ดอกเสลาร่วงโรยลงมาเน่าที่พื้นดินหมดแล้ว คงเหลือแค่ลำต้นที่ไร้ซึ่งจุดแต้มสีชมพูของมัน
จากวันเปิดเทอมวันแรกที่แสนสดใสของผมแปรเปลี่ยนไปเป็นโลกสีเทาหมองหม่นไปในเวลาแค่สี่วัน
ผมโทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน เดินผ่านก็ก้มหน้าหลบผมตลอด ไนน์ไม่ได้ทำแบบนี้แค่กับผม ไนน์กำลังหนีหน้าทุกคนบนโลกใบนี้ หนีทุกคนรวมถึงผมด้วย
ไนน์ที่สดใสร่าเริงของผมกลายเป็นเด็กหน้านิ่งหน้าซึมคนเดิม หรือบางทีก็ดูแย่กว่าตอนนั้นด้วยซ้ำ
ผมสืบจากไอ้ศรมาก็พบว่าไนน์มันไม่คุยกับใครเลย แม้แต่รูมเมทมันก็คุยไม่กี่คำ กลับหอมาก็อาบน้ำนอนเลย ใครถามก็บอกว่าไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อย อยากพักผ่อนเงียบ ๆ คนเดียว
สามวันที่ผ่านมานี้ผมเข้าไปที่หอสมุดทุกวัน เผื่อโชคดีได้เจอไนน์ที่มุมอับมุมเดิมของเราสองคน แต่ไม่มีสักวันที่ไนน์มาเหยียบที่นี่ ผมมาอยู่ที่มุมอับนี้ แล้วนั่งรอ รอ รอจนกว่าไนน์จะโผล่มาแล้วเข้ามากอดผม ร้องไห้โฮให้ผมปลอบ แต่ไม่มีเลย
"ไอ้เบ็น มึงดูนี่ดิ" กุ้งสะกิดเรียกผมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มัน ตอนนี้เรากำลังทำโปรเจคงานกลุ่มกันอยู่ที่ลานใต้ตึกคณะในเวลาหลังเลิกเรียนช่วงเย็น แต่เพราะเหลืองานอีกไม่มากผมและกุ้งเลยอาสาจะทำต่อกันสองคนแล้วให้คนอื่นกลับไปก่อน
งานไม่ได้ยุ่งยากอะไรหรอก ผมมีหน้าที่แค่รับบทความที่กุ้งคิดมาแปลเป็นภาษาอังกฤษแค่นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหา คงจะเป็นเรื่องความรู้สึกและจิตใจของผมเองมากกว่า
"เบ็น ดูนี่ก่อน"
"อะไรวะ" ผมหันไปตอบอย่างรำคาญ ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะดูอะไรทั้งนั้นแหละ
"มีคนขุดรูปไนน์มาอีกแล้วว่ะ"
"ไหน!" ผมรีบแย่งโทรศัพท์ของกุ้งมาดูทันที
ภายในรูปมีท้องถนนเป็นฉากหลัง มีรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์มากมายจอดค้างรออยู่ที่หน้าป้ายสัญญาณจราจรที่เป็นสีแดง
ที่เกาะกลางถนนนั้นมีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งทำท่าเตรียมจะเดินออกไปกลางถนนที่แดดร้อนจัด ในมือถือพวงมาลัยดอกไม้อยู่ เนื้อตัวมอมแมมและใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ
...เด็กขายพวงมาลัยตามสี่แยก!
พอสังเกตที่ใบหน้าของเด็กชายคนนั้นก็รู้ได้ทันที แม้ภาพจะไม่ชัดมาก แต่โครงหน้าแบบนี้ แผลเป็นที่หางคิ้วข้างซ้ายนี้...
"นี่รูปไนน์จริงป๊ะน่ะ" กุ้งกระซิบถามผม แต่น้ำเสียงเหมือนตั้งใจจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า
มีแคปชั่นและคอมเม้นท์มากมายอยู่ใต้ภาพด้วย คนโพสเป็นบุคคลเดียวกับที่โพสรูปตอนนั้นไม่ผิดแน่ แต่เพราะมันใช้บัญชีรายชื่อปลอมจึงไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง
'ยังไม่หมดนะครับกับคุณไนน์ นายเอ๋อประจำคณะ ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา มีคนไปเจอไอ้เดือนเก๊อยู่ที่แยกไฟแดงที่นึงก็เลยแวะถ่ายรูปเก็บมา ใช่ไม่ใช่ก็ไปพิจารณากันเอาเองนะครับ โถ่เอ้ย เสียใจแทนคนสมัครว่ะ ที่อยู่ ๆ มีเด็กขายพวงมาลัยมาแย่งตำแหน่งไป #เดือนเก๊ #เด็กเส้น #ไนน์ชื่อไนน์ #ไนน์หน้าผุ #รับสักพวงไหมครับ'
'ตั้งสติกันหน่อยค่ะ เขาขายพวงมาลัยแล้วมันผิดเหรอคะ'
'เฮ้ย คนขายพวงมาลัยก็เป็นเดือนได้แล้วว่ะ งั้นต่อไปคงมีคนจับคนบ้ามาเป็นดาวเป็นเดือนบ้างแล้วมั้ง 555'
'ก็เหมาะสมอยู่ วันนั้นก็ดูไม่ต่างจากเด็กขายพวงมาลัยเท่าไหร่นะ แค่แต่งตัวดีขึ้นมาเฉย ๆ'
'ทุกคนใจเย็น ๆ นะครับ ขายพวงมาลัยตามถนนมันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ เห็นบางคนสนับสนุนว่าไนน์ช่วยเหลือพ่อแม่ ไนน์ยากจน อย่างงู้นอย่างงี้ เราอยู่ในยุคที่การทำผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติไปแล้วเหรอครับ คิดนะครับ'
'ไอ้พวกที่ด่าเขาเนี่ย วัน ๆ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่กินอยู่รึเปล่า น้องเขาช่วยเหลือครอบครัวแต่กลับถูกเหยียดขนาดนี้ แต่ละเม้นอ่านแล้วก็สะท้อนจิตใจคนโพสได้เลยนะ'
'ตลกไอ้พวกที่ออกมาปกป้องมันว่ะ มึงคิดว่ามันยุติธรรมกับคนอื่นแล้วเหรอ มีคนจะสมัครเป็นเดือนอีกเยอะ แต่คนเดินขายพวงมาลัยโสมมแบบนี้ดันถูกเลือกมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นสายก็ไม่ได้เกิดหรอก'
ผมอ่านต่อไปไม่ไหว ยื่นโทรศัพท์คืนกุ้งไปแล้วเอามือกุมขมับตัวเอง
'...พี่เบ็นก็ไม่รู้หรอกว่าไนน์ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง...'
นี่สินะสิ่งที่ไนน์เจอมา นี่คือทั้งหมดที่ไนน์เจอรึเปล่า หรือยังมีอีกเยอะที่ผมยังไม่รู้และไนน์ยังไม่เคยระบายให้ผมฟัง
จากที่กุมหัวที่มีเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ อยู่ข้างใน มือผมเลื่อนขึ้นไปเสยผมตัวเองแล้วเกามันอยู่อย่างนั้น
"ผมยุ่งหมดแล้วไอ้เบ็น" กุ้งหยุดมือผมไว้แล้วจัดผมเพ้าของผมให้กลับเข้าสภาพเดิม "ใจเย็นก่อนมึง ค่อย ๆ คิด"
"กู...กูไม่รู้เลยว่าไนน์มันต้องผ่านอะไรมาหนักขนาดนี้ แล้วถ้ายังมีเรื่องอื่นอีกล่ะ นี่กูเป็นพี่ชายมันจริงรึเปล่าวะ กูเป็นแฟนไนน์มันจริง ๆ รึเปล่าวะ เรื่องของมันกูยังไม่เคยรู้เลย นี่เหรอวะผลของการพยายาม ยุติธรรมฉิบหายเลยแม่งเอ้ย"
"กูเข้าใจความรู้สึกมึงนะ แต่ตอนนี้ประเด็นสำคัญมันแตกออกเป็นสองอย่าง คือเรื่องที่ไนน์ถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะเป็นเดือน กับอีกเรื่องที่มันเป็นเด็กเส้นเลยทำให้เข้าประกวดได้"
"..."
"คือ กูพยายามมองในแบบความเป็นกลางนะ ประเด็นแรกกูไม่เห็นด้วย ไนน์มันก็พยายามจริง ๆ แค่วันนั้นมันดูไม่พร้อมไปหน่อยแต่ที่ผ่านมาก็เห็น ๆ กันอยู่ว่ามันสู้อะไรมามาก แต่ประเด็นที่สองเนี่ย ถ้ามองแบบไม่เข้าข้างใครนะ กูว่ามันก็ถูกที่ว่าไนน์เข้ามาในฐานะเด็กเส้นจริง ๆ"
จากแค่การอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นแค่นั้นเองแท้ ๆ ทำไมมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้...ตอนนี้ไนน์ตกเป็นเป้าของการรวิจารณ์ของสังคมออนไลน์ไปแล้ว
ส่วนผม...ทำอะไรได้บ้าง ช่วยอะไรไนน์ได้บ้าง
ผมช่วยใครไว้ไม่ได้เลยสักคน
ใช่ เพราะผมมันอ่อนแอไง
แม่ครับ ผมขอโทษนะ ผมอ่อนแอเกินไป ผมทำตามที่สัญญากับแม่ไม่ได้
ผมหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่ามันน่ารำคาญที่จะร้องไห้ออกมาบ่อย ๆ แต่ผมอดทนอดกลั้นความอ่อนแอในใจไว้ไม่ได้จริง ๆ
กุ้งช้อนหัวผมเบา ๆ ให้ไปซบที่ไหล่ของมัน ตอนนี้ผมไม่อายที่จะรดน้ำตาใส่เสื้อของกุ้งแม้จะมีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอื่นบ้างก็ตาม
"กูจะทำยังไงดี"
"กูก็ไม่รู้ว่ะ บอกไม่ได้เลยจริง ๆ ถึงไนน์จะถอนตัวไม่ไปแข่งในวันจริง แต่กูก็ไม่รู้ว่าไนน์มันจะถูกมองอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่เหมือนกัน"
"ดีกุ้ง ดีเบ็น" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังเราสองคน ผมเลยต้องผละตัวออกจากไหล่กุ้งไป
ไอ้สนนั่นเอง
"ว่าไงสน มึงมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า กูขอคุยกับเบ็นมันก่อนแป๊ปนึงนะ"
"ไม่มีอะไรมากหรอก กูแค่จะชวนเบ็นไปข้างนอก" ชวนไปไหนวะ? "เดี๋ยวกูไปนั่งรอตรงนู้น" พูดจบสนก็เดินไปนั่งไถโทรศัพท์เล่นที่โต๊ะอีกฟากหนึ่งทันที
"กูทำผิดใช่ไหมกุ้ง..."
"ไม่หรอก ไม่ได้ผิดแล้วก็ไม่ได้ถูก แค่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนี้เอง จำที่กูบอกได้ไหมทุก ๆ เรื่องไม่มีอะไรถูกผิดหรอกอยู่ที่คนจะมองหรือตัดสินมันยังไง"
"...แล้วถ้ามึงเป็นกู มึงจะทำยังไงกับไนน์ดีวะ มึงจะช่วยไนน์ยังไง"
"อืม..." กุ้งถอนหายใจลึกและยาวมาก สักพักหนึ่งถึงจะตอบผมได้ "เอาเป็นว่า ถ้ากูเป็นไนน์ กูก็คงอยากให้มึงที่เป็นแฟนไล่ตามไปคุยให้ได้แม้ว่ากูจะเดินหนีมึงแค่ไหนก็ตาม"
"แต่การเดินหนีใครมันก็แสดงว่าไม่อยากยุ่งกับคนคนนั้นไม่ใช่เหรอวะ"
"มันไม่ได้หมายความแบบนั้นได้อย่างเดียวหรอก ถ้ากูเดินหนีคนทั้งหมดรวมถึงแฟนกูด้วย สำหรับกูนะ กูแค่ไม่อยากให้ใครเห็นตอนตัวเองอ่อนแอแล้วทำให้คนที่กูรักรู้สึกแย่ โดยเฉพาะเรื่องที่แก้ปัญหาไม่ได้ง่าย ๆ อย่างเรื่องนี้"
"..."
"แต่มึงจะทำยังไงก็เป็นเรื่องของมึง ทำในสิ่งที่มึงคิดว่าควรทำ แล้วอย่าลืมความรู้สึกล่ะ อย่าใช้แต่เหตุผล ความรู้สึกเองก็สำคัญ"
"...ขอบใจมากนะ"
"ได้เสมอ ถ้ามึงคิดมากอีกก็โทรมาหากูได้นะ ยี่สิบสี่ชั่วโมง"
"ครับพี่กุ้ง"
ผมยิ้มตอบกุ้งไป ผมหยุดน้ำตาได้สักพักแล้ว เหลือเพียงรอยคล้ำรอบดวงตาเท่านั้น
"ไอ้สน! เสร็จแล้ว! มาเลย!" กุ้งตะโกนไปหาสนแล้วหันมาพูดกับผมพร้อมยื่นช็อกโกแลตยี่ห้อโปรดให้ "เอ้า เอาไปแดก เห็นมึงพักผ่อนน้อย ไม่ยอมกินข้าวเที่ยงอีก เดี๋ยวน้ำตาลก็ต่ำแล้วเป็นลมตายไปอีกรอบ"
ไอ้สนร้องเพลงขึ้นมาเป็นทำนองของเพลงปั้นมนุษย์หิมะด้วยกันไหม "เราไปกินหมูกะทะกันไหม"
ไอ้สน ไอ้สัตว์ ก็นึกว่ามีอะไรจะคุยกับกูนักหนา แค่อยากมาเยาะเย้ยกูสินะ
กุ้งที่รู้เรื่องการพนันระหว่างผมและสนก็ขมวดคิ้วมองดุสนทันที
"...เอ่อ โทษที มุกไม่ฮาเนอะ"
"เล่นมุกเหี้ยอะไรของมึงไอ้ห่าสน" กุ้งด่ามันไปแทนผมแล้ว "แค่นี้เบ็นมันก็เศร้าจะตายอยู่แล้ว ถ้ามึงมาเพื่อถากถางละก็ มึงกลับไปเลยนะ"
"เฮ้ย ใจเย็น กู...กูไม่ได้ตั้งใจ กูแค่อยากให้เบ็นมันผ่อนคลาย" ไอ้สนทำหน้าจริงจังจนดูไม่เหมือนเสแสร้งเท่าไหร่ "โทษที"
"แล้วมึงจะพาเบ็นไปไหน"
"ไปกินหมูกระทะ"
"ไอ้เหี้ยสน!" ผมทนเงียบต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ผมลุกขึ้นมาจนระดับสายตาเราเท่ากัน
"กูไม่รู้นะว่าในสายตามึงกูจะเลวจะเหี้ยแค่ไหน แต่วันนี้และตอนนี้กูชวนมึงไปร้านหมูกระทะจริง ๆ กูมีเรื่องอยากคุยกับมึงด้วย"
"กับกู?"
"ไปเถอะ ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้ว กูเลี้ยงเอง" ฝันไปเถอะ
ผมกระแทกก้นลงเก้าอี้จนเสียงดังลั่น เจ็บนิดหน่อยแต่ก็ยังปั้นหน้าขรึมได้อยู่
กุ้งเห็นผมไม่ตอบมันเลยพูดขึ้น "ไอ้สน มึงไม่ได้ตั้งใจจะถากถางเบ็นมันจริง ๆ ใช่ไหม"
"เออ กูพูดจริง"
"ถ้ากูรู้ว่ามึงแกล้งเบ็นนะ กูต่อยมึงแน่"
"เออ! กูพูดจริง ๆ"
"...งั้นแงะ" ผมไม่รู้ว่าทั้งคู่มีสีหน้ายังไงบ้างเพราะผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่สักพักกุ้งก็สะกิดแขนผม "เบ็น มึงว่าไง"
ผมหันควับไปหากุ้งทันที "นี่มึงเข้าข้างไอ้สนเหรอ"
กุ้งถอนหายใจยาวอีกครั้งแล้วพูดขึ้น "เปล่า กูก็รู้จักมันดี มันไม่ใช่คนที่ชอบเหยียบย่ำคนอื่นเล่นหรอก"
บอกตามตรง ผมไม่เชื่อสนเท่าไหร่หรอก แต่ผมยังคงเชื่อใจกุ้งอยู่ มันจะไม่ทำร้ายผมแน่เหมือนกับที่ไนน์เชื่อในตัวผม
"อื้ม...ก็ได้"
"โอเค หนึ่งทุ่มตรง เจอกันร้านเดิม"
"แล้วกู..."
"ส่วนมึงนะไอ้กุ้ง ไว้เลิกกับเนตรก่อนนะกูค่อยพาไปเลี้ยง"
"เออ จำไว้"
ทั้งสองคนหัวเราะแซวกันไปมา แต่ผมไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยเลย