webnovel

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา... แม้โชคชะตาจะกำหนดให้ชีวิตเขามิอาจยืนยาว แต่เขาก็อยากจะพลิกชะตาฟ้า ท้าลิขิตสวรรค์! ระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรแบ่งออกเป็น 9 ขั้น 1.ขั้นรวบรวมพลังจิต 2.ขั้นกำหนดดวงดาว 3.ขั้นชำระกระดูก 4.ขั้นถอดจิต 5.ขั้นทะลวงอเวจี 6.ขั้นรวบรวมดวงดาว 7.ขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ / ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ 8.ขั้นอำพรางเทพ 9.ขั้นมหาอิสระ

มาวนี่ · 玄幻
分數不夠
1076 Chs

ส่วนที่ 1 ตอนที่ 012

ตอนที่ 12 สหายที่ทำให้กล่าวสิ่งใดไม่ออก (ตอนต้น)

เฉินฉางเซิงกล่าวว่าเชิญตามสบาย ถังซานสือลิ่วมองว่า คำว่า ‘เชิญตามสบาย’ สามคำนี้ ไม่ว่าจะเป็นให้สั่งอาหารตามสบาย หรือว่าให้ปฏิบัติต่อกันตามสบาย ความหมายก็ไม่ต่างกัน แม้จะเห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้ามเหลือเกิน แต่ยามสั่งอาหารกลับไม่ได้สนใจเรื่องราคา หยิบรายการอาหาร สั่งอาหารที่เป็นเมนูแนะนำของทางโรงเตี๊ยมมาสามสี่อย่าง เริ่มที่อาหารสองอย่างคือซุปนกกระจอกเหินเวหา แกงมัจฉาสองเศียรนึ่งน้ำใส...ขณะสั่งอาหาร เขาชำเลืองมองคิ้วของเฉินฉางเซิงที่ขมวดเข้าหากัน คาดว่าฝ่ายตรงข้ามคงมีเงินไม่พอ รู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย พลางพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “มัจฉาสองเศียรไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเป็นปลากะพง และอีกอย่างคือ...ซุปนกกระจอกเหินเวหาเปลี่ยนเป็นซุปยอดอ่อนใบบัว”

เป็นเช่นนั้นจริงๆ หัวคิ้วของเฉินฉางเซิงผ่อนคลายลงแล้ว

ถังซานสือลิ่วยิ้มออกมา ในใจคิดว่าแท้จริงเป็นไปดั่งที่ตนสังเกตอย่างละเอียด ช่างเข้าเข้าอกใจผู้อื่นอย่างยิ่ง พลันกล่าวออกมาโดยไม่ได้คิด “เอาเนื้อกวางอบแห้งโรยดอกเหมยมาอีกหนึ่งจาน”

เฉินฉางเซิงขมวดคิ้ว

ถังซานสือลิ่วมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เปลี่ยนเป็น...หมูสามชั้นผัดผักกาดดอง”

เฉินฉางเซิงยังคงขมวดคิ้ว

ถังซานสือลิ่วรู้สึกไม่ยินดีเล็กน้อย ในใจคิดว่าเนื้อหมูติดมันหนึ่งจาน ปกติแม้จะอยู่ที่บ้านตนก็ยังขี้เกียจจะไปกิน คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังตัดใจจ่ายเงินไม่ลงที่อีกหรือ

เขาเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ “เอายำถั่วพลูแช่เย็น! และเพิ่มยำหูหมูน้ำมันแดงอีกจานหนึ่ง!”

เฉินฉางเซิงยังคงมีกิริยาเช่นเดิม ใบหน้าไม่ได้เห็นด้วย

ถังซานสือลิ่วรู้สึกรำคาญ เอ่ยว่า “เห็นว่าเจ้าเลี้ยงอาหารเป็นครั้งแรก คงยังไม่เข้าใจเรื่องการแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์มากนัก ข้าก็จะไม่พูดสิ่งใดกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงตะลึงงันเล็กน้อย เอ่ยถาม “มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้องหรือไม่”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ถึงแม้ว่าเจ้าทั้งตัวเงินจะไม่พอ ก็ไม่ควรเผยลักษณะท่าทางเช่นนี้ให้แขกได้เห็นซึ่งหน้า ช่างทำให้เบื่อหน่ายจริงๆ ในเมื่อเป็นผู้ชาย ศีรษะอาจจะขาด โลหิตอาจจะไหล แต่ไม่อาจขายหน้า! แม้อีกสักครู่จะไปเอาเสื้อหนังสัตว์ตัวใหญ่มาแลกเงิน แล้วจะนับเป็นอะไรได้อีกหรือ”

เขาเองก็คิดว่าเหตุผลนี้สมเหตุสมผล รู้สึกว่าการศึกษาของสหายดีเลิศ เฉินฉางเซิงกลับฟังแล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาด เอ่ยถาม “นี่ก็คือการตบหน้าจนบวมเพื่อให้ดูอ้วนสินะ”

ถังซานสือลิ่วขุ่นเคือง กล่าวว่า “นี่คือคำพูดจากที่ไหนกัน”

“นี่เป็นคำพังเพยของซีหนิง” เฉินฉางเซิงอธิบายออกมาอย่างจริงจัง

ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน ในใจคิดว่านี่คือสิ่งที่ตนถามหรือไม่ เตรียมที่จะโมโห พลันได้ยินประโยคถัดมาของเฉินฉางเซิง

“...และข้าก็ยังไม่มีเสื้อหนังสัตว์ตัวใหญ่อีกด้วย”

ภายในห้องเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด

ถังซานสือลิ่วลืมคำที่ตนจะพูดออกมา คิดว่าเรื่องนี้ที่จริงแล้วน่ารำคาญใจยิ่งนัก เจ้าเด็กคนนี้น่าสงสารอย่างยิ่ง

เขาเพียงเคยเห็นคนในตระกูลไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือศิษย์พี่เหล่านั้นถ้าหากไม่สมปรารถนาประสบเคราะห์ก็จะถือเสื้อหนังสัตว์เอามา นำไปแลกเปลี่ยนสุรา แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดบอกเขา ถ้าหากมีคนยากจนถึงขนาดไม่มีเสื้อหนังสัตว์ แล้วจะทำเช่นไรให้ไม่เสียหน้าเพื่อเลี้ยงอาหาร สำหรับเขา...แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดเงิน รองลงมา เขาก็ยังไม่เคยเลี้ยงอาหารผู้ใด

เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “มื้อนี้ข้าเลี้ยงเจ้า”

เฉินฉางเซิงแปลกใจ กล่าวถาม “เพราะอะไรหรือ”

ถังซานสือลิ่วมองเขาด้วยท่าทางที่อ่อนโยนพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่มีเสื้อหนังสัตว์ ข้างกายเจ้าคงไม่มีสิ่งของที่มีค่าเป็นแน่ เหตุใดถึงต้องให้เจ้าเลี้ยงข้า”

เฉินฉางเซิงกล่าวโดยไม่รู้สึกผิด “แต่ว่า...ข้ามีเงิน”

บรรยากาศเงียบสงัดเกิดขึ้นอีกครั้ง

สีหน้าของถังซานสือลิ่วไม่น่าดูนัก กล่าวถาม “แล้วก่อนหน้านี้ตอนข้ากำลังสั่งอาหาร เพราะเหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงไม่น่าดูเช่นนั้น”

เฉินฉางเซิงคิดทบทวนภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เข้าใจอะไรบางอย่าง รู้สึกอับอายเล็กน้อย กล่าวอธิบายว่า “เพราะ...เจ้าสั่งซุปนกกระจอกเหินเวหา ถึงแม้ช่วยให้ความอบอุ่น แต่ที่จริงแล้วเนื้อมีความแห้งยิ่งนัก ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวกินเป็นยาดีอย่างยิ่ง ตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิ หากดื่มน้ำซุปแล้วจะทำให้เป็นร้อนในง่าย ไม่ค่อยดีต่อร่างกาย”

ถังซานสือลิ่วคิดไม่ถึง เจ้าเด็กคนนี้กำลังคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับปัญหานี้ กล่าวถาม “หรือว่าอาหารที่เหลือก็ไม่ดีหรือ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเมนูแนะนำ”

“มัจฉาสองเศียรเป็นปลาทะเลน้ำลึก กินปลา กุ้งทะเล งูเป็นอาหาร ในร่างกายมีสารพิษตกตะกอน ถ้าหากใช้น้ำเปล่าต้มก็เสียเปล่า แต่ใช้น้ำซุปต้มก็สามารถรับประทานได้ ทว่าการแบบนึ่งน้ำใสไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเรามีเพียงแค่สองคน อาหารที่เป็นเนื้อไม่ค่อยดีต่อร่างกาย ยิ่งหมูสามชั้นผักกาดดองใช้เนื้อหมูสามชั้น น้ำมันและไขมันมีมาก ดีที่สุดอย่ากิน”

เฉินฉางเซิงสุดท้ายกล่าวเพิ่มเติม “หูหมูที่อยู่ในยำหูหมูน้ำมันแดงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าน้ำมันแดงไม่ดีอย่างยิ่ง และยำถั่วพลูจานนั้น ถ้ากินเยอะแล้วจะทำให้ลำไส้ทำงานลำบาก จิตใจว้าวุ่น ไม่ค่อยดีต่อ...”

“หยุด!”

ถังซานสือลิ่วฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว

คำพูดของเฉินฉางเซิงเหมือนกับแมลงวัน

บินวนไปวนมาข้างหูของเขา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใคร หลังจากสั่งอาหารอย่างเบิกบานใจเสร็จแล้วได้ยินคำว่า ‘ไม่ดีต่อร่างกาย’ หลายต่อหลายคราเช่นนี้ ต่างล้วนไม่ยินดี

อาหารทุกชนิดไม่ได้ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

แต่มีใครที่รับประทานอาหารแล้วจะใส่ใจกับรายละเอียดพวกนี้กันเล่า และยังใส่ใจในรายละเอียดยิบย่อยปานนี้ ถ้าหากเฉินฉางเซิงเป็นคนแก่ที่ใส่ใจในการบำรุงร่างกายก็คงแล้วไป แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาคือเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี...

“ไม่ดีต่อร่างกายแล้วเป็นอย่างไร กินแล้วจะตายเชียวรึ”

เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงจัง “ยังไม่ตายตอนนี้ แต่รับรองว่าตายเร็วอย่างแน่นอน”

ถังซานสือลิ่วไม่รู้จะพูดอะไร ถามอย่างแปลกใจ “อย่างนั้นปกติเจ้ากินอะไร”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “เนื้อสองอย่าง เนื้อวัวเนื้อแพะดีที่สุด ผักสองจิน ผักป่าดีที่สุด มันเทศและธัญพืชแล้วแต่อยากจะกิน สองวันกินปลาแม่น้ำหนึ่งตัว เป็นปลามีเกล็ดดีที่สุด ไม่ทานน้ำซุป”

ถังซานสือลิ่วกล่าวถาม “กินเช่นนี้นานเท่าไหร่แล้ว”

เฉินฉางเซิงกล่าว “เริ่มจำความได้ก็กินเช่นนี้แล้ว”

ครั้งนี้กลับเป็นถังซานสือลิ่วที่ขมวดคิ้ว

เขาคิดว่าอาหารพวกนี้แค่ฟังก็ไม่อร่อยแล้ว ถ้าต้องกินเช่นนี้มาเป็นสิบสี่ปีจริงๆ อย่างนั้นช่างเป็นมนุษย์ที่น่าเศร้าใจเสียนี่กระไร

เขาพบว่าตนเองยิ่งมายิ่งเห็นใจเจ้าเด็กคนนี้

เมื่อรับประทานอาหาร ทั้งสองล้วนเงียบ ถังซานสือลิ่วคิดว่าอาหารช่างธรรมดา เฉินฉางเซิงคิดว่าอาหารช่างไม่มีประโยชน์ โดยรวมแล้วต่างคนต่างมีที่ไม่พอใจ แน่นอน เรื่องนี้เดิมที่ไม่มีวิธีที่จะจัดการให้เหมาะสม เหมือนกับเต้าฮวยและบ๊ะจ่าง เสาะแสวงหารสชาติอาหารกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นสามมุมมองที่ปะทะกันอย่างดุเดือด

การรับรองผู้อื่นครั้งแรกในชีวิตของเฉินฉางเซิงก็จบลงเช่นนี้ เมื่อชาหอมทั้งสองถ้วยรินมาถึง ทั้งสองคนสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์การทดสอบของสำนักเทียนเต้า ถังซานสือลิ่วไต่ถามรายละเอียดที่เขาประสบเมื่ออยู่ที่สำนักเด็ดดาราและอีกสองแห่งที่เหลือ คาดไม่ถึงว่ากองทัพต้าโจวจะถูกจวนขุนพลเทพส่งผลกระทบทำให้ตนเองไม่เข้าใจและงุนงง หลังจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้คุยแล้ว

ในการเริ่มต้นบทสนทนาสำหรับเพื่อนใหม่ปกติแล้วมักจะพูดถึงเรื่องราวตอนเป็นเด็กและเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ค้นหาสิ่งที่ชื่นชอบเหมือนกัน แต่ชีวิตวัยเยาว์ของพวกเขาทั้งสองที่จริงแล้วจืดชืดซ้ำซากจนถึงขนาดทำให้คนรู้สึกเดือดดาล จึงไม่ได้หยิบยกเรื่องราวทางด้านนี้ขึ้นมาสนทนา เพื่อหลบหลีกความเก้อเขินที่ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกัน ถังซานสือลิ่วยืดตัวลุกขึ้น ถือถ้วยน้ำชาเดินเข้าไปในห้องตามสบาย เดินจากห้องรับแขกไปถึงระเบียงแล้วเดินกลับมา คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้สามารถเช่าห้องที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่ด้านนอกของสุสานเทียนซู ชัดเจนว่าคงไม่ขาดเงิน ความผิดพลาดก่อนหน้านี้ของตนช่างน่าหัวเราะจริงเชียว

เดินไปยังห้องรับแขกเมื่อผ่านชั้นวางของสะสม สายตาถังซานสือลิ่วก็ไปสะดุดกับของที่อยู่บนชั้นวาง ทำให้ไม่อาจจะถอยออกมาได้

เพราะตรงนั้นมีกระบี่หนึ่งเล่ม

กระบี่เล่มนั้นเล็กกะทัดรัด มองดูแล้วคงยาวกว่ากริชไม่มากเท่าไหร่ และยังเรียวเล็ก มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก ปลอกกระบี่ก็เป็นปลอกธรรมดา ด้ามกระบี่ก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง จากภายในถึงภายนอกพลังลมปราณที่กำจายออกมาก็เป็นปกติ ไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจเป็นพิเศษ และก็ไม่มีฝุ่นผงและคราบโลหิต โดยรวมแล้วด้ามกระบี่นี้ธรรมดาเป็นที่สุด แต่กลับทำให้เขาอยากเข้าใกล้

ถังซานสือลิ่วยื่นมือเข้าไปจับด้ามของกระบี่

มือของเฉินฉางเซิงกลับมาขวางไว้ด้านหน้า แย่งด้ามกระบี่มาถือไว้ในมือก่อน

ถังซานสือลิ่วมองเขาแวบหนึ่ง

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขา เอ่ยว่า “นี่เป็นของข้า”

ถังซานสือลิ่วกำลังถือถ้วยน้ำชา ถ้วยน้ำชาเต็มไปด้วยไอหมอก รูปหน้างดงามท่ามกลางไอหมอกราวกับว่าจะเพิ่มความเย็นยะเยือก “ดังนั้นข้าไม่สามารถแตะต้องใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่าเขาไม่ยินดีและไม่สงบอยู่บ้าง แต่ว่ายังคงเอ่ยต่อ “เจ้าควรที่จะถามข้าก่อน หากข้าเห็นด้วยแล้ว ถึงจะไปหยิบมาได้”

ถังซานสือลิ่วชักมือข้างขวากลับ สะบัดแขนเสื้อแล้วกลับมานั่ง นำถ้วยน้ำชาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้าของตน

เฉินฉางเซิงอึดอัดเล็กน้อย รู้สึกว่าตนราวกับจะทำอะไรผิดพลาดไป

เอาเถอะ เขาไม่คิดว่าตนเองทำอะไรผิดพลาดไป

เพียงแต่นี่เป็นสหายคนแรกที่เขารู้จักเท่านั้นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยินดีจึงรู้สึกลนลาน เดินไปยังด้านหน้าของโต๊ะ มือที่ถือกระบี่สั้นยื่นออกไป

ถังซานสือลิ่วแหงนหน้ามองเขาแวบหนึ่ง มิได้สนใจเขา

เฉินฉางเซิงนำกระบี่ยื่นเข้าไปใกล้อีก

ถังซานสือลิ่วไม่ยินยอมรับกระบี่ กล่าวว่า “ทำสิ่งใดใจไม่กว้างเลยสักนิด”

เฉินฉางเซิงจนปัญญา ในใจคิดว่าในที่สุดแล้วใครกันแน่ที่ไม่ใจกว้าง ใครกันที่โกรธกระฟัดกระเฟียดราวกับเด็กน้อย เขาจนหนทาง เดินไปยังชั้นวางของสะสมแล้วนำกระบี่วางไว้ หันหลังกลับเอ่ยถาม “เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใด”

“อยู่ที่จิงตูข้าก็มีเพียงแต่เจ้าที่เป็นสหาย ได้ฟังเรื่องราวของเจ้า เป็นธรรมดาที่อยากมาถามไถ่ ไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็เป็นคนที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีเช่นนี้” ถังซานสือลิ่วลักษณะท่าทางเฉยเมย เอ่ยต่อ “แน่นอน โดยพื้นฐานแล้วข้าค่อนข้างชื่นชมเจ้า เจ้าควรจะรู้ ข้าชื่นชมคนที่รุ่นเดียวกันน้อยมาก เจ้าควรรู้สึกเป็นเกียรติ”

เฉินฉางเซิงงงงวย กล่าวว่า “อย่างนั้น...ขอบคุณ”

“แค่คำขอบคุณก็พอแล้วหรือ”

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งเลี้ยงอาหารเจ้าไปมื้อหนึ่งมิใช่หรือ”

ถังซานสือลิ่วยืดตัวขึ้นยืน มองไปที่เขาพลางกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจรับเจ้าเป็นน้องเล็ก”

เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “เป็นน้องเล็กหมายถึงสิ่งใด”

ถังซานสือลิ่วอธิบายอย่างจริงจัง “ก็ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปก็มาอยู่กับข้า”

เฉินฉางเซิงอธิบายอย่างจริงจัง “ไม่ได้ ข้ายังมีธุระให้ต้องทำอีกมากมาย ไม่สามารถเอาเวลาให้เจ้าได้”

ถังซานสือลิ่วเป็นเด็กหนุ่มที่ถือตัวคนหนึ่ง เขาเวทนาสงสารเฉินฉางเซิงที่มีความรู้ความสามารถแต่ขาดโอกาส ถึงได้มาเยี่ยมเยือนที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ ปกติก็ไม่ควรจะกล่าวสิ่งใดอีก เพียงแค่มีบางอย่างที่ไม่กระจ่างเท่านั้น “ธุระอะไร สมัครสอบเข้าศึกษาต่อหรือ เพราะเหตุใดเจ้าจะต้องเข้าสำนักสักแห่งด้วยเล่า สาเหตุที่เจ้ายืนหยัดเช่นนี้คืออะไร”

เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “เจ้าล่ะ เจ้ามาจิงตูเพราะจุดมุ่งหมายอะไร”

“ข้าต้องการเข้าร่วมการสอบใหญ่ ข้าต้องการเอาที่หนึ่ง” ถังซานสือลิ่วกล่าวด้วยท่าทางทะนงตน

ทันใดนั้น เขานึกถึงลูกหงส์ที่ตอนนี้อยู่ที่เทือกเขาเทพธิดาทางทิศใต้ผู้นั้น ถ้าหากว่านางกลับมาก่อนเวลา...

“ข้าต้องการลำดับที่สองของการสอบใหญ่”

เขาเอ่ยแก้ไขออกไป พลันคิดไปถึงชิวซานจวิน ถ้าหากคนผู้นั้นเข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้...

“เอาเถอะ จุดมุ่งหมายของข้าก็คือสอบได้ลำดับที่สามของการสอบใหญ่”

ถังซานสือลิ่วกล่าวยืนเป็นครั้งสุดท้ายว่า “แต่โดยสรุป ข้าต้องการที่จะไปสลักชื่อของตนเองบนป้ายหินด้านหน้าของสุสานเทียนซู...”

“แท้จริงแล้วมีปณิธานที่ยาวไกล น่าเลื่อมใส น่าเลื่อมใส”

เฉินฉางเซิงจ้องมองที่เขากล่าวชมเชยออกมา พลันคิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวถาม “ถ้าถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นถังซานหรือ”

ถังซานสือลิ่วไม่กล่าวสิ่งใด แต่ถามกลับว่า “เจ้าล่ะ เป้าหมายที่เจ้ามาจิงตูที่จริงเพื่ออะไร”

เฉินฉางเซิงตอบตามสัตย์จริง “ข้าก็อยากเข้าร่วมการสอบใหญ่”

ถังซานสือลิ่วคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้ตกใจอย่างไร

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ข้าไม่เคยคิดที่จะเอาที่สองหรือที่สาม”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยให้กำลังใจ “แท้จริงมนุษย์จะต้องตระหนักรู้ตนเอง แต่ไม่ควรสูญเสียความเชื่อมั่น อย่าลืมว่าเพียงแค่สามารถเข้าร่วมด่านที่สามของการสอบใหญ่ได้ก็สามารถเข้าสุสานเทียนซู...”

กล่าวถึงตรงนี้ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเขาก็หยุดลง เพราะว่าเฉินฉางเซิงได้พูดขึ้นมา

“ข้าต้องการลำดับที่หนึ่ง”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขากล่าวว่า “ข้าไม่สามารถเอาลำดับที่สองหรือลำดับที่สาม ข้าจำเป็นต้องเอาลำดับที่หนึ่งเท่านั้น”

ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด

ถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็อยากจะหมุนกายจากไปชั่ววูบหนึ่ง

เขาพบว่าวันนี้ตนเองมักจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้คำเอื้อนเอ่ย

เหตุเพราะเจ้าเด็กคนนี้ทำเรื่องใด กล่าวสิ่งใด ก็มักจะทำให้ผู้คนกล่าวสิ่งใดไม่ออก อยากจะทำก็แต่อาเจียนเป็นโลหิต