งานประกวดฑูตกิจกรรมเป็นงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของนิสิตนักศึกษาปีหนึ่งเลยก็ว่าได้ วันนี้นอกจากจะได้ส่องคนหน้าตาดีแล้ว ยังมีคอนเสิร์ตเอย การแสดงเอย ทุกอย่างมีไว้เพื่อให้ปีหนึ่งปลดปล่อยได้เต็มที่
แต่งานในวันนี้ไม่ได้ดูน่าตื่นเต้นเลยสักนิดสำหรับพวกเรา ผมและไนน์ไม่ได้มาส่องใคร ไม่ได้มาแดนซ์ที่คอนเสิร์ต ไม่ได้มาชมการแสดง พวกเราแค่มาทำหน้าที่ของเรา
แค่นั้นจริง ๆ
ความอลังการและความศักดิ์สิทธิ์ของงานนี้ถูกแสดงออกมาเกือบจะทันทีที่มองไปที่ประตูทางเข้าของโรงละคร มันถูกจัดเป็นซุ้มไว้อย่างวิจิตรงดงามด้วยตราสัญลักษณ์ประจำธาตุทั้งสี่อันประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม และไฟ สื่อถึงคอนเซปหลักของงานในปีนี้ซึ่งก็คือการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แต่ถึงจะมาแนวรักษ์โลกก็ตาม ฉากและอุปกรณ์ตกแต่งเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นวัสดุจากโฟม พลาสติก และกระดาษ ทุกอย่างถูกตัดแต่งอย่างปราณีตที่สุดเพื่อจะใช้ในงานวันนี้วันเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกเอาไปทิ้งภายในชั่วข้ามคืน
ผมเดินคู่กับไนน์ตรงไปยังโต๊ะลงทะเบียนหน้างาน โต๊ะถูกปกคลุมด้วยผ้าปูสีเขียวซึ่งถูกจับจีบดูงามหูงามตา งามไปถึงการแต่งตัวของรุ่นพี่ที่ออกมาต้อนรับน้อง ๆ เข้างาน
พอมองไปรอบตัวก็พบว่าไม่ใช่แค่คนที่ยืนต้อนรับข้างหน้าเท่านั้น ทุกคนที่กำลังยืนต่อแถวลงทะเบียนและกำลังจะเดินเข้างานไปนั้น แต่งตัวดูดีกันหมด
น้อง ๆ หลายคนที่ผมรู้จักดูสวยหล่อมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ทุกคนเตรียมตัวมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ไนน์ก็ดูดีไม่แพ้กัน ไนน์สวมเสื้อยืดสีชมพูตัวหลวมที่ผมเคยซื้อให้ ส่วนข้างล่างสวมกางเกงยีนส์ทรงสลิมฟิตสีดำสนิททำให้ส่วนบนของไนน์ดูโดดเด่นขึ้นมา
เลื่อนลงมาเป็นรองเท้าสีขาวคู่เดิมล้วนที่ดูสะอาดตา ทรงผมของไนน์ถูกหวีและจัดทรงมาอย่างดี ลอนหยิกน้อย ๆ นั้นทำให้ไนน์ดูเป็นหนุ่มเกาหลีขึ้นมาบ้าง
ส่วนตัวผมนั้นแต่งตัวสบาย ๆ ไม่ได้พิถีพิถันเท่าไนน์ แต่ผมก็มั่นใจในตัวเองอยู่พอตัวว่ามันดูดี
ผมสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวล้วนขนาดพอดีตัว สวมทับด้วยเสื้อเชิร์ตบาง ๆ สีเหลือง ส่วนกางเกงเป็นขาสั้นระดับเข่า และในเมื่อแต่งตัวเหมือนเตรียมจะไปทะเลขนาดนี้แล้ว ผมก็ใส่รองเท้าแตะหุ้มส้นมันซะเลย
นี่ผมให้เกียรติสถานที่แล้วนะ ไม่ได้ใส่รองเท้าแตะหูคีบมาสักหน่อย มันเป็นรองเท้าแตะหุ้มส้น
พวกเราทั้งคู่เดินเฉิดฉายตามทางเดินที่ถูกจัดเตรียมไว้ เกือบจะเรียกได้ว่าเชิดหน้าอยู่ก็ว่าได้
ถึงจะโดนดูถูกจากโลกโซเชียลไปหนักขนาดนั้นว่าเป็นเดือนเก๊บ้าง เดือนเอ๋อบ้าง เดือนหน้าหลุมบ้าง แต่ตอนนี้เกือบทุกสายตาหันมาจับจ้องเราทั้งคู่อยู่
แต่ที่พวกเขามองนี่ไม่ใช่ว่าเราดูดีที่สุดจนโดดเด่นเหมือนที่พระเอกหรือนางเอกในหนังฮอลลีวู๊ดเดินผ่านผู้คนท่ามกลางเสียงเพลงมันส์ ๆ ที่เปิดบรรเลงอยู่หรอกนะ
ที่พวกเขามองมาคงเพราะความสงสัยปนความอยากรู้อยากเห็นที่ว่าทำไมเราถึงได้มากันสายขนาดนี้
ว่ากันตามตรงแล้วเราไม่ได้มาสายอะไรขนาดนั้นเลย เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่า ๆ กว่าจะถึงเวลาเปิดงานด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้เข้าประกวดเดือนและพี่เลี้ยงอย่างไนน์และผม ที่ควรจะพากันมาตั้งแต่ตีห้าแล้วนั้น เพิ่งโผล่หัวมาเตรียมตัวที่หลังเวที
เป็นปกติของทุกปีที่ผู้เข้าประกวดทุกคนจะต้องมาเตรียมความพร้อมสำหรับการแสดงกับคู่ของตัวเองกันตั้งแต่ไก่โห่ ทั้งแต่งหน้า แต่งตัว ตั้งสติทำสมาธิ เรียกขวัญกำลังใจ และกระบวนการอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ปีนี้เป็นปีที่พี่เชอร์รีไม่ได้มาคุมงาน ทำให้การแข่งขันในปีนี้ไม่ได้ดำเนินการในลักษณะกลุ่มก้อน ต่างคนต่างเตรียมตัวมาแสดงความสามารถพิเศษเฉพาะของตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องนัดซ้อมเป็นคู่ดาวเดือนเหมือนกับปีผมและปีก่อน ๆ
"ไนน์แน่ใจแล้วใช่ไหม" ผมหันไปถามไนน์ขณะที่เดินตัดผ่านผู้คนที่สอดสายตามาที่พวกเราไปยังข้างหลังเวที
"แน่นอน ผมมีแผนแล้วน่า" แผนที่ว่านี้ผมไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับมันเลย
เมื่อวาน อยู่ ๆ ไนน์ก็ตัดสินใจจะมาแข่งเดือนซะอย่างนั้น ผมเลิกคิ้วสูงถามไนน์ไปว่าทำไมถึงเปลี่ยนใจ แต่ก็ได้รับคำตอบมาแค่ว่า 'เดี๋ยวก็รู้'
แล้วผมก็บ้าจี้ไปเชื่อมัน ให้ตายเถอะ
แต่สีหน้าของไนน์ตอนที่บอกผม รวมถึงวันนี้ด้วย ดูมั่นใจมากเลยว่าตัวเองกำลังจะทำในสิ่งที่ควรทำ แม้ผมจะไม่ได้มั่นใจกับมันเลยว่ามันควรจะทำสิ่งที่มันคิดอยู่ไหม
ผมเหลือบมองไนน์ในเสื้อสีชมพูน่ารักน่ากอดกำลังเดินอย่างอาด ๆ เข้าไปข้างในโดยไม่สนใจสายตาที่มองมาเลยสักนิด
...ก็ได้แต่เชื่อใจไนน์มันละนะ
"สรุปไนน์มันจะเทแล้วใช่ไหมโว้ย!" เสียงหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากห้องที่ใช้เก็บตัวผู้เข้าประกวดทั้งสิบสองคนและพี่เลี้ยงอีกหนึ่งเท่าตัว
เสียงนั้นเป็นเสียงของพี่เชอร์รีที่ดูเหมือนจะพูดเล่นแต่ก็แฝงไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเดาว่าคงเครียดจริง ๆ แหละ แต่พี่แกคงไม่อยากทำให้น้อง ๆ ผู้เข้าประกวดใจเสียก่อนถึงเวลางาน
"เดี๋ยวมันก็มาครับ" เสียงทุ้มต่ำเสียงเดิมที่คุ้นหูของไอ้สนดังขึ้นในเวลาต่อมา เสียงของผู้คนในห้องแว่วดังขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เราเดินตรงเข้าไปใกล้ห้องเก็บตัว
