่สำคัญ หล่อนเป็นคนไม่เคยยอมแพ้…
ใช่ นั่นล่ะคือเหตุผลว่าทำไมหล่อนต้องถึงยอมเหนื่อยขนาดนี้ มันคือตัวตนของหล่อนที่จะต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้ถึงที่สุด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ…
จริงหรือ… ด้วยเหตุผลพวกนี้จริงหรือ…
หรือเป็นเพราะชายหนุ่มนัยน์ตายิ้มได้คนนั้นด้วย?
ยอมรับเสียเถิดว่าหล่อนทำเพื่อเขาด้วย หล่อนไม่อยากเห็นโรงงานที่เป็นที่รักของชายหนุ่มคนนี้ต้องถูกปิด หล่อนไม่อยากเห็นเขาเสียใจ…
วันนี้ก็เช่นกัน ก่อนจะหอบแฟ้มงานขึ้นบันไดเรือนพัก สิปรางค์อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังหันไปมองสวนผลไม้ที่อยู่ติดกันนั้น หล่อนหักห้ามใจตนเองไม่ได้จริงๆ ขอเพียงแค่ได้เห็นแสงไฟจากบ้านไม้ตรงโค้งน้ำโน้น ถึงแม้จะเห็นเลือนรางจากไกลๆก็ยังดี หล่อนมองอย่างนี้ของหล่อนทุกวันยามเมื่อกลับมาจากทำงาน
หล่อนไม่ได้เจอเขาหลายวันแล้ว เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่ท่าน้ำวันนั้น หล่อนก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้าเพื่อนบ้านคนนี้ หญิงสาวไม่อยากเผลอใจตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว
หากสิปรางค์ก็หารู้ไม่ว่า เจ้าของบ้านสวนคนที่หล่อนมักจะนึกถึงเขาในทุกค่ำคืนนั้น เขาก็มักจะมารอคอยหล่อนกลับจากทำงานอยู่เป็นประจำเช่นกัน วินได้แต่ยืนสูบบุหรี่อยู่ในมุมมืดริมน้ำข้างรั้วไม้ไผ่นั่น จนชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวเข้าประตูห้องพักไปอย่างปลอดภัย เขาจึงจะเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง…
"อ้าว ช่างวิน!"
ณัฐทักทายนายช่างใหญ่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสตามเคย เขากับราณีกำลังเดินออกมาจากอาคารสำนักงานด้วยกัน ระยะหลังๆนี้หนุ่มนักการบัญชีไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าใครจะคิดอย่างไรเรื่องระหว่างเขากับผู้หญิงคนนี้ เวลาเขาเหลืออีกไม่มากแล้ว อีกไม่กี่อาทิตย์เขาก็ต้องกลับกรุงเทพแล้ว เขาอยากใช้เวลาช่วงนี้ให้คุ้มค่าที่สุดกับคนสวยคนนี้
ส่วนชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยทักนั้นก็กำลังจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าประตูใหญ่ของอาคารนั่น วันนี้วินบังเอิญเห็นมะปรางของเขาจากที่โรงอาหารจากระยะไกลๆ ลักษณะของหญิงสาวที่ดูซูบผอมและเคร่งเครียดทำให้เขาเป็นกังวล วินแทบไม่เจอหล่อนเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ท่าน้ำทำเอาเขาเองก็รู้สึกแปลกๆในใจจนไม่กล้าจะสู้หน้าหญิงสาว ทำได้แค่ในบางเวลาที่เขาคิดถึงหล่อนจนทนไม่ไหว เขาก็จะลงทุนเดินมาจากโรงซ่อมบำรุงเพื่อไปแอบดูหญิงสาวที่ห้องทำงานทั้งๆที่ไม่มีธุระอื่นใด ชายหนุ่มต้องการเพียงแค่จะไปแอบดูว่าหล่อนเป็นอย่างไรบ้าง ก็แค่นั้นเอง
ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มของสิปรางค์ที่เขาเห็นปรากฏในห้องทำงานในระยะหลังๆนี้ ทำให้วันนี้วินตัดสินใจจอดรถขณะกำลังขี่ผ่านหน้าสำนักงาน วันนี้หากเขาได้ขึ้นไปทักทายหญิงสาวหน่อยอาจจะทำให้หายอัดอั้นตันใจได้บ้าง
แต่เมื่อชายหนุ่มเห็นณัฐและราณีกำลังเดินออกมาด้วยกันนั้น วินคิดว่าเขาคงมีเรื่องจะต้องทำก่อนที่จะขึ้นไปหามะปรางของเขา
"มาหาพี่ปรางหรือครับ" ชายหนุ่มเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องของสิปรางค์ถามเมื่อเห็นวินจอดมอเตอร์ไซค์เป็นที่เรียบร้อย ณัฐหรี่ตาหยอกเย้านายช่างหนุ่มอย่างเป็นกันเอง
"คุณราณีรีบกลับไหมครับ ผมขอคุยด้วยหน่อย" หากนายช่างใหญ่ไม่ตอบคำถามนั้น เขากลับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆหนุ่มนักบัญชี
"งั้นเดี๋ยวผมไปเอารถมานะครับคุณเบลล่า คุยกับช่างวินตามสบายครับ" แม้จะสงสัย แต่ณัฐก็รู้ตัวว่าเขาไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ ท่าทางของช่างวินนั้นชัดเจนว่าต้องการคุยกับหญิงสาวตามลำพัง ชายหนุ่มจึงถือโอกาสเดินเลี่ยงออกไปเอารถที่โรงจอดรถฝั่งตรงข้ามกับอาคารสำนักงาน
"คุณณัฐเปิ้นมีแฟนแล้ว ฮู้แม่นก่อ"
นายช่างหนุ่มเปิดปากตรงๆกับหญิงสาวตรงหน้าโดยไม่มีการอ้อมค้อมหรือเกริ่นนำอะไรทั้งสิ้น
"ฮู้" ราณีตอบสั้นๆ มองคนตัวสูงอย่างท้าทาย
"อ้อ ฮู้แล้วก่อดีละ" เมื่อจบคำชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหญิงสาวอีก เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมายืนสูบหันหน้าไปอีกทาง อาการเมินเฉยนั้นทำให้ราณีรู้สึกอึดอัดใจมาก หล่อนคาดหวังว่าช่างวินควรจะพูดอะไรมากกว่านี้ หล่อนเกลียดท่าทางแบบนี้ของเขาเหลือเกิน เกลียดมาก
"แล้วจะมาสนใจ๋อิหยัง อ้ายเคยสนใจน้องโตยก๋า" ราณีทำน้ำเสียงประชดประชัน
"บ่ได้สนใจ๋ ก่อแค่ถามดู จั้งเต๊อะ"
คำตอบที่มีมาอย่างลอยๆทำให้หญิงสาวมองคนตรงหน้าด้วยความน้อยใจปนหมันไส้ หล่อนอยากจะปราดเข้าไปผลัก เข้าไปทุบชายหนุ่มให้สมกับความเฉยเมยที่เขาแสดงต่อหล่อนเสมอมา แต่ราณีก็ทำได้แค่เพียงเม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ แล้วหันหลังเดินไปขึ้นรถของชายหนุ่มอีกคนที่มาจอดรออยู่ข้างๆ
วินมองตามหลังรถคันหรูที่แล่นออกไป เขาถอนหายใจยาว รู้สึกขัดใจตัวเองเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถพูดกับหญิงสาวได้อย่างที่ใจอยากจะพูด
