ตอนที่ 9 ข้าทำอะไรผิดหรือไม่
เฉินฉางเซิงประสบความสำเร็จในการทดสอบรับสมัครนักเรียนเข้ามาในสำนักเด็ดดารา นี่เป็นครั้งแรก ไม่เหมือนกับสำนักเทียนเต้าที่ต้อนรับเขาด้วยการเยาะเย้ยและความเย็นชา สิ่งที่รอเขาอยู่ที่นี่คือสายตาให้กำลังใจอันอบอุ่นและการเฝ้าคอยอย่างแรงกล้า เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก มีความตั้งใจอย่างยิ่ง สามารถพูดได้ว่าอารมณ์ดีมาก
บรรดาสำนักในเมืองจิงตูแต่ละแห่งจะเน้นจุดในการรับสมัครนักเรียนไม่เหมือนกัน สำนักเทียนเต้าเน้นไปทางด้านคำสอนและการปฏิบัติทางศาสนากับพรสวรรค์ทางด้านการบำเพ็ญเพียร สำนักเด็ดดารากลับไม่ใส่ใจต่อการบำเพ็ญเพียรสักเท่าไหร่ กองกำลังทหารต้าโจวคิดว่าการบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสนใจหลังจากเข้ามาสำนักแล้ว พวกเขาให้ความสนใจทางความสามารถทางด้านทหารและระเบียบวินัยของนักเรียนที่เข้าสอบเสียมากกว่า ดังนั้นจำนวนข้อสอบของสำนักเด็ดดาราจึงมีไม่เยอะเช่นสำนักเทียนเต้า แต่จะเข้มงวดกับวิธีการเขียนชื่อของรูปแบบการโต้ตอบ ทั้งยังเนื้อหาพื้นฐานของข้อสอบจะเน้นเกี่ยวกับการจำลองการสู้รบและการวิเคราะห์ตัวอย่างการรบ
ถ้าหากพูดว่าเฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์อย่างไร เมื่อเยาว์วัยการที่เขาสามารถท่องคัมภีร์สามพันมหามรรคได้อย่างชำนาญและคล่องแคล่วนั่นคงจะเป็นพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ดังเช่นการทดสอบของสำนักเทียนเต้า เมื่อพลิกข้อสอบ มองเห็นข้อแรกก็รู้สึกคุ้นตา คัมภีร์เต๋าสามพันมหามรรคครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ประโยคนี้สักครึ่งหนึ่งก็ไม่ได้เท็จแน่นอน มีเนื้อหาของวิชาการเรียนนับไม่ถ้วนในโลกนี้ที่อยู่ในนั้นดุจดวงดาวและพื้นทะเลทรายก็มิปาน เป็นธรรมดาที่จะประกอบไปด้วยการบันทึกข้อสำคัญของยุทธวิธีการรบที่ขึ้นชื่อรวมทั้งประวัติศาสตร์การรบที่มีชื่อเสียง เกี่ยวกับการสู้รบระหว่างมนุษย์และเผ่ามาร ยิ่งกว่านั้นคือบรรยายอย่างละเอียดและครบถ้วน เขาจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ เป็นธรรมดาที่จะตอบไม่ผิดพลาด
เป็นไปอย่างราบรื่น เฉินฉางเซิงสิ้นสุดการสอบแล้ว เดินมาถึงด้านหน้าของหอวินัยทหารกับบรรดาสหายที่เหลือ รอคอยการประกาศรายชื่อเป็นลำดับสุดท้าย ยืนอยู่ด้านหน้าของสัตว์เทพที่เป็นตัวแทนวินัยอันเข้มงวดของกองทัพต้าโจว เขากลับไปคิดถึงเนื้อหาของข้อสอบ มั่นใจว่าตนสามารถสอบเข้าสำนักเด็ดดาราได้อย่างแน่นอนคงจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวของเด็กหนุ่มเผ่าปีศาจคนนั้น เขย่งเท้าด้วยเจตนาดีตบบ่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อแสดงความปลอบใจ เห็นอย่างชัดเจนว่าหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้มีพรสวรรค์ทางด้านพละกำลังคนนี้คงไม่เข้าใจเกี่ยวกับยุทธวิธีการรบของมนุษย์สักเท่าไหร่ จึงทำข้อสอบได้แย่ไปบ้าง