"มาแล้วจะเตรียมตัวอะไรทันไหมล่ะโว้ย นี่ก็เหลือแค่ชั่วโมงกว่าเอง"
"ก็ไม่เห็นต้องเครียดเลย ถ้ามันมาก็เป็นเรื่องของมันที่ต้องจัดการตัวเอง ถ้ามันไม่มาก็แค่ให้พิธีกรข้ามช่วงของมันไป ไม่เห็นมีอะไรยากเลยครับ"
"มันเสียชื่อกองประกวดคณะเราไหมล่ะโว้ย! อยู่ ๆ คนในภาพโปรโมตก็หายไปดื้อ ๆ เนี่ย"
เสียงทุกอย่างดังชัดเจนขึ้น ตอนนี้เราเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว เสียงข้างในยังคงดูโกลาหลวุ่นวายกันอยู่เหมือนเดิม แต่เสียงที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นบทสนทนาของสนกับพี่เชอร์รี
ผมยื่นมือไปเพื่อจะบิดลูกบิดประตูข้างหน้า
"ถ้ามันมานะกูจะด่ามันให้สิวหดเลยคอยดู" ผมชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเข้าไปตอนนี้เลยดีไหมหรือควรออกไปห่าง ๆ ให้สถานการณ์สงบลงก่อน
ผมหันไปมองหน้าไนน์เป็นเชิงถามความคิดเห็นของมัน แต่ไนน์กลับตอบกลับมาด้วยการยักไหล่ แบบ 'แล้วไง' แล้วปั้นสีหน้าเฉยเมยจนนึกว่าระบบด้านความรู้สึกของมันจะเสื่อมตัวไปแล้ว
จากนั้นไนน์ก็บิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูไปแบบปกติสุขที่สุด
ภาพข้างในคือบรรยากาศที่โกลาหลเหมือนกับเสียงที่ลอดออกมาเมื่อครู่ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังถูกจัดแต่งทรงผมโดยช่างทำผมระดับรุ่นพี่ดาว บางคนกำลังหาของในกระเป๋าอย่างลุกลี้ลุกลน ส่วนดาวเทียมกำลังแต่งหน้าให้กันและกัน คนที่แต่งหน้าเสร็จแล้วก็แต่งให้ผู้เข้าสมัครดาวคนอื่น ๆ ด้วย ส่วนดรและเพื่อนเดือนคนอื่น ๆ กำลังตรวจเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้กันและกัน
ไม่มีใครสนใจที่เราเข้ามากลางคันสักเท่าไหร่ ดูเหมือนทุกคนกำลังวุ่นวายกับตัวเองและเพื่อน ๆ น้อง ๆ ตัวเองอยู่ บางคนไม่ได้สังเกตว่าพวกเราเข้ามาแล้วด้วยซ้ำ
มีเพียงพี่เชอร์รีกับไอ้สนที่หันมามอง
พี่เชอร์รีที่นั่งอยู่หน้าประตูทำหน้าเหวอทันทีที่เห็นไนน์เดินเชิดหน้าเข้าไปในห้อง ส่วนสนแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจที่เห็นเรามาได้สักที
"มาตอนนี้แล้วจะทันอะไรล่ะโว้ย!" พอหายอึ้งพี่เชอร์รีก็ดุไนน์ทันทีด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
"ผมไม่ต้องแต่งหน้าก็ได้ครับ มันธรรมชาติตรงธีมดี" ไนน์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนตอนที่เดินเข้ามา ส่วนไอ้สนหันหัวไปข้างหลังแล้วป้องปากขำไว้เงียบ ๆ
พอไนน์มันหน้านิ่งแล้วโคตรน่าขนลุกเลย
ดูแล้วไนน์มันคงจะโกรธพี่เชอร์รีน่าดู คงเพราะเรื่องที่พี่แกพูดถึงมันในวันนั้น
"ต้องแต่งหน้าสิโว้ย! เดี๋ยวขึ้นเวทีแล้วหน้ามืดกันพอดี"
"ทำไมผมไม่แต่งหน้าแล้วจะต้องเป็นลมกลางเวทีด้วย" ไนน์เลิกคิ้วสูงถามพี่เชอร์รี่ไป ดูจากสีหน้าแล้วไม่ได้กวนตีนพี่แกหรอก มันคงไม่รู้ความหมายที่พี่เชอร์รีแกบอกจริง ๆ
ไอ้สนที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ทนกลั้นขำไม่อยู่จนระเบิดหัวเราะดังลั่นห้อง ทำเอาผู้คนที่วุ่นวายอยู่หันมามองแป๊ปนึงแล้วกลับไปจัดการธุระของตัวเองกันต่อ
ส่วนพี่เชอร์รีนั้นกรอกตาได้ครบร้อยแปดสิบองศาพอดิบพอดี
"ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นลม หมายถึง...โอ๊ย! ขี้เกียจอธิบายโว้ย" พี่แกบ่นแล้วหันไปหารุ่นพี่ดาวเทียมที่นั่งอยู่ระหว่างพี่กับไอ้สน "มึง ไปแต่งหน้าให้ไนน์มันหน่อย"
"ผมไม่ต้องแต่งก็ได้" ไนน์ยังทำหน้างอนใส่พี่เชอร์รี่อยู่แต่น้ำเสียงดูนุ่มลงไปบ้าง
"แต่งไปเถอะไนน์ ยังไงก็ต้องรอเวลาอีกนานอยู่ดีไม่ใช่เหรอ" ผมพยายามใจเย็นใส่ไนน์ให้มันหายร้อนลงบ้าง
ได้ผล ไนน์ยอมไปนั่งแล้วให้พี่ดาวเทียมคนนั้นจัดการใบหน้าแต่โดยดี
พี่เชอร์รีก็อย่างงี้แหละน้า ถึงตอนนั้นจะอารมณ์ร้อนด่าไนน์แบบสาดเสียเทเสีย แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็พร้อมช่วยดูแลน้องทุกคนเสมอ
พอว่างจากเจ้าตัวยุ่งแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปนั่งที่ว่างนั้นแทน ทำให้มีพี่เชอร์รีและสนอยู่ขนาบทั้งสองข้าง
"แล้ววันนี้พี่เชอร์รีลางานมาเหรอครับ"
"แน่ละ ฉันกลัวงานจะพังพินาศลงถ้าฉันไม่มาช่วยดูเนี่ย"
"โห พี่เชอร์รีรักน้อง ๆ จังเลยนะคร้าบ" ผมพูดเสียงหวานแล้วเคลื่อนตัวไปซบกอดข้าง ๆ
พี่เชอร์รีขี้ดุขี้วีนใส่ทุกคนเสมอไม่เว้นแม้แต่ผม ถึงบางทีคำพูดคำจาของพี่เชอร์รีจะทำร้ายจิตใจใครหลายคนไม่เว้นแม้แต่ผมเองในบางครั้ง แต่พี่แกก็สอนอะไรผมไว้เยอะเหมือนกัน หลาย ๆ อย่างที่ไนน์เรียนรู้จากผมไปก็มาจากพี่แกนี่แหละ นับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีพระคุณของผมคนหนึ่งเลย
"มึงไม่ต้องมากอดกูเลยนะโว้ยเบ็น กูยังโกรธมึงอยู่..." ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่พี่เชอร์รี่หน้าแดงไปถึงไหนแล้ว
"พี่เบ็น!" ไนน์ที่เห็นผมกอดพี่เชอร์รีอยู่ก็ตะโกนออกมาทั้ง ๆ ที่กำลังทาปากอยู่ ตาถลึงใส่ผมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
"น้องอย่าเพิ่งพูดสิคะ เม้มปากค่ะ"
"มีคนหึงมึงแล้วว่ะ" สนหัวเราะลั่นอีกครั้งแล้วกระทุ้งศอกแซวผม "ยินดีต้อนรับสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าขอรับ"
"พี่สน!"
"เอ๊ะ บอกว่าอย่าขยับไงคะ"
แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมากันอีกครั้งไม่เว้นแม้แต่พี่เชอร์รีซึ่งยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก มีแต่ไนน์ที่ยังต้องเม้มปากตามคำสั่ง ส่วนสายตามองค้อนผมเหมือนจะทุบผมให้ได้