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังหัวเสียกับตัวเองอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
"ว่าจะใดจันติ๊บ หา! อะหยังนะ! ได้ อ้ายจะฟั่งไปกำเดียวนี่"
วินหันหลังกลับขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากได้ฟังน้ำเสียงอันร้อนรนของจันติ๊บภรรยาของช่างอ๊อด ชายหนุ่มลืมความคิดที่กำลังจะขึ้นสำนักงานไปทักทายมะปรางของเขาเสียสนิท…
"อ้าว วิน มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย มารอนานหรือยัง"
เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ตด้วยความอ่อนเพลียในตอนค่ำ หญิงสาวก็ต้องแปลกใจที่เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนนั่งรอหล่อนอยู่ที่ขั้นบันไดทางขึ้นบ้านพัก
ผมเคยบอกแล้วไง ว่านานแค่ไหนก็รอได้
"ทำไมเพิ่งจะกลับ แล้วนี่มะปรางกินอะไรมาหรือยัง" ชายหนุ่มตอบไม่ตรงคำถาม เขาลุกยืนขึ้นเมื่อเห็นหล่อนเดินตรงเข้ามา
สิปรางค์ส่ายหน้าแทนคำตอบ พลางจ้องมองหน้านายช่างหนุ่ม ก่อนจะตระหนักได้ในทันทีว่าหล่อนคิดถึงเขามากแค่ไหน คิดถึงเป็นที่สุด…
ใบหน้าคร้ามแดดนั้นดูอ่อนโยนกับหล่อนเหมือนเช่นเคย ความรู้สึกสันสนประดังประเดขึ้นมาในใจของหญิงสาว หากหล่อนก็ตอบเขากลับไปสั้นๆ
"เราไม่มีเวลาน่ะ"
คำตอบนั้นทำเอาเจ้าของคำถามที่นั่งรออยู่นานถึงกับส่ายหน้า ทำไมมะปรางไม่ห่วงตัวเองบ้างนะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก แล้วนี่อาการปวดหัวยังมีอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่แม้จะเป็นห่วงหญิงสาวขนาดไหน หากวินก็อดที่จะตำหนิคนตรงหน้าตามสไตล์ขี้เล่นของเขาไม่ได้
"จะทำงานอะไรกันนักกันหนาเนี่ย ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยนะเรา ไปกันครับ ข้างๆนี้เขามีงานวัด ไปหาของกินกันดีกว่าครับ"
สิปรางค์รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หากเป็นวันอื่นที่ไม่ใช่วันนี้หญิงสาวคงไม่รู้สึกถือสาและคงออกไปตามคำชวนของชายหนุ่ม แต่ไม่ใช่วันนี้… วันที่หล่อนคร่ำเคร่งมาทั้งวันกับการคิดคำนวณทางรอดของโรงงาน กับการหาข้อมูลจากทุกสารทิศ การตรวจสอบความเป็นไปได้ทุกทางที่โรงงานจะไม่ถูกปิด
หล่อนกำลังเหนื่อยและอ่อนเพลียมาก พลังงานอันมหาศาลถูกนำไปใช้กับการทำงานหมดแล้ว ไม่มีแก่ใจจะมาพูดล้อเล่นอะไรแล้ว
แล้วนี่อะไร ชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องอะไรเลย เขายังไม่รู้ตัวสินะว่าที่ผ่านมาพวกเขาทำงานกันสบายแค่ไหน ก็เป็นเพราะพวกเขานั่นแหละ โรงงานถึงไม่มีกำไร!
"วินก็มัวแต่ใช้ชีวิตสนุกไปเรื่อยเปื่อย เคยคิดจะทำอะไรจริงจังบ้างไหม" สิปรางค์พูดออกไปด้วยอารมณ์อันหงุดหงิด หล่อนเหนื่อย!
ชายหนุ่มชะงักไป สีหน้าที่กำลังจะหยอกเย้าหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นนิ่งงัน
"ก็เป็นแบบนี้กันน่ะสิ โรงงานถึงทำรายได้ได้แค่นี้ จะรักสบายกันไปถึงไหน แต่ละคนก็คิดแต่จะทำงานง่ายๆสบายๆ เอาแต่เที่ยวเล่นกินเหล้า" คนตัวเล็กยังพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าของคนตรงหน้า ความรู้สึกว่าตนเองต้องแบกรับความรับผิดชอบเอาไว้คนเดียว บวกกับอารมณ์เครียดสะสมมาโดยตลอด ทำให้หญิงสาวต้องหาที่ระบาย
วินพูดไม่ออก เขาไม่เข้าใจความหมายที่สิปรางค์พูด เขารู้มะปรางของเขากำลังหงุดหงิดเพราะทำงานเหนื่อย แต่มันเกี่ยวอะไรกับการทำงานของพวกเขา ชายหนุ่มจึงได้แต่ยืนนิ่งเฉย
นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวตรงหน้าเขารู้สึกอารมณ์เสียมากขึ้น ก็แหงล่ะ ตัวเองไม่ต้องมารับรู้อะไรนี่นา มีความสุขไปวันๆ แต่ชั้นนี่สิ ทำไมต้องมาแบกอนาคตของพวกเธอเอาไว้คนเดียว
"ตัววินเองก็เถอะ คิดจะมีชีวิตง่ายๆไปวันๆอย่างนี้ไปจนตายเหรอ คิดจะขวนขวายหาลู่ทางให้ชีวิตมันเจริญก้าวหน้ากว่านี้บ้างไหม จะมาจมปลักอะไรอยู่กับโรงงานเก่าๆนี่ เรียนมาก็น้อย แล้วยังไม่คิดจะพัฒนาตัวเองบ้างเลยรึไง!"
สิปรางค์ร่ายยาวเป็นชุดใหญ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว เริ่มพาลไปไกลอย่างกู่ไม่กลับ ด้วยอารมณ์เครียดทุกอย่างจึงพาลดูขวางหูขวางตาไปหมด จนเมื่อพูดจบและเห็นสีหน้าของชายหนุ่มเท่านั้นแหล่ะ หญิงสาวถึงได้ตระหนักว่าหล่อนพลาดไปเสียแล้ว…
วินนิ่งงัน มองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาน้อยเนื้อต่ำใจอย่างเหลือประมาณ สิปรางค์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาน้อยใจคู่นั้น หญิงสาวรู้สึกตัวว่าอาจจะพูดเกินเลยไปหน่อย แต่ด้วยความมีทิฐิและอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ หล่อนจึงมองตอบเขาด้วยแววตาเย้ยหยันถือดี
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เบนสายตาไปยังแม่น้ำเหมือนจะพยายามค้นหาคำตอบให้กับตนเองว่าเขาควรจะโต้ตอบหญิงสาวอย่างไรดี
"…"
วินเงียบอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็หันมาพูดกับหญิงสาวด้วยเสียงเรียบและสีหน้าแววตาเฉยเมยว่า
"งั้นผมกลับก่อนนะครับ อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะ"
และโดยที่ไม่ฟังรอคำตอบ ชายหนุ่มก็หันหลังแล้วเดินกลับไปทางบ้านสวนอย่างรวดเร็ว
"วิน…" สิปรางค์ร้องเรียกเขาเบาๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่หันกลับมา
หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความอัดอั้นตันใจ ความรู้สึกหลายอย่างพุ่งขึ้นมาผสมปนเปประดังประเดกันไปหมด หล่อนทรุดนั่งลงที่ขั้นบันไดขึ้นบ้านพัก รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนต้องเอนตัวพิงพับไปกับเสาบันได สิปรางค์ซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร่ำไห้สะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป…
ต่างไปจากคนตัวสูงที่กำลังเดินจากมา วินกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ชายหนุ่มพยายามกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นดังลอดออกมา มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่กำลังไหลอาบแก้มด้วยความน้อยใจอย่างแสนสาหัส เขาเคยภาคภูมิใจในตัวเองเสมอมาว่าสามารถเอาตัวรอดเติบโตมาได้ทั้งๆที่มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด
แต่มาวันนี้… คำพูดของผู้หญิงคนที่เขารักได้ทลายความเข้มแข็งทั้งหมดที่เขาได้ใช้เวลาอันยาวนานในการเพียรพยายามสร้างมันขึ้นมา
ชายหนุ่มมีความรู้สึกเหงาลึกจับใจ
ต้องเป็นคนแบบไหน ต้องให้ทำยังไง ถึงจะเรียกว่าดีพอ…