ดวงอาทิตย์อัสดงใกล้จะลับเทือกเขา แสงสีแดงอ่อนๆ ส่องสว่างกระทบกับสัตว์เทพและเหนือรั้วเหล็กของหอวินัยทหารที่เย็นยะเยือก ทำให้สภาพแวดล้อมเกิดเป็นความรู้สึกที่ลึกลับแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เฉินฉางเซิงยืนในเงากระทบของแสง มองดูก็ยังคงเป็นแผ่นหินที่ว่างเปล่าราวกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่จืดชืดเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดีใจและรอคอยกับอนาคต
อย่างไรก็ตามเขาคงไม่รู้ว่า อีกสักครู่ตนเองยังคงจะได้ต้อนรับความผิดหวังอันปวดร้าวขมขื่น
“เพราะเหตุใด”
นายทหารต้าโจวคนก่อนหน้านี้ที่เป็นคนดูแลตรวจสอบการยกจานโม่หินรวมทั้งอาจารย์ฝึกที่มีลักษณะท่าทางน่าเคารพท่านนั้น ยื่นอยู่ด้านหน้าโต๊ะหนังสือ มองไปยังขุนพลวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือพลางกล่าวถาม ใบหน้าของเขามีสีเขียวอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าใกล้ที่จะไม่สามารถสะกดอารมณ์โกรธในใจได้
ขุนพลวัยกลางคนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ คิ้วประหนึ่งไหมสีดำ ไม่ได้โมโหแต่น่าเกรงขาม กำลังฟังผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาซักถาม ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ลักษณะการไต่ถามของเจ้าคือการถามเพื่อเลื่อนขั้นใช่หรือไม่”
อาจารย์ฝึกสองท่านได้ยินคำพูดที่ทำให้รู้สึกอึดอัด หนึ่งในนั้นได้ชี้ไปยังพระอาทิตย์ยามอัสดงที่อยู่ด้านนอกหอ เอ่ยว่า “ถึงแม้จะมีเพียงพวกเราสองคนที่เห็นข้อสอบฉบับนั้น แต่เพื่อนร่วมสอบที่ใส่ใจเด็กหนุ่มนามว่าเฉินฉางเซิงยังมีอีกมาก หรือทัศนคติของข้าอาจจะไม่ดี แต่ถ้าหากเพื่อนร่วมสอบรู้ผลสุดท้ายแล้ว ก็คงจะมีข้อสงสัยเช่นเดียวกัน”
ขุนพลวัยกลางคนกล่าว “สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่สามารถชำระล้างกระดูกสำเร็จ พวกเจ้าเหตุใดถึงให้ความสำคัญเช่นนี้”
อาจารย์ฝึกท่านนั้นโมโหพลางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ชี้ไปยังข้อสอบแผ่นนั้นที่ถูกขยี้จนกลายเป็นกระดาษขยะอยู่ด้านหลังโต๊ะ กล่าวว่า “ท่านก็ได้ดูข้อสอบแผ่นนั้นแล้ว ท่านก็คงจะเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง สิบปีผ่านมานี้ การทดสอบรับนักเรียนเข้าสำนัก แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยปรากฏผลสอบที่สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามหรือว่าจะเป็นการวิเคราะห์ตัวอย่างการรบ ไม่มีรูรั่วแต่อย่างใด ไม่มีตัวอักษรเขียนผิดสักตัว เส้นขีดของตัวอักษรขรุขระแม้แต่นิดก็ยังไม่มี! ใช่ เด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่มีทางที่จะเป็นขุนพลที่กล้าหาญยิ่งใหญ่เช่นท่าน แต่เขาจะเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่ดีเลิศที่สุดเป็นแน่”
ขุนพลวัยกลางคนเงียบไปชั่วขณะหลังจากนั้นกล่าวว่า “เป็นคำสั่งที่มาจากในพระราชวัง ข้าไม่ปรารถนาที่จะอธิบายกับเจ้า”
อาจารย์ฝึกท่านนั้นได้ยินแล้วตกตะลึง ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้สติ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “แต่...ข้าต้องไปอธิบายแก่เด็กหนุ่มคนนั้น”
