webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
分數不夠
56 Chs

บทที่ 18.1

ตื่นขึ้นมาดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนตัวมาอีกซีกฟากฟ้าพอดี

บ่ายแก่ ๆ แล้วแต่ไนน์ยังไม่ตื่นเลย ยังคงนอนซบอกผมอยู่

ผมค่อย ๆ เลื่อนตัวออกมาไม่ให้ไนน์ตื่น แกะมือของไนน์ที่ยึดแน่นกับเสื้อของผมอย่างอ่อนโยน คราวนี้สำเร็จ ผมไม่ได้ขัดขวางเส้นทางสายไหมของไนน์ในฝัน

กุ้งและเนตรยังคงโทรมาตามให้ไปเรียนช่วงบ่าย ตามมาด้วยเพื่อน ๆ ในสาขาเดียวกันที่ตามจนขี้เกียจตามแล้ว พวกมันดูจะตกใจมากคิดว่าผมป่วยตายไปแบบเงียบ ๆ เพราะปกติผมแทบไม่เคยโดดเรียนเลย

วันนี้โชคดีที่คาบเรียนทุกคาบไม่มีเก็บคะแนนในห้อง มีแค่การบ้านที่ให้ทำส่งคาบต่อไปซึ่งเพื่อนในสาขาผมอธิบายมาให้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง น่ารักจริง ๆ เพื่อนผม

ส่วนไนน์...ตอนที่ถามเพื่อนในสาขาของมันที่หน้าห้องเรียนเมื่อวาน รุ่นน้องผมบอกว่าไนน์โดดเรียนไปตั้งแต่วันจันทร์แล้ว ไม่ได้โผล่หัวไปเรียนเลยตั้งแต่มีเรื่องเมื่อวันเสาร์ แล้ววันนี้คือวันศุกร์...

และวันเสาร์นี้ หรือก็คือวันพรุ่งนี้ เป็นวันประกวดจริงแล้ว...

"พี่เบ็น..." ไนน์สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาหาวทักทายผมแล้วขยี้ตาไปมา

ผมเห็นว่าไนน์ตื่นเต็มที่แล้วก็ไล่ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมากินข้าวที่ผมซื้อขึ้นมากินด้วยกัน

ไนน์ลุกเอื่อยเฉื่อยเดินไปอาบน้ำแต่โดยดี แต่หน้าตายังดูเมาขี้ตาอยู่เลย

              เมื่อพวกเราทั้งคู่จัดการตัวเองกันเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเข้าโรงเชือดสักที

              "ไนน์" ผมเรียกไนน์ให้มานั่งข้าง ๆ กันบนเตียง "ตกลงเรามีอะไรจะเล่าให้พี่ฟังไหม" ไนน์มานั่งข้าง ๆ ผมแต่โดยดี มือไม้เกาะแกะแขนแล้วเอาหัวมาซบไหล่ผม

              "เรื่องแข่งเดือนเหรอ...ผมไม่เอาแล้วไง"

              "ไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องของไนน์" เรื่องแข่งเดือนอะไรนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร่แล้ว "ที่ตอนนั้นไนน์บอกว่าพี่ไม่เคยเข้าใจไนน์ ตอนนี้พี่อยากจะเข้าใจไนน์ให้มากขึ้นนะ"

              "...ถ้าพี่รู้แล้ว...พี่เบ็นจะเกลียดไนน์ไหม"

              "พี่รักเราตั้งแต่เรายังแต่งตัวไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมพี่ต้องเกลียดตัวตนของไนน์ด้วย" ผมก้มลงไปจุมพิตหัวของไนน์ "พี่รักไนน์ที่ไนน์เป็นไนน์ ไม่ใช่เพราะไนน์หน้าตาดีหรือดูดีขึ้นหรอกนะ"

"งั้นผมก็ไม่ได้ดูดีขึ้นจริง ๆ ดิ" ไนน์ทำสีหน้างอนแก้มป่องใส่ผมเล่น ๆ

"ดูดีขึ้นดิ หน้าตาน่ารักขึ้นเยอะ" ผมหยิกแก้มไนน์ แต่แล้วก็รู้ตัว "นี่ อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ"

ไนน์หัวเราะทะเล้นแล้วแลบลิ้นออกมาที่ถูกจับได้

"เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ..." ไนน์นั่งคิดอยู่นิ่ง ๆ สักพัก แต่ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยกว่าเมื่อกี้หลายเท่า "พี่เบ็นเห็นรูปของไนน์ที่ยืนถือพวงมาลัยอยู่ที่สี่แยกนั่นแล้วใช่ไหมครับ"

ผมพยักหน้ารับเบา ๆ พยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉยแม้ว่าเจ้าตัวจะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก สายตาเลื่อนลอยไม่ได้จ้องสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าแต่เหมือนกำลังมองภาพของตัวเองที่อยู่ในจิตใจ

ผมพยายามจะไม่ทำตัวอ่อนแอให้ไนน์รู้สึกแย่ไปด้วย

"ครอบครัวไนน์...ครอบครัวผมค่อนข้างยากจน อย่างที่พี่เห็นนั่นแหละ..." ไนน์ถอนหายใจยาวออกมาแล้วพูดต่อ "ช่วงเทอมหนึ่งผมใช้เงินไปเยอะก็จริงแต่เงินพวกนั้นผมก็หามาได้ด้วยตัวเองตอนทำงานพิเศษ

"ปิดเทอมที่ผ่านมา ผมกลับไปบ้าน ที่บ้านเขาเห็นว่าผมใส่เสื้อที่ดูดีหน่อยก็บอกว่าผมใช้เงินฟุ่มเฟือย ผมก็เถียงกลับไปว่า 'นี่มันเงินที่ผมหามาได้นะ ผมจะซื้ออะไรก็เรื่องของผม' ผมไม่เคยเถียงพวกท่านเลย ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก...แล้ว...เพราะงั้นพวกท่านเลยโกรธผมมาก"

พวกท่านที่ว่านี่...คือผู้เป็นพ่อและแม่ไม่ผิดแน่

"พวกท่านด่าผมว่าเป็นเด็กไม่สำนึกบุญคุณบุพการี...แล้ว แล้ว...พวกท่านก็ไล่ให้ผมไปขายพวงมาลัยตลอดช่วงปิดเทอมชดใช้เงินที่ผมใช้ไป...ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเงินของไนน์

"ผมไม่ได้อะไรกับการที่ต้องไปเดินขายพวงมาลัยข้างถนนหรอก ผมเดินขายมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว มันไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยสำหรับผม"

ไนน์กอดแขนผมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดช่วงที่เล่าอยู่ ไนน์เล่าด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยดูเหนื่อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นประกอบกับเสียงกระแทกกระทั้นที่ออกมาในบางช่วง

"แต่แล้วผมก็เถียงพวกท่านกลับไปอีกรอบ ผมพยายามอธิบายเหตุผลว่า 'ผมต้องไปแข่งเดือนตอนเปิดเทอมนะ' 'ผมตากแดดไม่ได้เดี๋ยวผิวไหม้ เดี๋ยวหน้าพังนะ' 'ขอช่วยร้อยมาลัยแทนนะครับ'...แต่...แต่พวกท่านไม่ยอมฟังไนน์เลย ไม่ฟังไนน์เลย"

ไนน์รัดแขนผมแน่นยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะเริ่มร้องไห้ออกมา

"...พวกท่านบอกว่ามันไร้สาระ...

"แต่สำหรับไนน์...มันไม่ได้ไร้สาระ ผมพยายามกับการแข่งเดือนแทบตาย! พี่เบ็นอุส่าห์ช่วยผมมาขนาดนี้แล้ว...ช่วยผมขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ...

"ไนน์ทำให้พี่เสียใจ" ไม่เลยพี่ไม่เคยเสียใจเลย "ไนน์ทำให้พี่เบ็นต้องผิดหวัง..."

"พี่..." ผมลูบหัวน้อย ๆ ของไนน์ผู้ที่เริ่มมีน้ำตาร่วงออกมาแล้ว "เหนื่อยแย่เลยเนอะ ทั้งที่พยายามแล้วแต่ทุกอย่างมาพังลงไปแค่แป๊ปเดียว แล้วคนอื่นก็ไม่ได้มาเห็นช่วงพยายามด้วย...แล้วยิ่งเป็นพ่อแม่แล้วด้วย...คงเจ็บปวดน่าดู" ผมพูดสะท้อนความรู้สึกของไนน์ออกมา ตอนนี้มันไม่สำคัญว่าผมรู้สึกยังไง สิ่งสำคัญคือไนน์รู้สึกยังไงมากกว่า

"อื้ม...ไม่หรอก ไม่ใช่..." ไนน์สะบัดหน้าไปมาเช็ดตาเปียก ๆ ใส่แขนเสื้อของผมก่อนจะค่อย ๆผละตัวเองออกมาหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าตังค์แล้วยื่นให้ผมดู

สิ่งนั้นเป็นภาพถ่ายที่ถูกอัดมาในกระดาษโฟโต้ขนาดสี่คูณหกนิ้ว ดูจากรอยคราบสีเหลือง ๆ ที่เปื้อนเป็นจุดตามกระดาษและสีที่ดูจางไปตามกาลเวลาแล้ว เดาได้เลยว่าเป็นรูปที่ถูกถ่ายมานานแล้ว

ภายในรูปเป็นบรรยากาศการเชียร์กีฬาของสถานที่แห่งหนึ่ง พอลองสังเกตดูดี ๆ ผมจึงพบว่ามันคือสถานที่เดียวกับคณะที่ผมและไนน์เรียนอยู่ ตึกที่เก่าแก่ตอนนี้กลับดูสวยสดงดงามอยู่ในรูป

แต่สิ่งที่เด่นที่สุดของภาพไม่ใช่ตึกนั้น แต่เป็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่ยืนตั้งการ์ดแบบเชียร์ลีดเดอร์เด่นอยู่ข้างหน้าท่ามกลางหญิงสาวและชายหนุ่มที่ทำแบบเดียวกันอีกหลายคน เธอดูเป็นสาวสวยที่มีสายตาอ่อนโยนแต่ก็แข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน ดูเท่อย่างบอกไม่ถูก

"นี่รูปแม่ไนน์เอง...แม่ไนน์เคยเป็นลีดมอเราด้วยนะ"

"อื้ม..." ผมกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวที่ไนน์เล่า พยายามทำความเข้าใจว่ารูปแม่ไนน์เกี่ยวกับเรื่องเมื่อกี้ยังไง "แม่ไนน์ดูเท่มากเลยนะ แล้วก็ดูอ่อนโยนมากเลย...ทำไมคนที่ดูใจดีแบบนี้ถึงไม่พยายามทำความเข้าใจลูกชายตัวเองบ้างเลยนะ"

สายตาของไนน์หมองหม่นลงไปในทันที

"แม่ไนน์เสียไปตั้งแต่ผมแปดขวบแล้ว"

...ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจไนน์เลย...

"งั้นที่บอกว่าพวกท่านนี่คือ...คุณพ่อ...เหรอ?" ไนน์ส่ายหน้าน้อย ๆ ตอบผม

"พ่อไนน์ก็เสียไปพร้อมแม่"

"..."

"...เพราะไนน์...พวกเขาต้องมาตายเพราะไนน์...เพราะตอนนั้นไนน์ดื้อเอง เพราะไนน์เอง..." ดูเหมือนไนน์ไม่ได้กำลังจะเล่าให้ผมฟัง หากแต่เขากำลังพูดโทษตัวเองอยู่ เสียงสะอื้นของไนน์ทำผมแทบใจสลาย

"ไนน์ไม่ได้ทำให้พวกท่านเสียหรอกนะ" ผมพยายามปลอบไนน์ด้วยเสียงที่อ่อนโยนที่สุด

"เพราะไนน์เองนี่แหละ!" ไนน์ตะโกนออกมาเสียงดังมากแต่ก็พูดต่อด้วยเสียงสั่นที่เบาลง "ตอนนั้น...ตอนวันเกิดอายุแปดขวบ พ่อกับแม่ต้องทำงานที่ต่างจังหวัดแล้วไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดกับผม ให้ผมอยู่บ้านคนเดียว แล้วผมก็บอกพวกเขาไปว่า 'ไนน์เกลียดพ่อกับแม่'

"แล้วในที่สุด...พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจรีบขับรถข้ามจังหวัดมาหาผม" มาถึงตอนนี้ไนน์สะอื้นจนตัวโยน ผมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบช้อนหัวสั่น ๆ ของไนน์เข้ามาซบที่อกของผม

"ทั้งที่ฝนตกหนักมาก พ่อกับแม่ก็พยายามรีบขับมาให้ทันก่อนเวลาเที่ยงคืน...แล้วสุดท้าย...รถก็ไปชนเข้ากับรถสิบล้อ...พ่อกับแม่ไนน์ตายไปแล้ว ไนน์ยังไม่ทันได้บอกรักพ่อกับแม่เลยด้วยซ้ำ...สิ่งสุดท้ายที่ไนน์บอกพวกเขาก่อนตายคือ 'ไนน์เกลียดพ่อกับแม่'...'ไนน์เกลียดพ่อกับแม่'!!...ทำไมไนน์ถึงพูดแบบนั้นออกไปนะ ไนน์น่าจะบอกรักพ่อกับแม่แทน...แล้วทำไมตัวปัญหาอย่างไนน์ต้องเกิดมาด้วย ไนน์ควรจะตายไปพร้อมกับพ่อกับแม่ ไนน์ควรจะตายไปพร้อมกัน ไนน์ไม่น่าเกิดมาเลยด้วยซ้ำ ไนน์น่าจะตาย ๆ ไปซะ ตายไปได้ก็ดี ตาย...ตายตายไปเลยตายตายตายตายไปซะ...ฮึก...ตายตายตายตายตายตายตายตายตายตายตายตายตายตาย..." ไนน์พูดซ้ำคำว่าตายไปเรื่อย ๆ อยู่ในอ้อมอกของผมจนอ่อนแรงไปเอง เสื้อของผมเปียกไปด้วยน้ำตาจนรู้สึกได้ถึงความชื้น

ผมไม่มีคำพูดใดจะปลอบโยนไนน์ ได้แต่กอดร่างอันสั่นเทาของเขาไว้แน่น มือข้างหนึ่งลูบหลังไนน์ไปมา ส่วนอีกข้างลูบหัวปลอบ

ผมทนความอ่อนแอของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว คางที่ก้มลงไปแนบชิดกับหัวน้อย ๆ สั่นแรงพอ ๆ กับหัวของไนน์ หยาดน้ำตาไหลลงไปพรมเส้นผมสีดำของเขา

"...พอพ่อกับแม่ไนน์ตาย ไนน์ก็ต้องไปอยู่กับลุงป้าที่เป็นญาติห่าง ๆ กัน พวกท่านมีลูกที่เล็กกว่าไนน์มากสองคนด้วย พอไนน์ไปอยู่เพิ่มเป็นคนที่สามพวกท่านก็ลำบากมากกว่าเดิม พวกท่านให้ไนน์ไปขายพวงมาลัยตามข้างถนนเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมาจากไนน์เอง

"ไนน์ไม่เคยบ่นเลย เพราะรู้ว่าไนน์มาทำให้พวกท่านต้องลำบาก แต่วันไหนที่ไนน์ขายได้น้อย ป้าไนน์ก็เอาแต่ตะคอกด่าไนน์ ด่าว่าไม่พยายาม ด่าว่าเป็นเด็กไม่รักดี

"ส่วนคุณลุง...ลุงชอบเอาเงินไปกินเหล้า วันไหนเมามากก็ต่อยเตะไนน์เล่นแก้เครียด ตอนปิดเทอมก็เหมือนกัน ที่ไนน์บอกว่าไนน์ตกบันได จริง ๆ แล้ว...มันเป็นรอยชกของคุณลุง ไนน์...ไนน์เถียงท่านไปตอนที่ท่านเมาอยู่

"แล้ว...แล้วท่านก็ไปรื้อเสื้อที่พี่ให้จากห้องไนน์ ท่านโกรธที่มีเงินซื้อเสื้อแพง ๆ แบบนี้ได้แต่ไม่มีปัญญาไปหาเงินมาให้ท่านซื้อเหล้า...ไนน์พยายามแย่งกลับมา...ฮึก...ป้ามาเห็นพอดี ท่านเลยช่วยลุงจัดการใช้กรรไกรฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ไนน์ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนะพี่เบ็น ถ้าตอนนั้นไนน์บอกพี่ไปพี่คงโกรธไนน์แน่ ไนน์ขอโทษ..."

"อื้ม ไม่เป็นไรเลย...เจ็บมากไหม..."

"เจ็บ...ไนน์เจ็บ...มากด้วย"

"ไม่เป็นไรนะ พี่จะดูแลไนน์เอง ไม่ต้องห่วง"

"...พี่เบ็น..."

เราร้องไห้กอดกันอยู่นาน นานจนไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่แล้ว เด็กหนุ่มตรงหน้ามีชีวิตที่น่าสงสารเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ผมคาดเดาไปต่าง ๆ นานาถึงสาเหตุของความไม่มั่นใจของไนน์ แต่สิ่งที่ได้ยินในวันนี้มันเกินกว่าที่ผมคาดไว้เยอะมาก

'...พี่เบ็นก็ไม่รู้หรอกว่าไนน์ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง…'

เสียงของไนน์ในตอนนั้นแล่นขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง และสะท้อนไปมาอยู่อย่างนั้น

เด็กหนุ่มคนนี้ผ่านอะไรมามากมายจริง ๆ

มากเกินกว่าที่คนรวยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบผมจะจินตนาการออก

ในที่สุดตัวไนน์ก็สั่นน้อยลง เสียงสะอื้นจางหายไปเหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ดังในอ้อมกอด

"และนิทานเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า..." อยู่ ๆ ไนน์ก็พูดติดตลกขึ้นมาแล้วหัวเราะทะเล้นใส่ผม

ผมเลยหัวเราะตอบกลับไปแล้วยีหัวมันเล่นจนผมมันยุ่งไปหมด

"...เด็กขี้แยก็ยังคงเป็นเด็กขี้แยเหมือนเดิม"

"โห ตัวเองไม่ร้องไห้เลยมั้ง"

เราหัวเราะให้กันเบา ๆ อีกครั้งก่อนที่ไนน์จะก้มหัวลงมานอนบนตัก หัวน้อย ๆ ของไนน์แนบชิดกับน่องขาอุ่น ๆ ของผม พอขยับจนได้ที่มันก็หันมาคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ผม

ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาแต่กำลังคลี่ยิ้มอย่างสดใสนั้นทำให้ผมเอ็นดูไนน์อย่างสุดหัวใจ

ผมก้มหัวลงไปจูบไนน์ จากหน้าผากแล้วเคลื่อนไปจูบริมฝีปาก

"ขอบคุณนะครับพี่เบ็น ที่ฟังเรื่องของผม"

"อื้ม ขอบคุณเหมือนกันนะ ที่ยอมเล่าให้พี่ฟัง"

ไนน์นอนเล่นบนตักผมอยู่อย่างนั้น เราค้างอยู่ท่านี้นานเหมือนไม่อยากให้ช่วงเวลานี้เคลื่อนหายไป ไม่อยากให้เข็มสีแดงเล็ก ๆ ของนาฬิกาเคลื่อนไหวเลย อยากให้กระแสเวลาหยุดนิ่งไป

แสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ เคลื่อนต่ำลงไปเรื่อย ๆ ห้องที่เราอยู่เริ่มมืดลงจนแทบไม่เหลือแสงแดดจากหน้าต่างอีกต่อไป ในที่สุดตะวันก็ลาลับขอบฟ้าไป บอกลาผืนนภาที่กำลังเปลี่ยนสี

ดวงดาวน้อยใหญ่เริ่มประกายแสงริบหรี่อยู่ไกล ๆ แต่แสงที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นแสงสีนวลจากดวงจันทร์ที่สว่างสุกสกาวเข้ามาจากหน้าต่างทำบรรยากาศให้อบอุ่น

แต่แสงที่ดูจะอบอุ่นหัวใจมากที่สุดคงจะเป็นแสงจากเดือนที่อยู่ตรงหน้าผม เดือนที่แม้จะไม่ได้สวยงามเท่าดวงใหญ่ที่อยู่ข้างนอกนั้น แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดของกระต่ายน้อยอย่างผม