ขุนพลวัยกลางคนแหงนศีรษะขึ้น มองเขาด้วยสายตาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าให้เขาเข้ามา ข้าจะอธิบายกับเขา”
เดินเข้าไปยังหอที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด มองดูเปลวเทียนที่กำลังเผาไหม้อยู่บนโต๊ะ เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่พูดจา ค่อยๆ กำหมัดแน่นทั้งสองข้างขนาบอยู่ข้างลำตัว ใบหน้ามีสีขาวซีด ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าหรือว่าโมโห หรือว่าอาจเป็นทั้งสองอย่าง ในตอนที่เขาเห็นว่าบนแผ่นหินยังคงไม่มีชื่อของเขา เขารู้โมโหมากจริงๆ โมโหกว่าเมื่อตอนที่พบกับสายตาเย็นชาและความเหยียดหยันในจวนขุนพลเทพเมื่อวานนี้หลายพันเท่า
เพราะว่าเขาโอบอุ้มความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เดินเข้าไปยังสำนักเด็ดดารา แต่ในตอนที่จ้องมองไปยังป้ายประกาศนั้นความคาดหวังทั้งหมดพลันแปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง ความขยันหมั่นเพียรที่เขาอดทนทุ่มเทเพื่อมัน ตอนนี้มองดูแล้วล้วนกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ทั้งหมดนี้ในท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะเหตุใดกัน
เขาต้องการคำอธิบาย
ขุนพลวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะกล่าวว่าจะอธิบายให้กับเขา เขาอยากจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร
“ขออภัย”
ขุนพลวัยกลางคนยืนตัวลุกขึ้น จ้องมองเขาด้วยความเย็นชาคล้ายกับสัตว์ดุร้ายที่จ้องเขม็งกระต่ายน้อยสีขาวก็มิปาน คำพูดที่กล่าวออกจากปากกลับเป็นการขออภัยสองคำ
“ร่างกายเป็นทหารต้าโจวคนหนึ่ง ข้าต้องฝ่าฝืนหลักการทำงานของตนเอง ขออภัยอย่างยิ่ง”
“การกระทำของข้าอาจจะทำให้เกียรติยศของสำนักเด็ดดาราได้รับความเสียหาย ขออภัยอย่างยิ่ง”
“เจ้ามีความสามารถและสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอนาคต เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ข้ากลับต้องมาหยุดอนาคตของเจ้าชั่วคราว ขออภัย”
“ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ขออภัย”
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าอีกไม่นานก็จะรู้สาเหตุ ดังนั้น หวังว่าเจ้าสามารถจะให้โอกาสในการแก้ไขความผิดพลาดของข้าสักครั้ง”
เมื่อเฉินฉางเซิงฟังคำพูดจนจบ ก็นิ่งเงียบชั่วครู่ หลังจากนั้นหมุนตัวจากไป
วันต่อมาเช้าตรู่เวลายามห้า เฉินฉางเซิงตื่นตรงเวลาเหมือนเมื่อวานเหมือนทุกวันเหมือนตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมา ล้างหน้าสวมใส่เสื้อผ้า สงบนิ่งทำจิตใจให้กระจ่าง หลังจากนั้นออกจากที่พัก มุ่งไปยังหนทางที่ตนเองปรารถนาจะศึกษาต่อไป
เขายึดตามการเรียงลำดับของรายชื่อ ไปสำนักอื่นอีกสองแห่ง สิ่งที่พบเจอที่สำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารา เป็นธรรมดาที่จะทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มไม่ยินดี แต่ว่าบนโลกใบนี้เขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเวลาที่สุด เขาไม่ยินยอมที่จะเสียเวลาไปกับความโมโหและทุกข์ระทมเสียใจที่ไร้ค่า เพียงยินยอมที่จะใช้เวลาไปกับสิ่งที่คุ้มค่า การแสดงอย่างนี้บางทีทำให้คนรู้สึกว่ายืนหยัดสู้ต่อไป
สิ่งที่ประสบเมื่อวานมองดูแล้วไม่ได้ก่อผลกระทบกับเขาอย่างใด เขาตั้งใจเตรียมตัวเข้าสอบด้วยความรอบคอบ ใช้ความรู้ที่เก็บสะสมไว้ในสมองและจิตใจที่แน่วแน่ สามารถผ่านการทดสอบเข้าไปในทั้งสองสำนักสำเร็จ มองจากเนื้อหาของข้อสอบ เขาคิดว่าตนคงจะสามารถผ่านการทดสอบไปได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ผ่านการคัดเลือกซึ่งไม่ก่อให้เกิดความแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด
มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้วสองครั้ง เฉินฉางเซิงไม่ได้ผิดหวังเช่นนั้นแล้ว อาจจะพูดได้ว่าเขาชาชินเสียแล้ว
เขาเข้าใจแจ่มแจ้ง จะต้องมีคนพุ่งเป้ามาที่ตนอย่างลับๆ เป็นแน่ ส่วนคือใครนั้น...คำตอบนั้นก็ชัดเจนเช่นกัน
ช่วงเวลาตอนพลบค่ำ เขาเดินออกจากสำนักเป็นแห่งที่สี่ ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่มองเห็นรถม้าของจวนขุนพลเทพคันนั้น มองไปยังแอกหน้ารถม้าเห็นสัญลักษณ์ของสายเลือดหงส์ที่ทั้งเก่าและซีดจนทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญหาย อย่างไม่ต้องสงสัย ว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจให้รถม้าจอดอยู่ด้านหน้าประตูสำนัก เพราะต้องการให้เขาได้เห็น
เฉินฉางเซิงกำลังจ้องมองรถม้า รู้ผลของคำตอบที่จะออกมา
ถึงแม้ว่าเขาจะเดาคำตอบได้ แต่อารมณ์ในตอนที่มองดูข้อสอบนั้นสุดท้ายก็ยังมีบางอย่างไม่เหมือนกัน
สตรีวัยกลางคนคนนั้นก้าวลงจากรถม้า
“เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กน้อย...เดิมทีไม่มีคุณสมบัติอย่างใดที่จะทำให้จวนเทพขุนพลทำเรื่องมากมายเช่นนี้”
สตรีวัยกลางคนเดินมาด้านหน้าเขา ใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวต่อ “แต่พวกเราก็ยังทำเรื่องตั้งมากมาย เพราะพวกเราเป็นห่วงว่าเจ้าคนหนุ่มไม่มีทางตระหนักถึงสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจเผยให้เจ้าได้เห็นความสามารถที่แท้จริง ตอนนี้เจ้าก็คงจะชัดเจนอย่างยิ่ง เพียงแค่พวกเราไม่เห็นด้วย เจ้าอยู่ที่ราชวงศ์ต้าโจวจะไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดไป”
เฉินฉางเซิงจำนางได้ ที่จวนขุนพลเทพคนที่เขาเห็นเป็นคนแรกก็คือนาง จึงทักทายด้วยความเคารพ หลังจากนั้นยืดตัวตรง ไม่เอ่ยสิ่งใด
ดวงตาของสตรีวัยกลางคนกะพริบด้วยความแปลกประหลาด นางคาดไม่ถึง แม้จะอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ หนุ่มน้อยคนนี้ยังสงบนิ่งเช่นนี้ แม้กระทั่งไม่ลืมที่จะทำทักทายด้วยความเคารพ การแสดงออกเช่นนี้แท้ที่จริงแล้วทำให้คนไม่รู้จะจัดการอย่างไร แม้กระทั่งทำให้คนรู้สึกไม่สงบ แต่ว่านางจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้จบลง
“พวกเราปรารถนาอะไร เจ้าชัดเจนยิ่งนัก...ถ้าเจ้าเห็นด้วย สิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับทั้งหมดที่พวกเราได้ลิดรอนจากตัวเจ้าไป ล้วนสามารถนำไปคืนข้างกายเจ้าได้ สำนักเทียนเต้า สำนักเด็ดดารา สำนักจงซื่อ...ก็แล้วแต่เจ้าจะเลือก ปรารถนาจะศึกษาอะไร ก็แล้วแต่เจ้าจะเลือก ปรารถนาจะศึกษากับท่านไหน ก็แล้วแต่เจ้าจะเลือก หลังจากศึกษาสำเร็จแล้ว เจ้าอยากจะเข้าไปอยู่ที่กองทัพทหารหรืออยากเข้าไปที่นิกายหลวงหรืออาจจะเป็นขุนนางที่ราชสำนัก...ทั้งหมดทั้งมวล ก็ล้วนแต่เจ้าจะเลือก”
สตรีวัยกลางคนจ้องมองเข้าแล้วกล่าวด้วยอารมณ์ที่เคร่งขรึม “ถ้าหากว่าเจ้าไม่เห็นด้วย ผ่านไปสองวัน ชีวิตของเจ้าก็ยังคงเกิดภาพเดิมขึ้นซ้ำใหม่ไม่หยุดเป็นแน่”
เฉิงฉางเซิงเงียบเป็นเวลานาน ไม่กล่าวสิ่งใด
สตรีวัยกลางคนกล่าว “เจ้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง น่าจะชัดเจนว่าจะต้องเลือกอย่างไร”
เฉินฉางเซิงจ้องมองไปที่นาง ในที่สุดจึงเอ่ยประโยคแรกออกมา “สมุดบันทึกของศิษย์พี่ได้เขียนไว้ คนฉลาดจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข จึงต้องปฏิบัติเป็นคนเลอะเลือนอย่างยากยิ่ง”
สตรีวัยกลางคนยิ้ม พลางเอ่ยว่า “แต่ว่าที่จริงแล้วเจ้าเป็นเด็กดี ฉลาดอย่างยิ่ง ไม่ได้บอกเรื่องการหมั้นหมายกับผู้ใด...มิเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว”
ตอนนี้เฉินฉางเซิงในที่สุดก็มั่นใจ สองวันที่ผ่านมาจวนขุนพลเทพตงอวี้ให้คนติดตามตนมาตลอด
สตรีวัยกลางคนกล่าวว่า “แน่นอนว่า เจ้าอย่าเข้าใจผิด...ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดคือสิ่งที่เป็นไปได้อย่างหนึ่ง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือสุด แต่ไหนแต่ไรมาจวนขุนพลเทพทำตามกฎเกณฑ์มาตลอด เดิมทีไม่เคยรังแกใคร เพียงแค่ปรารถนาจะช่วยผู้คน เพียงแค่เจ้ามอบบางสิ่ง...เดิมทีเป็นสิ่งที่เจ้าเตรียมจะมอบให้อยู่แล้ว พวกข้าสามารถช่วยให้เจ้าได้ประโยชน์มากมาย”
สิ่งที่เดิมทีเตรียมจะมอบให้ ที่แท้ก็คือหนังสือสมรสฉบับนั้น
ช่วยให้ได้รับประโยชน์มากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ตนสมควรจะได้รับตั้งแต่แรก
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันกับเมืองจิงตูอันรุ่งเรืองแล้ว คงจะสวยงามดังเช่นป่าเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายที่อยู่ด้านหลังของวัดทรุดโทรม
เขาจ้องมองสตรีวัยกลางคนผู้นั้น ทันใดก็อ้าปาก เอ่ยว่า “แม่เฒ่า ข้าทำอะไรผิดหรือไม่”
สตรีวัยกลางคนตะลึงงัน กล่าวสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ
นางมีชีวิตอยู่ที่จิงตูมาร้อยกว่าปี มองดูคุณหนูแต่งเข้าบ้านตระกูลสวี มองดูบุตรเขยที่สู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่ออนาคตที่นับวันจะดียิ่งขึ้น เคยชินกับการพบเจอขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชวังและผู้แกร่งกล้าในโลกภายนอก คุ้นเคยกับการหลอกกันไปหลอกกันมา มีแผนการที่ใช้เล่ห์เพทุบาย นับแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ เช่นนี้...ดูเหมือนเป็นคำพูดที่ไร้เดียงสา แต่กลับเป็นคำพูดที่ทำให้ตอบกลับยากเหลือเกิน
ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตอบออกไป